บทที่ 36 เสแสร้งแกล้งทำ
บทที่ 36 เสแสร้งแกล้งทำ
ลู่ฉาวอวี่รับเงินมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปไหน เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็อยากรู้เรื่องระหว่างลู่อี้และฟางโจวอวี่คนนั้น
ส่วนมู่ซืออวี่ไม่ได้สนใจอะไร นางยังคงพูดความคิดเห็นตัวเองแบบน้ำไหลไฟดับโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ลู่อี้เป็นผู้ปราดเปรื่องมาโดยตลอด ตอนที่เรียนในสำนัก เขาเป็นที่โปรดปรานของใครหลาย ๆ คน ศิษย์คนอื่นจะไม่อิจฉาได้อย่างไร และเมื่อเวลาผ่านไป คนที่อิจฉาเขาเหล่านั้นก็ยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้นทุกวัน ฟางโจวอี้คนนี้ก็มักจะทำตัวแย่ ๆ ใส่เขาเป็นประจำ น่าจะเป็นคนใจแคบขี้อิจฉาคนหนึ่ง ตอนนี้สอบผ่านได้เป็นบัณฑิตแล้ว แน่นอนว่าคงอยากจะข้ามหัวลู่อี้ให้ได้
“พรุ่งนี้เขาจัดงานเลี้ยง เขาชวนท่านไปด้วยใช่หรือไม่ หมูป่าหนึ่งตัวขายได้ไม่ถึง 20 ตำลึงหรอก แต่เพราะว่าอยากให้ท่านไป เขาถึงได้ไม่เสียดายที่จะตัดต้นทุนตัวเอง งานเลี้ยงที่หงเหมินสินะ”
มู่ซืออวี่ยิ่งพูดก็ยิ่งลำพองใจ นางวิเคราะห์เสียน้ำไหลไฟดับราวกับอยากให้เรียกว่าเชอร์ล็อก โฮล์มส์ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ระมัดระวังตนเองเลยตั้งแต่ล้มป่วยลง
ก่อนหน้านั้นลู่อี้ไม่ได้ตอบกลับอะไร นางเคยกังวลเรื่องการสลับบทเมื่ออยู่ต่อหน้าลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋น ตอนนี้ลู่อี้และลู่เซวียนกลับมาแล้ว บางครั้งสิ่งที่นางทำหรือพูดก็มีพิรุธ ทว่าก็มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นที่ไม่รู้ตัว
ลู่อี้มองนางสักพักแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งคำพูดอะไรของนาง
ถึงลู่อี้จะมองนาง แต่สายตาก็ไม่ได้ดูเกลียดชังอีกต่อไปแล้ว
ในความคิดตอนนี้ของมู่ซืออวี่เต็มไปด้วยความสงสารและห่วงใย
“หรือว่าพรุ่งนี้จะไม่ไปแล้ว ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาที่ไม่ดีแล้วยังจะไป นั่นไม่ใช่คนโง่รึ” ลู่เซวียนหันไปมองลู่อี้ด้วยความทุกข์ใจ “หากไม่ใช่เป็นเพราะข้า ท่านคงไม่ต้องรับความอับอายขายหน้าจากคนต่ำต้อยเช่นนั้น”
“พูดไร้สาระอะไร” ลู่อี้พูดต่อไปว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าเอาความผิดทุกอย่างมาลงที่ตัวเอง”
“แล้วไม่ใช่รึไง ท่านพี่เรียนหนังสือเก่ง เจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์ต่างก็คาดหวังกับท่านไว้สูง หากไม่ใช่เพราะข้าที่เป็นภาระ ท่านคงสอบเลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตได้ตั้งแต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนแล้ว”
“ไม่ต้องพูดแล้ว สำหรับข้าแล้ว ร่างกายของเจ้าคือเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้”
