สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 12 ท่านพ่อกลับมาแล้ว

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 12 ท่านพ่อกลับมาแล้ว

บทที่ 12 ท่านพ่อกลับมาแล้ว

“ท่านพ่อ!” ลู่จื่ออวิ๋นตะโกนเรียกชายร่างสูงใหญ่จากทางหน้าต่าง เรียกเสร็จก็พูดขึ้นด้วยความดีใจ “ท่านพี่ ท่านพ่อกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

ลู่ฉาวอวี่เข้ามายืนข้าง ๆ น้องสาวแล้วเรียกลู่อี้ขึ้นมาเบา ๆ “ท่านพ่อ”

ลู่อี้ขานรับลูกชายและลูกสาวของเขาเบา ๆ พลางเลื่อนสายตามาหยุดมองที่มู่ซืออวี่และแม่เฒ่าเจียง

เขาสวมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยเย็บปะ ผมถูกมัดรวบสูงจนเผยให้เห็นใบหน้าทั้งหมด บนหน้าผากของเขามีแผลไฟไหม้ขนาดเท่าฝ่ามือ รอยแผลน่าพรั่นพรึงราวกับตัวตะขาบ สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ นัยน์ตาสีทมิฬเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง

ส่วนชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนก้าอี้รถเข็นคือลู่เซวียน หลังจากที่ถูกนักโทษประหารทำร้าย เขาก็กลายเป็นคนขี้โรค ทำให้ต้องกินยาอยู่เรื่อย ๆ ทั้งยังมีอาการไอตลอดเวลา

เขาดูผอมมาก และเนื่องจากร่างกายที่ซูบผอมเกินไป ใบหน้าที่ดูดีของเขาจึงขาดชีวิตชีวา แตกต่างจากกิริยาเฉยเมยแบบลู่อี้ เขามองไปที่ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นอย่างอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับมองไปทางมู่ซืออวี่และแม่เฒ่าเจียงด้วยความเกลียดชัง ราวกับว่าเป็นขยะที่น่าขยะแขยงอย่างไรอย่างนั้น

แม่เฒ่าเจียงมองเห็นลู่อี้ ในใจก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย หญิงชราเห็นด้วยสายตาตัวเองว่าลู่อี้ต่อยหมูป่าจนตาย ส่วนตรงหัวสมองของหมูป่าตัวนั้นมีเลือดหยดติ๋ง ๆ ยามหันกลับมามองที่นาง นางก็รู้สึกว่าหมัดนั้นอาจพุ่งมาหานางได้

“นังอ้วน คอยดูเถอะ” แม่เฒ่าเจียงลุกจากพื้นแล้ววิ่งหนีหายวับไปกับตา

เห็นเงาที่ปราดเปรียวของนางแล้ว มู่ซืออวี่ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา คนอ้วนทุกคนไม่ได้คล่องแคล่วขนาดนี้ ดูท่าแม่เฒ่าเจียงคงเป็นคนอ้วนที่มีความสามารถพิเศษ

ครั้นสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังพินิจพิจารณาอยู่ มู่ซืออวี่ก็มองตามจนเห็นสายตานิ่งเรียบของลู่อี้ นางรีบยืนขึ้นตัวตรง ลูบเส้นผมให้เข้าที่เข้าทางแล้วเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ท่านกลับมาแล้วหรือ? รีบเข้ามาเถิด”

พูดจบแล้วก็แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองทิ้ง นี่เป็นบ้านของพวกเขา นางต้องทักทายด้วยหรือ

ลู่เซวียนมองนางอย่างแปลกใจ แต่เขาไม่มีเวลามาสนใจผู้หญิงคนนี้ ชายหนุ่มเอาแต่พยายามลุกยืนขึ้นจากรถเข็น

“เพิ่งจะกลับมาชั่วครู่นี้เอง อย่าขยับเลย” ลู่อี้หันมาพูดกับลู่เซวียน

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ถึงบ้านแล้ว ขยับได้นิดหน่อยแล้ว” ร่างกายของลู่เซวียนยังคงอ่อนแอ เพียงแค่ไม่สามารถเดินได้ไกล “ท่านพี่ ดูในครัวแล้วไม่มีของกินอะไรเลย เด็กทั้งสองจะหิวตายซะก่อนแล้วกระมัง”

