บทที่ 50 เจ้าจัดแจงหน้าที่พวกข้าซะเสร็จสรรพเลยนะ
บทที่ 50 เจ้าจัดแจงหน้าที่พวกข้าซะเสร็จสรรพเลยนะ
มู่ซืออวี่เข้ามาจากด้านนอก ครั้นเห็นถงซื่อขยี้ตาก็ถามด้วยความเป็นห่วง “เหตุใดท่านถึงร้องไห้เล่า?”
ถงซื่อวางมือลง ก่อนจะหรี่ตาแล้วพูดว่า “ไม่ ข้าไม่ได้ร้องไห้ ข้าแสบตาตอนหั่นหัวหอม ก็เลยลืมตาไม่ขึ้น”
“เดี๋ยวข้าล้างให้”
มู่ซืออวี่ช่วยทำความสะอาดดวงตาของถงซื่อแล้วพยุงให้อีกฝ่ายนั่งลง
“ไม่ต้อง ที่เหลือข้าจัดการเอง พักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”
ถงซื่อหรี่ตาดูมู่ซืออวี่ที่กำลังวุ่นวาย รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
“กว่าจะสร้างกระท่อมเสร็จคงกินเวลาสองสามวัน ท่านอาศัยอยู่กับเราก่อนเถอะ ข้าจะทำเตียงให้อีกสองเตียง ตอนนี้มีคนช่วยเยอะพอดี”
ในหมู่บ้านมีคนงานผู้ชายหลายคน ขอให้ช่วยงานหนักหลายงานก็ย่อมได้ พวกเขาช่วยผ่อนแรงไปได้มาก และเพื่อเป็นการขอบคุณ นอกจากค่าจ้างแล้ว มู่ซืออวี่ก็ยังทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเขามากมาย
“ไม่ต้องหรอก พวกข้าแค่เอาไม้สองท่อนมาวางเป็นที่นอนแทนก็ได้ หลายปีมานี้ก็ทำแบบนี้”
จนถึงตอนนี้ เตียงในห้องของมู่ต้าซานก็เป็นเพียงแผ่นไม้ที่มีหินอยู่ข้างใต้ นอนบนนั้นทีไรก็ไม่กล้าพลิกตัว เพราะถ้าพลิกตัวก็จะส่งเสียง
มู่ซืออวี่จึงเอ่ยขึ้นในท้ายที่สุด “อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันคือปัจจุบัน เมื่อก่อนท่านตัดสินใจเองไม่ได้ แต่ตอนนี้ท่านตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ในเมื่อท่านรับผิดชอบชีวิตตัวเองแล้ว เหตุใดถึงไม่ปล่อยให้ชีวิตสบายกว่านี้เล่า?”
….
พวกนางใช้เวลาสามวันในการซ่อมแซมกระท่อม และอีกครึ่งวันในการสร้างกำแพง เมื่อมองจากภายนอก กระท่อมทรุดโทรมที่เพิ่งพังทลายลงเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ดูเหมือนจะกลับมาอายุน้อยกว่าเดิมหลายสิบปี จู่ ๆ ก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด
“พี่อี้ทำเตียงสองเตียงนี้เองหรือ?” มู่ต้าหนิวถามด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อไม่กี่วันเจ้าช่วยข้ามาตลอดเลยไม่ใช่หรือ? เจ้าย้ายไม้ลงมาจากภูเขา เจ้าไม่รู้หรือ?”