“ร่างกายพิการของข้าจะมีประโยชน์ได้อย่างไร” ลู่เซวียนทุบตีตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ลู่อี้คว้ามือของลู่เซวียนไว้ ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ “ร่างกายของเจ้า ข้าจ่ายเงินเลี้ยงดูไปมากโข เจ้าไม่มีสิทธิ์มาดูถูกตนเอง”
“ท่านพี่…” ลู่เซวียนมองต่ำลง “เหตุใดถึงดีต่อข้าเช่นนี้”
ลู่อี้ตบไหล่ลู่เซวียน “เป็นพี่น้องแค่หนึ่งวันก็เป็นพี่น้องทั้งชีวิตแล้ว ระหว่างเจ้ากับข้าไม่ต้องพูดเช่นนี้”
มู่ซืออวี่มองลู่อี้ที่ปฏิบัติต่อน้องดั่งคนรักและน้องที่เคารพนับถือผู้เป็นพี่
ผู้ชายที่แสนดี! แค่รักษาบรรยากาศดี ๆ แบบนี้ต่อไปได้ก็ไม่เลวแล้ว
“แต่ท่านพ่อของข้าจะดูไม่ดีหรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
“ดูดีสิ… ” ลู่อี้พูดขึ้นมาโดยไม่ทันคิด เมื่อมองเห็นสายตาของทุกคนก็หุบปากฉับทันที
“หากพรุ่งนี้จะไปร่วมงานเลี้ยง เสื้อผ้าของท่านชุดนี้ใช้ไม่ได้ ต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”
“ไม่ต้อง” ลู่อี้ขมวดคิ้ว
ในบ้านไม่ได้มีเงินมากมายก่ายกองที่จะเอามาใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง เขาหวังว่าเงินที่ใช้ไปทุกเหรียญจะใช้จ่ายอย่างจำเป็นที่สุด ไม่ใช่เอามาใช้จ่ายกับเรื่องไม่จำเป็นเหล่านี้
“พรุ่งนี้ท่านจะไปมือเปล่าหรือ ถึงแม้จะพูดว่าไม่สนใจ แต่ท่านอาจจะถูกคนเย้ยหยันได้ พวกเราจะต้องไม่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ หากเขาตบหน้าท่าน ท่านจะตบหน้าเขากลับคืนอย่างโหดเหี้ยมกว่าเดิมได้อย่างไร”
“เขาไม่ได้สำคัญอะไร เหตุใดจึงต้องเอาใจใส่ด้วย” ลู่อี้คัดค้าน “เอาเถิด ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องไปก่อนแล้ว”
ลู่เซวียนมองตามแผ่นหลังลู่อี้ที่เดินจากไปแล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ต้องพบเจ้าสำนักกับท่านอาจารย์ ท่านพี่คงขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพราะไม่อยากไปมือเปล่า คนใจแคบอย่างฟางโจวอวี่ไว้วางใจไม่ได้แน่”
มู่ซืออวี่ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ในขณะที่ลู่เซวียนหันกลับมามองมู่ซืออวี่แล้วถามว่า “ตอนเย็นกินอะไร?”
“ตอนเย็นกินอะไรง่าย ๆ สักนิดก็พอแล้ว”
นางยังมีเรื่องยุ่งอื่น ๆ ที่ต้องทำอยู่อีก
ลู่เซวียนเบะปาก “สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก นี่เพิ่งไม่กี่วันเอง เหมือนเดิมอีกแล้ว”
เมื่อลู่อี้หิ้วกระต่ายกลับมาก็มองเห็นมู่ซืออวี่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ที่ลานบ้าน
บนพื้นมีเศษไม้อยู่มากมาย นางใช้เครื่องมือมาทำให้ไม้เหล่านั้นออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ มากมาย มันเล็กมากจนมองไม่ออกว่าเป็นอะไร
ลู่เซวียนเพิ่งกลับมาจากการเอามูลสัตว์ไปใส่สวนผักก็เห็นลู่อี้กำลังมองดูมู่ซืออวี่ทำงานอยู่ที่ลานบ้าน เขาจึงเข้าไปกระซิบกระซาบ “หลังจากที่ท่านออกไป นางก็ทำสิ่งนี้ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”
“ทำข้าวเย็นหรือยัง?”