ลู่เซวียนมักจะอยู่ที่บ้าน เขารู้ดีว่ามู่ซืออวี่ใจร้ายมาก ตอนที่เขาอยู่นั้นไม่สามารถทำของกินให้เด็ก ๆ กินได้ ครั้งนี้พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ไม่อยู่ ผู้หญิงที่มีพิษร้ายคนนั้นไม่รู้ว่าจะทรมานเด็ก ๆ อย่างไรบ้าง

สองพี่น้องที่ว่าเห็นแม่เฒ่าเจียงวิ่งสลัดหางทิ้งไปแล้วก็วิ่งออกมาหาผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ

“ขาของเจ้าเป็นอะไรไป” ลู่อี้สังเกตเห็นขาของลู่ฉาวอวี่ที่เดินอย่างไม่คล่องแคล่วจึงก้าวขายาว ๆ ไปหา ชายหนุ่มถกขากางเกงของลูกชายขึ้นมาจนเห็นบาดแผล จากนั้นก็ใช้สายตาเฉียบคมมองไปทางมู่ซืออวี่ “เจ้าทำอะไรเขา?”

มู่ซืออวี่เห็นชายหนุ่มและน้องชายกลับมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะโดนระดมกำลังสอบสวนนางอย่างไรบ้าง

ดูความผิดที่นางต้องแบกไว้สิ แต่ใครปล่อยให้นางครอบครองดูแลร่างกายของผู้อื่นเล่า หากครอบครองก็ย่อมต้องจ่ายราคาสินะ

“ข้าไม่ได้ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี” มู่ซืออวี่ไม่อยากพูดเยอะจึงปล่อยให้เขาเข้าใจไปเอง อย่างไรพวกเขาก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว เพราะเจ้าของร่างเดิมก็มีความผิดจริง ๆ นางได้แต่อธิบายอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “ข้ารู้ว่าทำผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี”

สุดท้ายนางจะพลิกเรื่องราวได้หรือไม่ก็ไม่อาจคาดเดา

หลังจากมู่ซืออวี่พูดจบ นางก็ก้มศีรษะลง ไม่มีใครเห็นภูตตัวน้อยที่กำลังร้องไห้พร้อมตะโกนว่า ‘ท่านเข้าใจผิดแล้ว’ ในร่างที่อ้วนท้วนนี้เลย

“หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่บ้านหลังนี้ เจ้าก็กลับบ้านตระกูลมู่ของเจ้าไป พวกเขาต่างก็สกุลลู่ทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องไปกลั่นแกล้งพวกเขา” ลู่เซวียนทนไม่ไหวกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เขาจึงใช้โอกาสนี้ขับไล่นางออกไป

ลู่อี้กอดลู่ฉาวอวี่ ก่อนจะหันไปมองมู่ซืออวี่ด้วยสายตาเย็นชา “ไสหัวออกไป ไปเก็บของได้แล้ว”

มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว นางพูดอย่างกล้าหาญว่า “บาดแผลครั้งนี้ข้าไม่ได้ทำ ข้ายอมรับว่าดูแลไม่ดี แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนี่”

“อย่างนั้นรึ” ลู่เซวียนหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ข้าง ๆ “สำหรับหญิงเลวทรามเช่นเจ้า ท่านพี่ของข้าเมตตามากแล้วที่อนุญาตให้อยู่ที่นี่นานเช่นนี้ ข้าอดทนกับเจ้าเพราะเจ้าให้กำเนิดลูกสองคน แต่เจ้ากลับคิดจะเอาชีวิตลูกของตัวเอง ผู้หญิงเลว ๆ อย่างเจ้าไม่สมควรเป็นแม่คนเลย”

“ท่านพ่อ ท่านอา ที่ข้าได้รับบาดเจ็บนี้เป็นเพราะข้าจมน้ำแล้วโดนขีดข่วน นางช่วยทายาให้ข้า” หลังจากที่ลู่ฉาวอวี่พูดจบอย่างงุ่มง่าม เขาก็หันหน้าหนีเมื่อเห็นมู่ซืออวี่มองมาอย่างขอบคุณ

“เจ้าไปมีเรื่องอะไร เหตุใดถึงจมน้ำ?” ลู่เซวียนไม่คาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้แปลว่ามู่ซืออวี่ไม่ได้ทำร้ายเด็กทั้งสองคน ตอนที่เขาอยู่บ้าน นางก็ไม่เคยเก็บอาการ นับประสาอะไรกับเมื่อตอนที่เขาไม่อยู่บ้านเล่า

