บทที่ 41 หวังซื่อป่วย
บทที่ 41 หวังซื่อป่วย
ผักชีถูกหั่นออกเป็นส่วนเท่ากัน ไส้กรอกถูกหั่นออกเป็นชิ้น ทุกอย่างถูกเทลงบนกระทะพร้อมน้ำอุ่นก่อนจะเริ่มผัด กลิ่นหอมโอชะลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ แม้แต่ลู่ฉาวอวี่ที่กำลังก่อไฟก็อดไม่ได้ที่จะหันมอง
มู่ซืออวี่สูดกลิ่นหอมพลางกล่าวกับตนเอง “อาหารรสเลิศทำให้ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ ตราบใดที่มีอาหารอร่อย แม้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ลู่ฉาวอวี่จ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยความรังเกียจ
แน่นอนว่านางยังคงเป็นหญิงคนเดิมที่รู้เพียงการกินและดื่ม ธรรมชาติแห่งความตะกละตะกลามของนางไม่เคยเปลี่ยนไปแม้เพียงนิด
แม้ก่อนหน้านี้นางจะรู้เพียงวิธีกินและดื่ม แต่ตอนนี้ได้เรียนรู้ถึงการช่วยงานบ้านแล้ว แต่ยังคงไม่เป็นประโยชน์อยู่ดี
ไส้กรอกและต้นหอมถูกใส่ลงไปผัดพร้อมกับซอสและเครื่องปรุงอื่น ๆ จนหอมคลุ้ง จากนั้นมู่ซืออวี่จึงโรยเกลือและคลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนจะตักขึ้น
ฟึด ฟึด!
หลังจากทำความสะอาดหม้อแล้ว นางก็ใส่น้ำสะอาดลงไปต้ม ต้มได้ที่แล้วก็นำแป้งที่เตรียมไว้ขึ้นมา
มู่ซืออวี่ง่วนอยู่ในครัว ทุ่มเทให้กับการทำอาหารรสเลิศอย่างเต็มที่ และเพราะกำลังผ่อนคลายจึงร้องเพลงในลำคอแผ่วเบา
ลู่เซวียนกำลังยุ่งอยู่กับการซ่อมเครื่องมือไม้ไผ่ในลานบ้าน ทั้งตะกร้าไม้ไผ่ ที่ตักขยะ และของใช้อื่น ๆ เมื่อได้ฟังเพลงไม่คุ้นหู ความคิดของเขาก็ล่องลอยไปไกลราวกับได้ย้อนเวลาไปเมื่อครั้งพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่
ในปีนั้นเขาไร้กังวล พี่ชายเป็นเด็กอัจฉริยะที่มีชื่อเสียง แม่ของเขาอ่อนโยนและน่ารัก แม้พ่อของพวกเขาจะเข้มงวดแต่ก็รักลูกเป็นอย่างมาก ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวธรรมดาที่เปี่ยมด้วยความสุข
ลู่อี้ถือฟืนเข้าไปในห้องครัว หลังจากได้กลิ่นหอมฉุยของอาหาร ท้องของเขาก็ส่งเสียงร้องโครกคราก
ใบหน้าของเขาพลันแดงก่ำ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจจึงจากไปพร้อมไม้ค้ำในมือ
ณ ลานอาบน้ำหลังบ้าน
ชายหนุ่มแบกถังน้ำเย็น ๆ ไปอาบน้ำแบบนี้มาเป็นปีแล้ว
เมื่อได้ฟังเสียงเพลงของอีกฝ่าย ลู่อี้ก็ยิ่งรู้สึกถึงความลึกลับเกี่ยวกับตัวตนของนางมากขึ้น
นั่นไม่ใช่เพลงที่ผู้คนร้องกันทั่วไปในท้องถิ่นอย่างแน่นอน เขาไม่รู้ว่าเพลงนี้มาจากที่ใด แม้จะดูแปลกประหลาด แต่ก็ผ่อนคลายและน่าฟัง