มู่ซืออวี่มองห้องใหม่เอี่ยมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสำเร็จ
“อีกไม่กี่วันข้าจะสร้างตู้เพิ่มอีกสองสามตู้ เอาไว้ใส่ของในกระท่อมนี้ ทีนี้ก็ใช้ได้แล้ว” มู่ซืออวี่พูดพลางยื่นแม่กุญแจให้มู่เจิ้งหานที่กำลังงุนงง “และจากนี้ไปที่นี่คือกระท่อมของเจ้ากับท่านแม่”
มือของมู่เจิ้งหานสั่นเทา
เขามีบ้านแล้ว…
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขายังคงทำงานอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนภายใต้คำด่าของแม่เฒ่าเจียงราวกับทาสของครอบครัวนั้น ทว่าห่างกันเพียงหนึ่งเดือน ชีวิตของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปมาก
“ขอบคุณ… ท่านพี่” มู่เจิ้งหานมองนางอย่างซาบซึ้ง
มู่ซืออวี่ยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ต้องไปขอบคุณพี่เขยของเจ้า”
มู่เจิ้งหานมองลู่อี้ที่อยู่ไม่ไกล “ขอบคุณพี่เขย ต่อไปนี้ข้าจะตอบแทนท่านพี่”
“ดูเจ้าเด็กคนนี้สิ” ผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านหัวเราะอย่างใจดี
“คืนนี้มากินข้าวเย็นกันเถอะ! ถือว่าต้อนรับกระท่อมใหม่อย่างอบอุ่น” มู่ซืออวี่เชิญชวนทุกคน “ข้าอยากจะขอบคุณทุกคนอย่างเป็นทางการสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้ ข้าขอให้พวกเจ้าช่วยข้ามาตั้งหลายวัน ขอบคุณทุกคนมากนะ”
ทุกคนต่างเขินอายกับคำชม แต่ก็ไม่มีใครพูดเรื่องทักษะฝีมือของมู่ซืออวี่
มู่ต้าหนิวมองลู่อี้ด้วยสายตาอิจฉา “ท่านพี่ ท่านทำอาหารอร่อยจริง ๆ”
ลู่อี้แอบชำเลืองมองมู่ซืออวี่ ไม่ได้พูดอะไรกลับไป
ทุกคนลำบากใจที่จะตอบ แต่มู่ซืออวี่เชิญชวนพวกเขาอย่างกระตือรือร้นและขอให้พวกเขาพาสมาชิกในครอบครัวมาด้วย เหล่าคนงานเห็นนางบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ จึงกลับไปพาครอบครัวมาจริง ๆ
“ลู่อี้ ไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านกับครอบครัวของเขามาสิ”
มู่ซืออวี่เห็นลู่อี้ที่กำลังขนน้ำอยู่จึงจัดการงานให้เขาอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าจะไปเอง” ลู่เซวียนอาสา
“เจ้าต้องอยู่ช่วยข้าจุดไฟ ข้าทำคนเดียวไม่ได้” มู่ซืออวี่กล่าว
ลู่เซวียนเย้ยหยัน “เจ้าจัดแจงหน้าที่พวกข้าซะเสร็จสรรพเลยนะ”
ลู่อี้มองลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นที่กำลังเก็บผัก มู่เจิ้งหานกลับมาจากการเก็บผักพอดีจึงยืนยันคำพูดของลู่เซวียนที่ว่า ‘จัดแจงหน้าที่พวกข้าซะเสร็จสรรพ’
มู่ซืออวี่ไม่ได้สนใจสายตาของลู่อี้
นางต้องทำอาหารสองสามโต๊ะด้วยตัวเอง แค่นี้ก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นแล้ว
วัตถุประสงค์ของการจัดงานเลี้ยงในวันนี้ ประการแรกคือเพื่อเป็นการขอบคุณชาวบ้านที่ให้ความช่วยเหลือและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้าน เจ้าของร่างเดิมเป็นคนไม่ดี ชอบทำให้ทุกคนขุ่นเคือง นางจึงอยากจะเปลี่ยนเรื่องราว
ประการที่สองคือ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าตอนนี้มู่ซืออวี่มีจิตใจที่งดงามเพียงใด
และประการที่สามคือ แสดงให้ทุกคนเห็นว่าแม้ว่าถงซื่อและมู่เจิ้งหานจะย้ายออกไป พวกเขาก็จะยังคงเป็นครอบครัวของนาง และนางจะไม่เพิกเฉยต่อพวกเขา
ทุกคนรู้เรื่องของตระกูลลู่ พวกเขาไม่มากินมือเปล่า แต่นำผักหรือเหล้าที่เก็บไว้มาให้ หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็เอาไข่ที่เพิ่งออกใหม่สองสามฟองมาแทนเพื่อให้ดูดี
เมื่อเจ้าภาพอบอุ่นและแขกก็รู้กาลเทศะ งานเลี้ยงนี้จึงอบอุ่นกว่าที่คาดไว้ อย่างไรคนที่ลู่อี้เลือกคบก็เป็นคนดีกันทั้งนั้น
มู่ต้าซานยืนอยู่นอกประตู ฟังเสียงคึกครื้นด้านในก็รู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินก้อนใหญ่กำลังถ่วงอยู่ในใจ
วันนี้เขาไม่มีอะไรจะกิน
เขาออกไปทำงานในตอนเช้า เหนื่อยเกินกว่าจะยกมือขึ้นด้วยซ้ำ ยิ่งแม่เฒ่าเจียงด่าภรรยาของเขาอย่างเคียดแค้น เขาก็โกรธเกินกว่าจะกินข้าวได้ลง
เขาไม่รู้ว่าเขามาถึงที่นี่ได้อย่างไร
เอี๊ยด!
