สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 53 หากไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ข้าก็ไม่มีเรื่องด้วย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 53 หากไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ข้าก็ไม่มีเรื่องด้วย

บทที่ 53 หากไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ข้าก็ไม่มีเรื่องด้วย

บรรดาสาวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ มู่ซือเจียวต่างมองนางด้วยสายตาแปลก ๆ

ที่แท้การเป็นคนใช้นี่มันน่าเวทนาสินะ!

“คราวก่อนนะ ข้าเข้าเมืองไปเยี่ยมท่านป้า บังเอิญไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งมาซื้อของที่ร้านป้ากับสาวใช้ แล้วเหมือนกับว่าคนใช้จะพูดอะไรสักอย่างผิดไป ผู้หญิงคนนั้นเลยสั่งให้คนใช้ตบหน้าตัวเองล่ะ ตบจนหน้าบวมช้ำไปหมด”

“น่ากลัวมาก! แค่พูดจาไม่เข้าหูเจ้านายก็โดนทำร้ายได้ขนาดนี้ แล้วถ้าทำความผิดอย่างอื่นล่ะ คงไม่ถึงขั้น…”

มู่ซือเจียวฟังแล้วก็รู้สึกได้ว่าหน้าแตกเสียจนหมอไม่รับเย็บ

“ไม่ใช่สักหน่อย สาวใช้คนนั้นโดนทุบตีก็เพราะว่านางทำผิด ถ้านางไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วนางจะโดนทุบตีได้อย่างไร? ตระกูลหลี่เป็นถึงระดับข้าราชการ พูดจาอะไรต้องมีเหตุผลที่สุดแล้ว พวกเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ซี้ซั้วทุบตีสาวใช้หรอก”

“งั้นหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นข้าก็ขอให้เจ้าได้ไต่ระดับขึ้นไปอยู่ที่สูงเร็ว ๆ สูงจนไปถึงเตียงนอนของคุณชายตระกูลหลี่เลยนะ”

“แก! ฉันจะฉีกปากแกทิ้ง” มู่ซือเจียวโกรธจัด พุ่งเข้าหามู่ซืออวี่ด้วยความโกรธแค้น

มู่ซืออวี่หลบไปด้านข้าง ถอยกลับเข้าไปในบ้านของตัวเองแล้วแลบลิ้นใส่มู่ซือเจียว “นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดอยู่ในใจหรอกรึ?” หลายปีมานี้ที่เจ้าไม่แต่งงาน ก็ไม่ใช่เพื่อการนี้หรอกรึ? จะเสแสร้งไปเพื่ออะไร?”

บรรดาสาวน้อยแถวนั้นก้มหัวลงแอบกลั้วหัวเราะ

เดิมทีพวกนางค่อนข้างอิจฉามู่ซือเจียวเลยทีเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าสาวใช้น่าเวทนาขนาดนี้ ความอิจฉาเพียงชั่ววูบก็มลายไปจนสิ้น

ตามที่มู่ซืออวี่ได้กล่าวไว้ แม้ว่าจะยากจนมาตลอดชีวิต แต่พวกนางก็ยังอยู่กับครอบครัวที่ดี ไม่จำเป็นต้องไปเป็นขี้ข้ารองมือรองตีนรับใช้คนอื่น เมื่อคิดแบบนี้แล้ว การได้มีชีวิตแสนธรรมดาก็ยิ่งมีความสุข

“ซืออวี่ ข้าได้ยินมาจากแม่ของข้าว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าดีมาก พี่ชายของข้ากำลังจะแต่งงานเร็ว ๆ นี้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราต้องเชิญคนในหมู่บ้านมากินเลี้ยงงานแต่ง เจ้าจะมาช่วยงานพวกเราหน่อยได้หรือไม่ วางใจได้นะ พวกเราไม่ให้เจ้าช่วยเปล่า ๆ หรอก”

“พี่ชายของเจ้าจะแต่งงานรึ? ดีเลย! เมื่อถึงเวลานั้นข้าไปช่วยงานแน่นอน เรื่องอื่นไม่ต้องพูดหรอก พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แค่ลงมือลงแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง ไม่ได้ลำบากอะไรนักหนา”

เดิมทีสาวน้อยเหล่านี้ล้วนสนิทกับมู่ซือเจียว แต่เมื่อเห็นว่ามู่ซืออวี่ในตอนนี้ไม่ได้ใจร้ายเหมือนเมื่อก่อน แถมยังพูดจาดีเช่นนี้ พวกนางจึงสนิทกันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

มู่ซือเจียวเป็นที่อิจฉาของสาว ๆ ในหมู่บ้านมาโดยตลอด นางไม่ต้องทำงานมากจนเกินไป มีดอกไม้สวย ๆ ประดับผมอยู่เรื่อย ๆ เสื้อผ้าของนางก็สะอาดเรียบร้อยที่สุด แม้แต่รอยปะก็ไม่มี ถ้านำมาปรับแต่งอีกเพียงเล็กน้อย นางก็จะกลายเป็นสาวที่สวยที่สุดในหมู่บ้าน ไม่เพียงแต่ในหมู่บ้านของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหมู่บ้านข้าง ๆ อีกด้วย ชายหนุ่มหลายคนต่างก็มารุมจีบนาง สุดท้ายนางจึงหลงตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าวันนี้ลมได้เปลี่ยนทิศเสียแล้ว การที่มู่ซือเจียวได้ไปเป็นคนใช้ตระกูลเศรษฐี เดิมทีสาว ๆ ในหมู่บ้านต่างอิจฉานาง แต่หลังจากที่มู่ซืออวี่อธิบายเช่นนี้ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามู่ซือเจียวแปลกแยก ไม่เข้าพวกกับพวกเขา

เมื่อมู่ซืออวี่กลับมาที่ลานบ้าน มู่ซือเจียวก็ตะโกนโวยวายด้วยความโมโห จากนั้นก็เดินจากไปด้วยความโกรธแค้น

“เจ้านี่กวนประสาทจริงเก่งนะ” ลู่เซวียนยืนพูดอยู่ตรงหน้าต่าง “เมื่อก่อนข้าเจอเจ้ากับลูกพี่ลูกน้องของเจ้า เจ้าเหมือนนกกระทาสงบปากสงบคำ พอมาตอนนี้รู้จักสู้กลับแล้วสินะ”

“ใครใช้ให้นางมาหาเรื่องข้าล่ะ?” มู่ซืออวี่ยังคงทำงานต่อ “หากไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ข้าก็ไม่มีเรื่องด้วย แต่ถ้ามีคนมารังแกข้า ข้าก็จะตอบแทนกลับไปอย่างสาสม ถ้าไม่อยากโกรธกันก็อย่ามาหาเรื่องกันสิ!”

ในวันนั้นมู่ซือเจียวก็ได้ตามลูกพี่ลูกน้องของนางไปที่เมืองหลวง

แม่เฒ่าเจียงเที่ยวพูดไปทั่วว่าหลานสาวของนางกำลังจะได้ดิบได้ดีแล้ว ต่อไปทุกเดือนก็มีเงินใช้ หลายคนที่ได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกภูมิใจในตัวนาง หลงคิดว่ามู่ซือเจียวได้แต่งงานเข้าไปอยู่ในตระกูลเศรษฐี โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วนางไปเป็นสาวใช้

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของแม่เฒ่าเจียง มู่ซือเจียวก็นับว่าเข้าไปอยู่ในตระกูลเศรษฐีได้ประมาณครึ่งตัวแล้ว ในเมื่อหลานสาวของนางงดงามเช่นนี้ ไม่ช้าไม่นานนางก็จะกลายมาเป็นท่านย่าในตระกูลเศรษฐี?

“แม่หาน นี่เจ้าแบกอะไรมาน่ะ?”

ถงซื่อเดินผ่านมาพร้อมตะกร้าต้นกล้าผัก หญิงที่กลับมาจากทุ่งนาจึงเอ่ยทักทาย

“ข้าไปปรับพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่งไว้ ตั้งใจว่าจะปลูกผักพวกนี้สักหน่อยน่ะ” ถงซื่อรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เสียงของนางแผ่วเบาราวกับเสียงยุง และถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในระยะใกล้กันก็คงไม่ได้ยินจริง ๆ ว่านางพูดอะไร

แม่เฒ่าเจียงเดินข้ามมาจากฝั่งตรงข้าม สบถขึ้นมาว่า “ตัวซวย!”

เมื่อถงซื่อได้เห็นแม่เฒ่าเจียง สีหน้าของนางก็ซีดเผือด

ครั้นเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ผู้หญิงที่เอ่ยทักทายจึงรีบพูดกับถงซื่อว่า “เมื่อสักครู่เห็นลูกสาวของเจ้าไปที่บ้านของเจ้าน่ะ เจ้ารีบไปดูเถอะ”

เดิมทีแม่เฒ่าเจียงว่าจะเข้าไปหาเรื่องถงซื่อ แต่ครั้นได้ยินหญิงคนนั้นพูดเช่นนี้ก็กัดฟันด้วยความโกรธแค้น ได้แต่จ้องมองถงซื่อวิ่งหนีไป

ในอดีตนั้นมู่ซืออวี่เป็นดั่งสุนัขรับใช้แม่เฒ่าเจียงที่คอยทำทุกอย่างตามที่นางสั่ง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเสียแล้ว นังสารเลวนั่นไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา จู่ ๆ ก็กลายร่างเป็นหมาบ้า หันมาแว้งกัดพวกนาง

“ฮึ่ม! หญิงแก่คนนี้จะรอวันที่พวกแกร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ”

รอวันที่หลานชายคนโตของนางสอบผ่านได้ที่หนึ่ง และได้เป็นข้าราชการระดับสูงเมื่อไหร่ นางจะจับพวกมันทั้งหมดเข้าคุกให้หมด

ถงซื่อกลับเข้ามาในบ้าน วางตะกร้าผักไว้ข้าง ๆ แล้วใช้มือแตะหน้าอกตัวเอง

“ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรือ?” มู่เจิ้งหานแบกฟืนกลับเข้ามาในบ้าน

ถงซื่อรีบตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก”

“ท่านพี่ชวนพวกเราไปกินข้าวเย็นที่บ้านนางน่ะ” มู่เจิ้งหานบอก

“พวกเราไม่ไปดีกว่าหรือเปล่า? ไปกินดื่มที่บ้านเขาบ่อย ๆ เช่นนี้ ต่อให้พี่เขยเจ้าไม่ได้พูดอะไรก็เถอะ แต่พวกเราไม่ควรไปเพิ่มภาระให้พวกเขาแบบนี้” ถงซื่อลังเล

“ดูเหมือนว่าท่านพี่มีเรื่องจะพูดน่ะ” มู่เจิ้งหานย้ายฟืนเข้าไปในครัว

พอเดินออกจากครัว เขาก็เอามือปาดเหงื่อ

ลู่อี้มาชวนถงซื่อและมู่เจิ้งหานด้วยตัวเอง พวกเขาถึงได้ไป

เมื่อได้เห็นแพะกำลังกรีดร้องอยู่ตรงลานบ้าน มู่เจิ้งหานก็ยิ่งนับถือลู่อี้เพิ่มมากขึ้น

ที่โต๊ะอาหาร มู่ซืออวี่กล่าวว่าเช้าวันรุ่งขึ้นนางจะเข้าเมืองไปทำธุระกับลู่อี้ ขอให้ถงซื่อและมู่เจิ้งหานช่วยมาดูแลบ้านนางให้สักหน่อย

ถงซื่อรับปากช่วยอย่างเต็มใจ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายฉายแววแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ความยินดีที่สามารถช่วยเหลือลูกสาวได้บ้างและไม่เป็นภาระให้กับลูกสาว เป็นสิ่งที่นางปรารถนาเป็นอย่างยิ่งในช่วงนี้

ลู่เซวียนหน้ามุ่ย

เขาอยู่บ้านทั้งคน ไฉนเลยยังต้องการคนอื่นมาดูแล? แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

แม้ว่าถงซื่อจะขี้กลัว แต่นางก็ไม่ทำตัวน่ารำคาญให้คนเกลียด ส่วนมู่เจิ้งหาน หนุ่มน้อยคนนี้ ตั้งแต่อายุยังน้อยเขาก็ผ่านความเจ็บปวดทุกข์ระทมมามาก ในทางกลับกัน ความขมขื่นเหล่านั้นกลับทำให้เขารู้จักเห็นอกเห็นใจคนที่ต้องเผชิญความทุกข์เหมือนกันกับเขา เรียกได้ว่ามีทัศนคติดีมาก

เช้าตรู่ของวันถัดไป ก่อนรุ่งสาง ลู่อี้อุ้มแพะขึ้นมาแบกไว้ ส่วนมู่ซืออวี่ก็ถือหีบที่นางแสนจะหวงแหนเดินทางมุ่งตรงไปที่เมือง

ลู่อี้เดินตามอยู่ด้านหลัง คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของคนข้างหน้าอย่างตั้งใจ

คราวก่อนที่มู่ซืออวี่เดินทางเข้าเมือง นางเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เหนื่อยมากเสียจนต้องขอพัก แต่วันนี้กลับตรงกันข้าม นางไม่ได้โอดครวญว่าทรมานหรือเหนื่อยเลยสักนิด อีกทั้งยังเดินได้อย่างต่อเนื่องด้วย

เขามัวแต่ยุ่งกับธุระของตัวเอง ไม่ได้สังเกตว่านางผอมลงไปไม่น้อย เสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่ถึงได้หลวมโครก

เมื่อฟ้าสว่าง บนถนนก็เต็มไปด้วยผู้คน

“เหนื่อยชะมัด” มู่ซืออวี่หาที่นั่งพักสักครู่ “เจ้าแบกของน้ำหนักตั้งสองร้อยจิน ไม่พักหายใจเลยสักนิด น่าหมั่นไส้นัก”

ลู่อี้รับเอาตะกร้าสะพายหลังของนางมาถือ และพูดขึ้นมาเบา ๆ “พอเดินหลาย ๆ ครั้ง ข้าก็ชิน”

“ยังอีกไกลแค่ไหนเนี่ย?”

“เอ่อ…” ลู่อี้ยังไม่ทันจะได้พูด ก็มีเสียงพูดดังขึ้นจากด้านหลัง

“พี่อี้!” ผู้ชายคนหนึ่งเรียกเขา “บังเอิญจริง! พวกเรามาเจอกันที่นี่”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท