บทที่ 46 เหตุใดถึงปิดประตู
บทที่ 46 เหตุใดถึงปิดประตู
มู่ซืออวี่ทายาให้มู่เจิ้งหานในห้อง เจ้าตัวกำลังสูดลมหายใจเข้าไม่หยุด
“โอ๊ย!”
“ก็ต้องเจ็บน่ะสิ” มู่ซืออวี่ตำหนิเขาในขณะที่นวด “เจ้าไม่รู้หรือไงว่าควรถอยออกมา เจ้าก็โตแล้ว คิดว่าควรเข้าไปงัดกับมันสักตั้งงั้นหรือ”
“งัดสักตั้งคืออะไร?” มู่เจิ้งหานสงสัย
“ก็คือการต่อสู้ตัวต่อตัว ใครให้เจ้าเปลี่ยนเรื่องมิทราบ?” มู่ซืออวี่ทำเสียงไม่พอใจ
“ครั้งหน้าข้าจะหนีไปให้ไกลแน่นอน” มู่เจิ้งหานยอมรับความผิดพลาดของเขาอย่างตรงไปตรงมา “แต่พี่เขยเก่งมาก!”
พี่เขยอย่างนี้พี่เขยอย่างนั้น! นางขอหยุดคำพูดชื่นชมลู่อี้ไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน
มู่ซืออวี่ฟังไปพลางทายาไปพลาง เมื่อน้องชายโม้เสร็จก็ตอบกลับ “พูดถูก เขาเก่งมาก ไม่มีชายคนไหนในหมู่บ้านที่ทรงพลังเหมือนเขาแล้ว”
“หน้าไม่อาย” ลู่เซวียนบ่นพึมพำ “ขี้ประจบเสียจริง”
ลู่อี้ลูบแก้ม หมุนตัวแล้วเดินไปที่เตียงไม้ ตั้งใจจะย้ายมันเข้าไปในห้อง
“ช้าก่อนท่านพี่ เตียงนี่พับได้”
ลู่เซวียนฉลาด ดูแค่ครั้งเดียวก็จำได้ว่ามันใช้อย่างไร เขาจึงทำให้ลู่อี้ดูหนึ่งรอบ
สายตาของลู่อี้ดูประหลาดใจ
ในตอนแรกเมื่อเห็นมู่ซืออวี่จัดเตียงก็เงยหน้าขึ้นมองนางสองสามครั้ง ตอนนี้พบว่าเตียงนี้โดดเด่นและงดงามยิ่งกว่าที่คาดไว้ เรียกว่าต้องมองนางใหม่เลยทีเดียว
มู่ซืออวี่ยื่นยาให้มู่เจิ้งหานแล้วออกมา เมื่อเห็นพี่น้องตระกูลลู่ยืนอยู่หน้าเตียงจึงเดินไปพูดว่า “พวกข้าจะใช้เตียงนี่ก่อน เตียงถัดไปข้าจะให้พวกเจ้าใช้”
ตอนนี้ถงซื่อ มู่ซืออวี่ และลู่จื่ออวิ๋นนอนด้วยกัน ถงซื่อและลู่จื่ออวิ๋นรูปร่างผอมบางก็จริง แต่ถงซื่อก็มีอาการบาดเจ็บ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มู่ซืออวี่รูปร่างอ้วนกินพื้นที่ ทั้งสามคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แออัดจนไม่กล้าแม้แต่จะพลิกตัว
เตียงนี้นางจึงสร้างให้พวกผู้หญิงก่อน ส่วนของลู่อี้และลู่เซวียนค่อยทำวันหลัง
“ไม่ต้องรีบร้อน” ลู่อี้เป็นคนพูดน้อยมาโดยตลอดจึงพูดแค่ว่า “เตียงนี้น่าจะขายได้เงิน”
ถ้าเอาไปขายก็น่าจะมีคนซื้อ อาจมีคนชื่นชมฝีมือของนางก็ได้
“ข้ารู้ แต่ข้าใช้เวลานานมาก ไม่คุ้มค่าแรงด้วย” มู่ซืออวี่พูด “ข้าว่าจะทำกล่องเล็ก ๆ ทดลองขายดูก่อน”
“กล่องเล็ก ๆ ที่เจ้าทำในวันนั้นน่ะรึ?” ลู่อี้นึกถึงกล่องกลที่สวยงามกล่องนั้น
ตอนแรกเขาจะใช้โอกาสนี้ไปที่ห้องสุขาเพื่อปิดกล่องกลไกที่มอบให้ฟางโจวอวี่แล้วเปลี่ยนกลไก คนอย่างฟางโจวอวี่ไม่สมควรจะเปิดมันไปตลอดชีวิต
แต่กลไกที่ซับซ้อนเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนทั่วไป จะมีกี่คนในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ที่จะสนใจ?
“ไม่ใช่หรอก ถึงตอนนั้นข้าค่อยให้พวกเจ้าดู ตอนนี้เก็บไว้เป็นความลับก่อน”
ลู่อี้พับเตียงแล้วย้ายเข้าไปในห้อง
เขาไม่ได้อยู่ในห้องนี้เป็นเวลานาน วันนี้พบว่ามันถูกเก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
เพราะต้องจัดเตียงใหม่ ถงซื่อจึงไม่สามารถอยู่ในห้องได้อีกต่อไป มู่ซืออวี่ช่วยพยุงนางเดินออกมาอย่างช้า ๆ
ถงซื่อไม่ได้ออกมาสูดอากาศเป็นเวลาหลายวัน นางจึงตัวหนาวสั่นเพราะต้องลมตอนกลางคืน
แต่ถึงกระนั้นหลังจากการพักฟื้น ใบหน้าของนางก็ดูมีเนื้อหนังมากขึ้น “ท่านแม่นั่งลงก่อน เดี๋ยวข้าไปช่วย”
“ได้สิ”
เวลานี้ลู่อี้กำลังรื้อเตียง
เดิมทีเป็นกระดานไม้ธรรมดา แต่เนื่องจากใช้งานมานานจึงอ่อนตัวลง ตอนนี้เขาสามารถถอดแยกชิ้นส่วนได้รวดเร็ว
เตียงหลังเก่าฝุ่นเยอะเกินไป
“แค่ก ๆ!”
ลู่อี้เห็นมู่ซืออวี่ไอจึงพูดว่า “เจ้าออกไปก่อน”
“ข้าจะช่วยเจ้า”
“ไม่ต้อง”
มู่ซืออวี่ไม่ฟังลู่อี้ นางเข้าไปช่วยย้ายเศษไม้ออก
ร่างกายนี้ขาดการออกกำลังกายจริง ๆ เพราะมันอ่อนล้าหลังจากย้ายเศษไม้เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
นางเอื้อมมือเช็ดเหงื่อ ทันใดนั้นใบหน้านางก็เต็มไปด้วยฝุ่นเหมือนแมวลายตัวใหญ่
“คิก!” มู่เจิ้งหานหลุดขำ
“เป็นอะไร? หน้าข้าเปื้อนงั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ถามขณะเช็ดแก้ม
“อย่าเช็ด ยิ่งเช็ดยิ่งสกปรก” ถงซื่ออยากจะเข้ามาเช็ด แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว บาดแผลก็เจ็บขึ้นมา ใบหน้าซีดลงทันที
“ท่านแม่ อย่าขยับ” มู่เจิ้งหานพูด “ข้าจะหยิบผ้าเช็ดตัวให้ท่านพี่เอง”
มู่ซืออวี่หยิบผ้าขนหนูที่มู่เจิ้งหานยื่นให้มาเช็ดรอยเปื้อนออก จากนั้นก็เข้าไปช่วยย้ายเศษไม้ต่อ
มู่เจิ้งหานเดินไปที่ประตู เด็กชายเคลื่อนย้ายสิ่งต่าง ๆ ได้คล่องแคล่วกว่ามู่ซืออวี่เสียอีก อาจเป็นเพราะร่างกายเล็ก ๆ ของเขาทนต่อแรงที่ไม่ควรทนในวัยนี้ได้
ลู่ฉาวอวี่เข้ามาช่วย
ลู่เซวียนสุขภาพไม่ค่อยดี ยิ่งเจอฝุ่นก็ยิ่งแย่ เขาจึงไม่กล้าเข้าใกล้
ลู่จื่ออวิ๋นเป็นคนสุดท้องและอ่อนปวกเปียกที่สุดในครอบครัว พวกเขาจึงไม่ให้นางมาช่วยย้ายของ
หลังจากย้ายเสร็จสรรพ เตียงก็ได้รับการติดตั้งเรียบร้อย ในห้องเล็ก ๆ จึงมีพื้นที่เหลือไม่มาก
ในตอนนี้ทุกคนได้เห็นความมหัศจรรย์ของเตียงพับได้ ซึ่งถงซื่อสามารถพับเก็บในระหว่างวันได้
“ในที่สุด” มู่ซืออวี่นั่งลงบนเตียงอย่างผ่อนคลาย
จู่ ๆ ลู่อี้ก็ปิดประตู
มู่ซืออวี่กะพริบตา
คนที่อยู่ด้านนอก “…”
นี่มันเรื่องอะไร?