“ข้าอยากกินปลา ข้าเห็นคนในหมู่บ้านลงไปจับปลาในสระน้ำขึ้นมากินก็คิดอยากลองทำบ้าง” ลู่ฉาวอวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง มีเพียงเขาและมู่ซืออวี่เท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหก

ใครจะคิดว่าเด็กห้าหนาวจะโกหกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แม้แต่มู่ซืออวี่ก็ไม่สามารถพูดเรื่องไร้สาระได้อย่างใจเย็นเท่าเขา ดูท่าการเป็นวายร้ายก็ต้องใช้ความสามารถเช่นกัน

“ท่านแม่ต้มโจ๊กให้พวกเรากิน” ลู่จื่ออวิ๋นปริปากพูดขึ้นเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ “ไม่ต้องไล่ท่านแม่ออกไปได้หรือไม่?”

มู่ซืออวี่มองลู่จื่ออวิ๋นด้วยความตื้นตันใจ “เสี่ยวอวิ๋น ขอบใจเจ้านะ”

เจ้าของร่างเดิมปฏิบัติต่อพวกเขาสองพี่น้องอย่างเลวร้าย เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่พูดแทนนางในตอนนี้ แต่สองพี่น้องกลับพูดแทนนางทีละคน พวกเขาช่างใจดีและเป็นเด็กที่น่ารักยิ่งนัก

“นางต้มโจ๊กให้เจ้ารึ?” ลู่เซวียนไม่เชื่อ “นางได้ข่มขู่พวกเจ้าหรือไม่ ไม่ต้องกลัว พ่อเจ้ากับข้ากลับมาแล้ว นางไม่กล้าทำกับพวกเจ้าเช่นนี้อีกแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าลู่อี้ก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาสังเกตเห็นว่าลู่จื่ออวิ๋นมีสีหน้าที่ซีดและผอมกว่าตอนที่เขาจากไป เขาจึงรู้ว่าลูก ๆ ไม่ได้มีชีวิตที่ดีในช่วงยี่สิบวันที่พวกเขาจากไป

แต่ว่า… เมื่อครู่นี้อวิ๋นเอ๋อร์เรียกมู่ซืออวี่ว่า ‘ท่านแม่’

ตั้งแต่สองปีที่แล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้เรียกนางว่าท่านแม่ แต่วันนี้กลับเปลี่ยนคำพูด มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่หรือไม่

“เจ้าไม่สบายหรือ?” ลู่อี้ย่อตัวลงแล้วกอดลู่จื่ออวิ๋นด้วยแขนอีกข้าง

เขาแข็งแกร่งและทรงพลัง ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนลมหายใจเมื่อเขาอุ้มเด็กสองคนในเวลาเดียวกัน ขณะที่อุ้มอยู่นั้น กล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างก็เกร็งจนเต็มเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่

มู่ซืออวี่เผลอลูบคอของตนเองเบา ๆ หากโดนมืออันทรงพลังนั่นตบเข้าให้ เกรงว่านางคงจะรับแรงตบไม่ไหว

“ข้าทำเรื่องที่ผิดพลาดไปแล้ว ท่านพ่อ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” เบ้าตาของลู่จื่ออวิ๋นแดงก่ำขึ้นมา “ท่านอย่าโกรธเลย”

“ทำอะไรผิดหรือ?” การแสดงออกของลู่อี้นั้นดูจริงจัง รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งขับให้เขาดูดุร้าย ทว่าดวงตาของเขากลับดูอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะอดกลั้นเพื่อไม่ให้ลูกสาวผู้บอบบางคนนี้ตกใจกลัว

ลู่จื่ออวิ๋นพูดติดอ่าง แต่ก็อธิบายเรื่องทั้งหมด อย่ามองว่านางเป็นเพียงเด็กน้อย นางมีความคิดและคำพูดที่ชัดเจน นางสามารถบอกประเด็นหลักได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ น้องชายของลู่อี้ที่เพิ่งกลับมาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เจ้าทำตัวดีมาตลอด เหตุใดเจ้าถึงไปถอนต้นกล้าผักจากบ้านแม่นางหวัง” ลู่อี้ถามเมื่อเข้าใจประเด็นที่เกิดขึ้น

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท