สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 21 ถงซื่อผู้ไร้ทางสู้

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 21 ถงซื่อผู้ไร้ทางสู้

บทที่ 21 ถงซื่อผู้ไร้ทางสู้

สตรีวัยกลางคนตัวสั่นเทา ร่างของนางผอมบาง ไหล่ที่ห่อเข้าหากันทำให้ทั้งร่างดูงองุ้ม ไร้ซึ่งความมั่นคงราวกับใบไม้ไหว มีกลิ่นอายของความขมขื่นแผ่ออกมารอบตัวนางอย่างประหลาด

ถงซื่อหันตามเสียงเรียกของลูกสาว ดวงตาขุ่นมัวมองมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเอ่ยตอบกลับไปว่า “ซืออวี่”

มู่ซืออวี่เดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยว่า “เข้ามานั่งก่อนเถิด”

“ไม่เป็นไร แม่แค่มาหาเจ้าไม่นาน เดี๋ยวก็จะไปแล้ว ท่านย่าของเจ้ากำลังรอแม่อยู่” ถงซื่อดูไม่สบายใจ แต่ก็ข่มกลั้นเอาไว้

แม้ว่าคนในครอบครัวลู่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่พวกเขาก็ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ลู่จื่ออวิ๋นยังมวยผมน่ารักเหมือนเทพธิดาตัวน้อย ๆ

ทว่าถงซื่อกลับไม่เพียงแต่สวมเสื้อเก่าขาด แต่เนื้อตัวยังเลอะเปรอะไปด้วยเศษดินเศษฝุ่น ผมเผ้าก็ยังยุ่งเหยิงอีกด้วย ท่าทางนางดูไม่ได้เลยสักนิด ไม่ต่างอะไรกับกับลาที่ถูกเคี่ยวกรำใช้งานหนักมากเกินไป

หญิงสาวดึงมือหยาบกร้านของถงซื่อมากุมเอาไว้

คนเป็นแม่ค้อมตัวลงเมื่อเห็นว่าถูกสายตาของลูกสาวจับจ้อง นางรีบอธิบายอย่างกระวนกระวายขึ้นมา “มือของแม่สกปรก เดี๋ยวจะเปื้อนมือเจ้าไปด้วย”

ทว่ามู่ซืออวี่กลับไม่ยอมปล่อย หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา “ช่างมันเถอะ ไปข้างในกันดีกว่า ไปนั่งพักสักหน่อย”

“แต่…” ถงซื่อยังไม่กล้าเข้าไป

นอกจากวันแต่งงาน หลายปีมานี้นางได้แต่แอบมองลูกสาวอยู่ห่าง ๆ ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน มีเพียงแม่สามีและพี่สะใภ้เท่านั้นที่เข้าไปในบ้าน แต่ก็เพื่อที่จะมาขนย้ายสิ่งของออกไป

ในสายตาของบ้านลู่อี้ คนตระกูลมู่ก็ไม่ต่างจากปลิงดูดเลือดไปแล้วกระมัง

มู่ซืออวี่ลากถงซื่อเข้าไปด้านใน

เป็นเรื่องหาดูได้ยากที่ลู่เซวียนจะไม่พูดจาร้ายกาจออกมา ส่วนลู่ฉาวอวี่มองไปยังถงซื่ออย่างเฉยชาราวกับท่านยายเป็นอากาศธาตุ

ลู่อี้ออกจากครัวมาพร้อมชามบะหมี่ เขาวางมันลงตรงหน้าแม่ยาย “เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ลองกินดูเถิด”

แขกของบ้านรีบโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร ๆ ข้าไม่หิว แค่มาดูเฉย ๆ ตอนนี้ต้องกลับแล้ว”