เหตุใดถึงปิดประตู?
“เจ้ามีอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“ข้าต้องการคุยกับเจ้า” ลู่อี้พูดกับนาง “เหตุใดเจ้าถึงทำสิ่งของพวกนี้ได้?”
มู่ซืออวี่คาดเอาไว้แล้วว่าลู่อี้จะต้องสงสัย นางจึงเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าพาน้องเจ้าไปพบท่านหมอ ข้าหกล้มหัวฟาดพื้นที่บ้าน หลังจากตื่นขึ้น ความทุกข์ที่อยู่ในใจก็หายไป ยิ่งนึกถึงสิ่งที่ทำลงไปก็ยิ่งอาย ต่อมาเมื่อข้าเห็นท่อนไม้พวกนั้น ข้าจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าต้องทำอะไรบางอย่าง ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสิ่งเหล่านี้ถึงปรากฏขึ้นในความคิดของข้า”
คำพูดนี้ต่อให้เขาถามอีกครั้งก็คงจะไม่เข้าใจอยู่ดี
เขาจะถอดสมองนางออกมาดูก็คงไม่ได้
ลู่อี้ไม่ได้พูดต่อ ไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่
มู่ซืออวี่มองดูอย่างตั้งใจ ราวกับอยากจะบอกว่า ‘ข้าพูดจริงนะ มองตาข้าสิ’
ลู่อี้หลบตาแล้วเปิดประตูเดินออกไป
มู่ซืออวี่มองตามหลังของเขาพลางพึมพำในใจว่านางควรจะวางใจหรือไม่?
ครั้นถึงยามค่ำคืน ในที่สุดตระกูลลู่ก็ไม่มีความวุ่นวายแล้ว ทุกคนกลับห้องของตัวเอง ต่างคนต่างครุ่นคิด
ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะคิกคัก ดูมีความสุขยิ่งนัก
เมื่อมู่ซืออวี่กลับมาจากอาบน้ำก็เห็นลูกสาวพลิกตัวไปมาบนเตียง เด็กหญิงดูร่าเริงมาก นางจึงถามว่า “ชอบเตียงนี้มากเลยหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้า “วันนี้ข้ามีความสุขเจ้าค่ะ”
“เพราะเตียงใหม่หรือ?”
“เพราะรองเท้าใหม่ต่างหาก” ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาปริบ ๆ “ท่านแม่ใจดีแบบนี้ ข้าก็มีความสุข ท่านแม่จะใจดีแบบนี้ไปตลอดหรือไม่เจ้าคะ?”
“แน่นอนสิ” มู่ซืออวี่ลูบหัวเด็กน้อย “พรุ่งนี้ข้าจะอาบน้ำให้เจ้า ผมยุ่งหมดแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ของพวกเราจะต้องเป็นสาวที่ตัวหอม จะตัวเหม็นไม่ได้”
ถงซื่อมองดูแม่ลูกที่กำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข ในแววตาก็เต็มไปด้วยความชื่นใจ
ส่วนในห้องข้าง ๆ นั้น ลู่ฉาวอวี่ฟังเสียงหัวเราะจากคนข้างห้อง ก่อนจะมองไปยังดวงจันทร์นอกหน้าต่าง
มู่เจิ้งหานหายใจได้อย่างมั่นคงและยาวเหยียด ดูเหมือนว่าในระหว่างวันเขาจะเหนื่อยมามาก เขาจึงผล็อยหลับไปทันทีที่ล้มตัวนอน
แต่ลู่ฉาวอวี่กลับนอนไม่หลับ
เมื่อคิดถึงความผิดปกติของผู้หญิงคนนั้น เขาก็ยิ่งกังวลเกี่ยวกับอวิ๋นเอ๋อร์มากขึ้น อวิ๋นเอ๋อร์ชอบนางมาก หากวันหนึ่งนางเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเดิม อวิ๋นเอ๋อร์จะรับได้หรือไม่?