“ยังไม่ได้ทำ” ลู่เซวียนพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก “ก่อนหน้านี้ยังสงสัยว่าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว ดูสิ แค่ไม่กี่วันก็กลับมานิสัยเดิม ยังคงเป็นผู้หญิงขี้เกียจเหมือนเดิม”
ลู่อี้นำกระต่ายไปถอนขน ล้างให้สะอาด จากนั้นก็ล้างมือเพื่อเตรียมอาหารเย็น
มู่เจิ้งหานหาบน้ำกลับมา
ลู่อี้เห็นเข้าก็ช่วยยกถังน้ำ เทน้ำลงไปในโอ่ง
“เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องไปแบกอีกแล้ว”
“ยังไม่เต็ม” มู่เจิ้งหานเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “ดูท้องฟ้าก็ยังเช้าอยู่ ข้าจะไปหาบน้ำมาให้เต็ม”
“เจ้าไปดูแลแม่เจ้าสักหน่อย นางกระหายน้ำยังต้องเรียกพวกข้าไปช่วยเทให้ เจ้าไปถามนางว่าอยากดื่มน้ำหรืออยากเข้าห้องน้ำหรือไม่ หากว่าอยากไปเข้าห้องน้ำก็เรียกท่านพี่ของเจ้าให้พานางไป”
มู่เจิ้งหานได้ยินเช่นนั้นก็รีบไปหาถงซื่อที่ห้องข้าง ๆ ทันที
ถงซื่อกำลังเย็บเสื้อผ้า แม้ว่านางจะลงจากเตียงไม่ได้ แต่ถ้าหากให้นางนอนอยู่อย่างนั้นตลอดก็เกรงว่าจะทำให้นางไม่สบายใจ มู่ซืออวี่จึงเอาเสื้อผ้าที่อยู่ในบ้านมากลับด้านให้นางทำฆ่าเวลา
“ข้าไปห้องน้ำมาแล้ว พี่สาวเจ้าพาข้าไป” ถงซื่อเกรงใจ “หานเอ๋อร์… ท่านพ่อของเจ้า เขา…”
“ท่านแม่ ท่านยังจะถามถึงเขาทำไม” มู่เจิ้งหานขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “ตอนที่ข้าแบกน้ำมา ข้าเห็นเขา แต่เขาเสแสร้งแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นข้า ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ”
“จริงหรือ?” ถงซื่อถามอย่างสลดใจ
“หากว่าท่านไม่ดื่มน้ำ เช่นนั้นข้าก็จะไปนอนแล้ว พี่สาวกับพี่เขยก็ลำบาก ข้าอยากจะช่วยเหลือพวกเขาจึงจ่ายค่ายาไปแล้ว 2 ตำลึงกว่า ๆ”
“อย่างนั้นเจ้าก็รีบไป รอร่างกายแม่ดีขึ้นก่อนก็จะทำงานเยอะ ๆ ตอบแทนพวกเขา” ถงซื่อเร่งเร้า
หลังจากที่ออกมาจากห้องนอนของถงซื่อ มู่เจิ้งหานก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ความจริงแล้วเขาโกหก
เมื่อครู่ที่ไปหาบน้ำก็เจอกับมู่ต้าซาน ชายคนนั้นเรียกเขาไว้ แต่คนที่ไม่สนใจคือเขาต่างหาก
“ถึงเวลากินข้าวแล้ว” ลู่อี้ที่ทำอาหารเย็นเสร็จแล้วจึงมาที่ลานบ้านแล้วเรียกมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ตอบทั้ง ๆ ที่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง “พวกท่านกินก่อนเลย อีกสักพักข้าจะไปกินเอง”
ถึงอย่างไรแล้วนางก็กำลังลดน้ำหนักอยู่
“เจ้าทำอะไรอยู่?” ลู่อี้ถาม
“อีกสักพักเจ้าก็จะรู้แล้ว” มู่ซืออวี่หยิบชิ้นไม้ส่วนเล็ก ๆ ขึ้นมาเปรียบเทียบกัน “เจ้ากินข้าวเสร็จก็ฆ่ากระต่ายให้ข้าหน่อย เดี๋ยวข้าจะเอามาทำเป็นกับข้าว พรุ่งนี้จะได้เอาไปให้อาจารย์เป็นของแกล้มเหล้า”
“ได้”
คนอื่น ๆ กำลังกินข้าว แต่มู่ซืออวี่ยังคงยุ่งอยู่กับการทำงานอยู่ที่ลานบ้าน
ลู่จื่ออวิ๋นเขี่ยกับข้าวในจานพร้อมทั้งมองมู่ซืออวี่ที่อยู่ด้านนอก จากนั้นเสียงเล็กก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่กำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
“ไม่รู้” ลู่ฉาวอวี่ตอบ “กินข้าวไปเถอะ”
“เสแสร้งแกล้งทำ” ลู่เซวียนบ่นพึมพำ “เล่นใหญ่ขนาดนั้น ถ้าหากว่าไม่ได้ทำสิ่งดี ๆ ก็ทำเรื่องขายหน้าน่ะสิ”
เมื่อลู่อี้กินข้าวจนเสร็จ เรื่องการเก็บกวาดจานชามก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมู่เจิ้งหานผู้ยินดีทำ
ชายหนุ่มถือกระต่ายไปที่ข้างแม่น้ำ เมื่อล้างชำระจนสะอาดแล้วจึงถือกลับมา
ยามนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว กระท่อมบ้านตระกูลลู่จึงเริ่มจุดตะเกียง
มู่ซืออวี่นำกล่องสี่เหลี่ยมที่เพิ่งทำสำเร็จเดินเข้ามา