“ถึงเวลาทานข้าวแล้ว!” มู่ซืออวี่ตะโกน
ขณะที่ลู่อี้กำลังสวมใส่เสื้อผ้า เขาก็มองเห็นบะหมี่ที่ดูน่ารับประทานบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็เหลือบมองมู่ซืออวี่ด้วยความชื่นชม
ท้องเขาเริ่มหิวแล้ว
เดิมทีไม่มีผู้ใดชื่นชอบอาหารนี้ แต่ครั้งสุดท้ายที่มู่ซืออวี่ทำนั้นเลิศรสยิ่งนัก
มู่ซืออวี่เดินมาหาถงซื่อพร้อมบะหมี่ในมือ มู่เจิ้งหานจึงนำโต๊ะขนาดเล็กไปวางไว้บนเตียง เมื่อถงซื่อเห็นว่าในชามบะหมี่ที่อีกฝ่ายนำมาเต็มไปด้วยของมีประโยชน์ก็เอ่ยขึ้น “ข้านอนทั้งวันโดยไม่ได้ทำสิ่งใด ข้ากินอะไรได้ไม่มากหรอก”
“บะหมี่เป็นอาหารย่อยง่าย เดี๋ยวท่านจะหิวเอาได้” มู่ซืออวี่กล่าวพลางวางชามในมือลง “เรามีกันหลายคน อาหารถูกปรุงเป็นจำนวนมาก จะให้เราทานจนหมดได้อย่างไร? หากท่านไม่ทานก็จะเป็นการเสียของโดยเปล่าประโยชน์
ถงซื่อเชื่อในคำพูดของอีกฝ่ายจึงหมายจะกินให้หมด
เส้นบะหมี่ทำจากแป้งชั้นดีที่ผู้คนทั่วไปไม่อาจหากินได้ บะหมี่เนื้อสัตว์ชามนี้เรียกว่าเตรียมด้วยของดีที่มีราคาสูง
“ลูกอวี่ แน่นอนว่าเจ้าย่อมมีเหตุผลที่เลือกแต่งงาน แม่ไม่ควรถามเรื่องนี้ แต่แม่เป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน แม่อยากจะบอกเจ้า เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพ่อของฉาวอวี่ออกล่าสัตว์หาเลี้ยงชีพด้วยตัวคนเดียว แต่ไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่าจะล่าสัตว์เช่นนี้ได้ทุกครั้ง ถึงจะมีอาหารมากมายให้กินและดื่มตลอดทั้งปี หากไม่รู้จักมัธยัสถ์ ชีวิตของเจ้าจะดีขึ้นได้อย่างไร? เจ้าควรรู้จักมัธยัสถ์เช่นเดียวกับข้าและหานเอ๋อร์ กินข้าวต้มและผักป่าก็ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ”
“อุตส่าห์มีอาหารรสเลิศให้รับประทานแท้ ๆ พวกท่านกินเพียงผักป่าและข้าวต้มเช่นนี้มาโดยตลอดน่ะสิจึงพูดเช่นนี้ ข้าจะแสร้งว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนก็แล้วกัน” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาดีต่อข้า แต่ดูครอบครัวนี้สิ มีคนป่วย มีเด็ก ลู่อี้เลยต้องตรากตำทำงานตลอดทั้งวัน พวกเขาจะได้กินอะไรดี ๆ ไม่เช่นนั้นจะแข็งแรงได้อย่างไร? ส่วนเรื่องเงินจงอย่ากังวล เราจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมา”
“ท่านแม่ บะหมี่เริ่มเย็นแล้ว” มู่เจิ้งหานขัดจังหวะถงซื่อ
นางกล่าวอย่างเขินอาย “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็รีบไปทานอาหารเถิด!’
มู่ซืออวี่เดินออกจากห้องของถงซื่อไปด้วยรอยยิ้ม
มู่เจิ้งหานจ้องมองถงซื่อพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านยังไม่ฟื้นตัวดีจากอาการบาดเจ็บ ท่านกินอยู่ให้ดีเพื่อฟื้นตัวให้เร็วเถิด อย่ากังวลต่อสิ่งใด ไว้ข้าเติบโต ข้าจะตอบแทนทุกอย่างให้กับพี่สาวและพี่เขยอย่างแน่นอน”
“ข้าช่างเป็นแม่ที่ไร้ค่า ทำให้เจ้าต้องทุกข์ทนอยู่กับข้า” ถงซื่อสำลัก
“ท่านแม่ เท่าที่ข้าจำความได้ ข้าถูกท่านต่อว่าและตีทุกวัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ามีความสุขเหลือเกินที่ไม่ได้ยินเสียงก่นด่าหรือถูกทุบตี แต่ท่านคงไม่รู้ว่าข้าคิดถึงช่วงเวลานั้นเหมือนกัน ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปหากท่านไม่มีแรงสั่งสอนข้า” มู่เจิ้งหานจ้องมองไปยังถงซื่ออย่างจริงจัง “ต่อให้ท่านปรารถนาจะกลับไป ข้าก็จะไม่ทำเช่นนั้น แต่หากท่านกลับมา เขาก็จะไม่จดจำท่านในฐานะแม่อีกต่อไป”
“ไม่ แม่ไม่กลับไปแน่ แม่พึ่งพาได้เพียงเจ้าเท่านั้น” ถงซื่อเอ่ยเสียงสั่น
มู่เจิ้งหานเผยรอยยิ้ม ในที่สุดใบหน้าอันหมองหม่นของเขาก็ดูเหมือนมีแสงตะวันวาบผ่าน
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านอย่าลำเอียงสิ! นังอ้วนมู่ทำให้ลูกสาวของข้ากลายเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าต้องพูดกับนางให้รู้เรื่อง”
“ได้ ข้าจะเอ่ยถามให้ชัดเจนก่อน จะไม่เข้าข้างผู้ใด”
เสียงตะโกนดังลั่นมาจากด้านนอกประตู พร้อมเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น
“ข้าจะไปเปิดประตูเอง” ลู่อี้ยืนขึ้น
เมื่อได้ยินท่วงทำนองแห่งการเคาะประตู เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าบุคคลผู้มาเยือนนั้นไม่ปรารถนาดีแน่
“ลู่อี้ เจ้าอยู่ที่บ้านนี่!” หัวหน้าหมู่บ้านจ้องมองเขาอย่างช่วยไม่ได้ “เช่นนั้นก็จงทำให้เรื่องจบอย่างง่ายดายที่บ้านเถิด!”
“ลู่อี้ ภรรยาของเจ้าผลักลูกสาวข้าตกน้ำจนทำให้นางป่วยหนัก วันนี้ข้าต้องได้รับคำอธิบายที่ฟังขึ้น”
หญิงวัยกลางคนจ้องมองลู่อี้ด้วยแววตามุ่งร้าย
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวแนะนำ “นี่คือแม่ของหวังซื่อ นางบอกว่าลูกสาวของนางถูกภรรยาของเจ้าผลักตกน้ำขณะกำลังซักผ้า หลังจากกลับมาแล้วหวังซื่อก็มีอาการป่วยหนัก”
ลู่เซวียนจ้องมองไปยังมู่ซืออวี่ “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าทำตัวดีขึ้นแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าจะสร้างปัญหาอีกครั้ง เหตุใดจึงผลักนางตกลงไปในน้ำ? หากเจ้าป่วยจิตก็ไปหาหมอซะ!”
มู่ซืออวี่จ้องมองลู่เซวียนด้วยสายตาเย็นชา “ข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า พี่สะใภ้ก็เป็นดั่งมารดา เจ้าสมควรกล่าวต่อข้าเช่นนี้หรือ? หุบปากของเจ้าเสีย อย่าให้ผู้ใดมองว่าเจ้าโง่เขลาเพราะปากของเจ้าเลย”
ลู่เซวียนแทบกระอัก
เขาประหลาดใจต่อรัศมีแห่งความดุร้ายของมู่ซืออวี่อย่างมาก ชายหนุ่มตัวสั่น เงียบปากโดยสัญชาตญาณ
เมื่อฟื้นคืนสติ เขาก็เห็นมู่ซืออวี่ลุกขึ้นเดินไปยังประตู เขาจ้องมองแผ่นหลังของมู่ซืออวี่ด้วยความโกรธเคืองจนใบหน้าแดงก่ำ
ลู่ฉาวอวี่ดึงลู่จื่ออวิ๋นที่หวาดกลัวเข้ามาใกล้
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวอย่างเป็นกังวล “ท่านพี่ อย่าให้ท่านแม่ถูกพวกเขารังแกได้สิเจ้าคะ!”
“เรามาพิสูจน์กันก่อนเถิด” ลู่ฉาวอวี่รับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าหวังซื่อจะป่วย
ยากที่จะบอกได้ว่าอาการป่วยที่นางเป็นอยู่คือเรื่องจริงหรือเสแสร้ง ตอนนี้อากาศไม่หนาว แต่ก็ไม่ร้อนเช่นกัน
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน อย่าถามเขาเลย เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย” มู่ซืออวี่ก้าวไปข้างหน้า
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกมา” หัวหน้าหมู่บ้านจ้องมองมู่ซืออวี่
การแสดงออกของมู่ซืออวี่ไม่ได้ดูร้ายหรือไร้มารยาท ทัศนคติของหัวหน้าหมู่บ้านที่มีต่อนางนับว่าดีขึ้นอยู่บ้าง