เสียงประตูเปิดออก มีเด็กคนหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านใน
เด็กคงจะไม่คาดคิดว่าจะมีคนอยู่ที่นี่ และเพราะมันมืดเกินไป เขาจึงมองเห็นได้เพียงเงา เด็กชายกลัวมากจนร้องไห้เสียงดัง
“โฮ…”
“เป็นอะไรไป?”
ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งไปอย่างกระวนกระวาย
“ไฉนถึงร้องไห้ เจ้าล้มหรือ?” ผู้หญิงคนนั้นอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา จึงได้เห็นมู่ต้าซานยืนอยู่ตรงนั้นอย่างงุ่มง่ามพอดี “ต้าซาน มายืนทำอะไรตรงนั้น? เจ้าทำให้ลูกข้ากลัวนะ”
คนที่คุยกันอยู่ด้านในหยุดพูดแล้วมองไปที่ประตูอย่างสงสัย
มู่ต้าซานมองถงซื่อที่นั่งอยู่ด้านในอย่างขัดเขิน
ถงซื่อยืนขึ้นทันที นางต้องการจะออกไปดู แต่ถูกมู่เจิ้งหานหยุดไว้
มู่เจิ้งหานตัวน้อยมองไปที่ถงซื่อด้วยสายตาจริงจัง “อย่าไป”
“หานเอ๋อร์ นั่นพ่อของเจ้านะ” ถงซื่อพูดอย่างประหม่า “เขาคงเสียใจก็เลยมาหาเรา เขายังเป็นห่วงพวกเราอยู่”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว ตักไข่ตุ๋นขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วป้อนลู่จื่ออวิ๋น
“อวิ๋นเอ๋อร์ กินเยอะ ๆ นะ”
“ท่านแม่ อวิ๋นเอ๋อร์กินไปเยอะแล้ว ท่านก็ควรจะกินเหมือนกันนะ” ลู่จื่ออวิ๋นดันช้อนเข้าปากมารดา
“แม่ฉาวอวี่ เจ้าเลี้ยงลูกสองคนของเจ้าได้อย่างไร ไฉนลูกอีกคนถึงมืดมนเช่นนั้น” พี่สาวข้าง ๆ นางพูดอย่างอิจฉา “อวิ๋นเอ๋อร์นี่ช่างน่ารักน่ามองเหมือนเทพธิดาเสียจริง”
“ก็ถูกพ่อเลี้ยงมานี่นา” มู่ซืออวี่กล่าว
มุมปากของลู่เซวียนกระตุก
ช่างประจบสอพอจริง ๆ
ทว่ามันก็เป็นความจริง
ทุกคนรู้จักหน้าตาของลู่อี้ว่าเป็นเช่นไร เขาเป็นผู้ชายในฝันของสาวน้อยหลายคนก่อนที่จะเสียโฉม
อีกด้านหนึ่ง ถงซื่อยังคงถูกมู่เจิ้งหานรั้งไว้
ดวงตาของถงซื่อแดงก่ำ นางแอบเช็ดน้ำตาไม่ให้ใครเห็น
มู่ซืออวี่มองออกว่ามีเพียงมู่เจิ้งหานเท่านั้นที่สามารถเข้าใจสถานการณ์ แม้ว่ามู่เจิ้งหานจะอายุน้อย แต่เขาก็มีสมองมากกว่าถงซื่อ
มู้เจิ้งหานหยิบปิ่งขึ้นมาสองชิ้นและน่องไก่อีกหนึ่งชิ้น จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูลานบ้าน