ที่วางอยู่ตรงหน้านางตอนนี้คือบะหมี่ สตรีวัยกลางคนผู้นี้ทำงานราวกับเป็นวัวเป็นม้าของบ้านตระกูลมู่มาหลายปี ไม่ต้องพูดถึงบะหมี่สักชาม มีของเหลือ ๆ มาให้กินก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นางได้กินอะไรไม่มากนัก อย่างมากก็ไม่เกินครึ่งฝ่ามือ และมักจะแบ่งไปเพิ่มให้ลูกชายทุกครั้ง แต่อาหารเพียงน้อยนิด เด็กผู้ชายกำลังโตจะกินพอได้อย่างไร

“เขาบอกว่ากินได้ท่านก็กินเสียเถอะน่า” มู่ซืออวี่พูดขึ้น “ท่านบอกว่ากำลังรีบอยู่นี่ ถ้าไม่รีบกินรีบไป กลับไปช้าโดนท่านย่าดุอีกก็อย่ามาโทษข้านะ”

ถงซื่อดวงตาแดงก่ำ “พวกเจ้ากินกันเถอะ ข้าไม่หิวจริง ๆ ต้องไปแล้ว”

“เหตุใดถึงได้พูดยากแบบนี้นะ” คนเป็นลูกสาวหมดความอดทน “ท่านต้องกินให้หมด ถ้าไม่กิน คราวหน้าก็อย่ากลับมาอีก”

ถงซื่อมองมู่ซืออวี่แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเสียใจ “แม่เพียงคิดถึงลูก ถ้าเจ้าไม่อยากเจอแม่อีกแล้ว แม่ก็จะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีก จะแอบดูอยู่ข้างนอกเท่านั้น อย่าโกรธแม่เลยนะ”

มู่ซืออวี่รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

นางพอจะรู้มาว่าแม่ของเจ้าของร่างเดิมเป็นคนไม่มีปากมีเสียง ไม่สู้คน แต่ไม่ได้คิดว่านางจะเป็นคนยอมคนได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ใคร ๆ ก็ต่างรังแกเอาได้ สิ่งที่ถงซื่อดูน่าสมเพชอย่างมากคือความขี้ขลาดเกินจำเป็น นางดูเหมือนถูกรังแกเสมอ แม้แต่จะอยู่ต่อหน้าลูกสาวของตนเองแท้ ๆ ก็ตาม

“กินซะ ถ้าไม่อยากให้ข้าโกรธ มันทำมาเพื่อท่านโดยเฉพาะ ถ้าท่านไม่กินข้าจะเอาไปเทให้ไก่” มู่ซืออวี่พูดอย่างเย็นชา

ลู่จื่ออวิ๋นตามเข้ามา เด็กน้อยซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมู่ซืออวี่แล้วมองไปที่ถงซื่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ตอนนี้ถงซื่อไม่ได้สนใจสายตานั้นจากเด็กน้อย เพียงแต่รู้สึกว่าบรรยากาศในบ้านตระกูลลู่นี้แปลกไป ถึงนางจะไม่เคยเข้ามาข้างในมาก่อน แต่ก็รู้ถึงความสัมพันธ์ในบ้านนี้เป็นอย่างดี อย่างเช่นว่าคนบ้านนี้ไม่ชอบลูกสาวของตน แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าพวกเขาสนิทกันมาก โดยเฉพาะลูกสาวนางและเด็กน้อยคนนี้

ลู่อี้ทำบะหมี่ออกมาวางอีกหลายชาม

ลู่ฉาวอวี่และลู่เซวียนช่วยกันเอาชามออกมา จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะตามตำแหน่งที่นั่ง

“ทุกคนได้ของตัวเองกันหมดแล้ว นั่งลงกินข้าวเถอะ” ลู่อี้สั่งให้ทุกคนนั่งลง

ครอบครัวทุกคนนั่งลงประจำตำแหน่ง ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ ลู่อี้ มู่ซืออวี่นั่งถัดจากถงซื่อ ส่วนลู่เซวียนและลู่ฉาวอวี่นั่งข้างกัน

ถงซื่อเห็นว่าทุกคนในบ้านมีบะหมี่กันคนละชาม ลูกสาวตัวเองได้ปริมาณมากที่สุด บะหมี่ชามนั้นหอมหวน มีต้นหอมซอยโรยอยู่ข้างบน กลิ่นน้ำมันหมูหอมน่ากินมาพร้อมกับกลิ่นต้นหอมเหล่านี้

สตรีวัยกลางคนไม่พูดอะไรต่อ นางหยิบชามบะหมี่มาด้วยมืออันสั่นเทา กินเข้าไปทีละคำสองคำด้วยดวงตาแดงก่ำ

ทุกคนในบ้านนี้ไม่พูดคุยอะไรเมื่อเคี้ยวอาหาร ถงซื่อนั่งตัวสั่น ไม่รู้จะพูดอะไร บะหมี่หนึ่งชามไม่น่าจะใช้เวลานานในการกิน แต่สำหรับถงซื่อ เวลาอาหารนี้ผ่านไปนานราวกับถูกแช่แข็งให้หยุดนิ่ง

นางไม่เคยลิ้มรสอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนในชีวิต มันอร่อยเสียจนเกรงใจที่จะกินมันเข้าไปอีก

“หากไม่พอ ข้าจะไปทำอะไรมาเพิ่มให้” มู่ซืออวี่มองไปทางมารดา

ถงซื่อส่ายหน้าไปมา “พอแล้ว”

“ไม่อร่อยงั้นหรือ เหตุใดถึงกินน้อยขนาดนั้น” หญิงสาวมองไปยังชามที่อาหารพร่องลงไปไม่มากนัก

“อร่อยสิ อร่อยมากเลย” ถงซื่อคืบเส้นเข้าปากอีกครั้ง

คนอื่น ๆ ในตระกูลู่กินเร็วกว่าปกติ พวกเขารีบจัดการทั้งบะหมี่และน้ำแกงเสร็จในเวลาไม่นานแล้วลุกออกไป ทิ้งให้สองแม่ลูกอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเพียงลำพัง

ทั้งห้องเหลือเพียงพวกนางสองคน คนเป็นแม่กลืนบะหมี่ลงคอ มองลูกสาวอย่างประหม่า “ลูกแม่ ท่านย่าของเจ้าโมโหมาก นางเอาแต่ดุด่าเจ้าอยู่ที่บ้านทั้งวัน”

“อยากด่าก็ปล่อยนางไปเถอะ อย่างไรข้าก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว” มู่ซืออวี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ดีแล้วที่เจ้าไม่โกรธ” หญิงชราเอ่ย “ท่านย่าของเจ้าแก่มากแล้ว อย่าไปถือสานางเลย”

“แล้วท่านล่ะ” คนเป็นลูกสาวจ้องกลับไป “ท่านไม่เคยคิดจะเถียงนางสักครั้งในชีวิต ทั้ง ๆ ที่โดนกระทำแย่ ๆ ใส่มากขึ้นเรื่อย ๆ จะทนไปจนตายอย่างนั้นหรือ”

“แม่เป็นลูกสะใภ้ของนาง เป็นปกติที่ลูกสะใภ้จะต้องเชื่อฟังแม่สามี ช่างมันเถอะ” ถงซื่อพูดอย่างขมขื่น

“ท่านทนได้ แล้วน้องชายข้าล่ะ น้องข้าก็เป็นหลานของนาง เหตุใดลูกของท่านลุงได้ไปโรงเรียน แต่น้องชายข้าไม่ได้ไปกับเขา ข้าที่เป็นหลานสาวของนางก็เช่นกัน มู่ซือเจียวเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ข้าเป็นแค่ขยะ ไม่ว่าจะมีกินมีใช้หรืออดอยากปากแห้งก็ไม่ควรเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้ ท่านจะไม่สนใจ ยอมโดนกดขี่เช่นนี้ก็ได้ แต่ไม่คิดถึงลูกชายตัวเองบ้างหรือ” มู่ซืออวี่ถามต่ออย่างไม่เข้าใจ “น้องชายข้ายังเด็กนัก เขาต้องทำงานหนักกว่าผู้ใหญ่บางคนด้วยซ้ำ ท่านไม่กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปก่อนวัยอันควรงั้นหรือ”

ถงซื่อพลันหน้าซีดลงเมื่อถูกถามเช่นนี้

บะหมี่ในชามก็ฝืดเฝื่อนไม่ชวนกินอีกต่อไป

นางอยู่รอดในชีวิตแต่งงานมายี่สิบปีและคุ้นเคยกับชีวิตเช่นนี้มานานแล้ว ลูกคือจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงของนาง เมื่อนึกถึงลูกชายของตนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน หัวใจที่เปราะบางของคนเป็นแม่ก็ชาหนึบไปชั่วขณะ

“จะให้แม่ทำอย่างไร”

“ออกมาเสียสิ”

“มันมีกฎของหมู่บ้าน แต่งงานแล้วไม่สามารถแยกบ้านได้ เป็นเรื่องเสื่อมเสียผิดประเพณีผิดศีลธรรมหากแยกจากบ้านสามี”

“ถึงตอนนี้ท่านจะเป็นลูกที่ดีทำตามศีลธรรม แล้วพวกเขาปฏิบัติต่อท่านอย่างมีศีลธรรมหรือไม่ ท่านทำงานให้พวกเขางก ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อาหารก็มีให้กินเพียงน้อยนิดไม่พอยาไส้ ทุกคนอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนงานทั้งหมดท่านก็ทำอยู่คนเดียว มีเงินส่งหลานชายคนหนึ่งเรียนหนังสือ ส่วนอีกคนไม่ได้เรียน ท่านลองคิดเรื่องนี้เอาเองเถอะ วันนี้มาหาข้าที่นี่ ลูกสาวที่แต่งออกจากบ้านมาแล้วอย่างข้าจะช่วยอะไรได้มากกว่าทำอาหารให้กินเช่นนี้ ท่านต้องหาทางออกจากบ้านนั้นเอง”

“แม่จะไปคิดดู” ถงซื่อหลุบตาลง “แม่ต้องไปแล้ว เห็นว่าเจ้าสบายดีอย่างนี้แม่ก็สบายใจ”

“กินให้หมดเถิด” เมื่อรู้ว่ามารดาไม่สบายใจ นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในครัว

มีเสียงกินบะหมี่ดังขึ้นจากด้านหลังของหญิงสาว เพราะความขี้ขลาดของถงซื่อในตอนนี้ เมื่อไม่ได้ถูกลูกสาวจับจ้องอยู่ นางก็สบายใจที่จะกินมันจนหมดชามในเวลาไม่นาน

จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงซดน้ำแกงจนหมดเช่นกัน

มู่ซืออวี่ยัดถุงใบหนึ่งใส่มือหยาบกร้านของคนเป็นแม่ “เอานี่ไปให้ท่านพ่อกับน้องข้าเถิด แล้วอย่าให้พวกนั้นรู้ล่ะ”

“นี่คืออะไร?” ถงซื่อเปิดออกดู ก่อนจะรีบคืนให้ลูกสาวทันทีที่เห็นของข้างใน “ไม่… แม่รับไว้ไม่ได้ มันสำคัญกับเจ้า”

“รับไปเถอะ ท่านไม่ได้ฟังที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่เลยหรือ หลังจากนี้ค่อยมาหาข้าตอนที่ท่านตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะช่วยท่านทุกอย่างเท่าที่ทำได้”

หลังจากที่นางได้รับร่างนี้มาแล้ว นางก็จะต้องดูแลคนในครอบครัวของเจ้าของร่างนี้ด้วย

แม้ว่ามู่ซืออวี่จะไม่ได้เป็นคนดีเลิศเลอ แต่จะเป็นคนไม่มีมโนธรรมและเมินเฉยต่อความยากลำบากของแม่ตัวเองได้อย่างไร

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท