บทที่ 57 ซื้อให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ถูกกัน
บทที่ 57 ซื้อให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ถูกกัน
หลังจากทำข้อตกลงทางธุรกิจเรียบร้อย มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้อยู่ต่อ นางกล่าวคำอำลา เจิ้งซูอวี้จึงไปส่งมู่ซืออวี่ชั้นล่างและปล่อยส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของชิวซวง
“ฮูหยิน อาจารย์ลู่กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องชงชาเจ้าค่ะ” ชิวซวงกล่าว
“ขอบคุณแม่นางชิวซวง” มู่ซืออวี่กล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
“ใช่แล้ว มีประโยคหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่?” เจิ้งซูอวี้กล่าว
“แม่นางซูอวี้พูดมาเถอะ”
“เมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินที่ท่านพูดกับแม่นมท่านนั้น ข้าไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร”
มู่ซืออวี่เหลือบมองไปทางห้องโถงของร้าน เมื่อไม่เห็นแม่นมท่านนั้นแล้ว นางก็ไม่ได้ปกปิดมันอีกต่อไป และพูดในสิ่งที่นางสังเกตเห็น
“ข้าได้ยินพี่เลี้ยงคนนั้นคุยกับแม่นางหรูอวิ๋นในร้าน สำเนียงของแม่นมท่านนั้นดูไม่เหมือนคนเมืองเลย ถึงนางจะเลียนแบบได้ดี แต่ข้าก็ยังคิดว่ามันแปลก ๆ นอกจากนี้ นิ้วชี้กับนิ้วกลางของนางยังยาวมาก ผิวก็ยังดูด้าน ใบหน้าก็ดูน่ากลัว หากเป็นแม่นมของครอบครัวที่ธรรมดาจริง ข้าเกรงว่าคงจะคบค้ากับครอบครัวนี้ยากแล้ว”
“ข้าแค่พูดตามที่คิด ข้าไม่รู้ว่าแม่นมท่านนั้นร้อนตัวอะไร หากแม่นางซูอวี้ต้องการร่วมกิจการกับพวกเขาก็ลองตรวจสอบให้ดี ๆ แล้วค่อยตัดสินใจจะดีกว่า”
ผู้ที่ทำกิจการต้องระมัดระวังให้มาก เพราะคำสั่งเดียวอาจทำให้หนึ่งปีหรือสองสามปีนั้นไร้ประโยชน์ไปเลยก็ได้ ฉะนั้นต้องลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
สิ่งที่มู่ซืออวี่ไม่ได้พูดคือดวงตาของแม่นมท่านนั้นเหม่อลอยหลังจากเข้ามาในร้าน อีกฝ่ายไม่สามารถซ่อนความโลภที่อยู่ในแววตาได้ คนแบบนี้มองแวบแรกก็ดูไม่ใช่คนที่ไม่ดี การระวังตัวไว้ก่อนนั้นย่อมดีเสมอ
“ขอบคุณแม่นางซืออวี่ที่เตือนข้า” เจิ้งซูอวี้กล่าว “เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านบอกว่าพาแพะป่ามาที่นี่ วันนี้ครอบครัวของข้าจะจัดงานเลี้ยง ท่านไม่ขายแพะตัวนี้ให้ครอบครัวพวกข้าเล่า?”
เหตุใดมู่ซืออวี่ถึงจะไม่รู้ว่านี่คือความหวังดีของเจิ้งซูอวี้?
แน่นอนว่านางไม่ปฏิเสธ
สำหรับครอบครัวใหญ่นั้น แพะป่าตัวเดียวคงไม่พอ แต่เจิ้งซูอวี้เป็นนักธุรกิจที่ตั้งใจจะคบค้าสมาคมกับนาง และสนใจในงานฝีมือของนางจึงได้ช่วยซื้อไว้ให้
เจิ้งซูอวี้สั่งให้ชิวซวงจัดการส่วนที่เหลือ จากนั้นก็กลับไปที่ชั้นสองเพื่อจัดการกับสิ่งของในร้านต่อ
ตอนที่มู่ซืออวี่ออกมาพร้อมกับถุงเหรียญทองแดงใบใหญ่ ลู่อี้ก็กำลังรอนางอยู่โดยการหันหลังให้ร้านค้า
นางตบไหล่เขาแล้วยื่นเหรียญเงินให้เขา “นี่ 12 ตำลึง”
ลู่อี้รับมา
นี่คือเงินค่ายาของลู่เซวียน หากจ่ายไปก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
มู่ซืออวี่ชูกระเป๋าในมือพลางส่ายไปมา “ขายไป 480 อีแปะ ข้าได้กำไรด้วยล่ะ”
หากนางมีหาง นางคงกระดิกหางอย่างมีชัยไปแล้ว
ลู่อี้ยิ้มมุมปากพลางส่งเสียงพอใจในลำคอ
ชิวซวงพูดเบา ๆ ว่า “ฮูหยิน อาจารย์ลู่ ชิวซวงคงไม่ได้ไปส่งท่านสองคนนะเจ้าคะ”
“แม่นางชิวซวง ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ” มู่ซืออวี่โบกมือ “พวกข้าไปก่อน”
ลู่อี้มองมู่ซืออวี่ที่เดินอยู่ด้านหน้า
นางอารมณ์ดีกับทุกเรื่อง ตอนนี้นางกำลังหายใจเป็นคำว่า ‘ข้ามีความสุขมาก’ ออกมา เขาเองก็พลอยรู้สึกถึงความพอใจนี้ไปด้วย
“วันนี้พวกเรามากินอะไรที่ต่างไปจากเดิมกันเถอะ!” มู่ซืออวี่หยุดอยู่หน้าแผงขายเนื้อ “หัวหมู หางหมู ขาหมู…”
“ของพวกนี้ไม่มีเนื้อนะ” ลู่อี้ลังเล
“แต่ก็อร่อยนี่” มู่ซืออวี่หันกลับมามองเขา “เชื่อข้าสิ มันอร่อยจนทำให้เจ้าทนไม่ไหวแน่นอน”
“อืม” ลู่อี้พยักหน้า “ตกลง”
มู่ซืออวี่หัวเราะ จากนั้นจึงหันไปพูดกับคนขายเนื้อ “หัวหมู หางหมู ขาหมู เครื่องในหมู เลือดหมู ตับหมู ข้าเอาทั้งหมด”
“ฮูหยิน ของพวกนี้ไม่อร่อยนะขอรับ” คนขายเนื้อเห็นดังนั้นจึงโน้มน้าว “ซื้อเนื้อดี ๆ กลับไปจะดีกว่านะขอรับ”
“ข้าเอาพวกนี้แหละ ทั้งหมดเท่าไหร่?”
“เช่นนั้นข้าจะให้ราคาถูก เอาไปเลย 15 อีแปะ!”
ดูเหมือนคนขายเนื้อจะค้าขายอย่างซื่อสัตย์ ครั้นเห็นนางอยากซื้อของที่ขายไม่ออก เขาจึงให้นางซื้อไปอย่างง่ายดาย
“เถ้าแก่เป็นคนดี ต่อไปข้าจะมาซื้อของที่นี่อีกนะ”
คนขายเนื้อหัวเราะ
มีใครบ้างไม่ชอบการถูกชมเชย?
ลู่อี้ตามมู่ซืออวี่ไปพร้อมกับข้าวของบนหลัง เขาเห็นนางซื้อข้าวและเส้น จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่ร้านรองเท้า
เขาอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
มู่ซืออวี่รีบออกมาพร้อมกับถุงใบเล็ก
ลู่อี้มองถุงผ้าที่นางถืออยู่ แววตาดูเป็นกังวล ดูเหมือนนางเพิ่งซื้อมาหนึ่งคู่ เงินที่นางเพิ่งหามายังมีเหลืออยู่หรือไม่?
เขาไม่ได้จับจ้องหมายตาเงินของนาง เพียงแต่กังวลว่านางจะใช้มันฟุ่มเฟือยและใช้จนหมดในชั่วพริบตา แล้วต่อไปเล่าจะทำอย่างไร?
“เจ้ามีอะไรต้องการเพิ่มหรือไม่?” มู่ซืออวี่หันมาถาม
ลู่อี้ส่ายหัว “ไม่มี”
หากเสื้อผ้าหมดก็ใส่หนังสัตว์แทนได้ หากไม่มีรองเท้าก็สามารถเดินเท้าเปล่าได้
ยังมีค่าใช้จ่ายในบ้านอีกมาก ดังนั้นต้องประหยัดให้มากที่สุด!
“งั้นก็กลับบ้านกันเถอะ” มู่ซืออวี่สะบัดผมให้ไปอยู่ด้านหลังอย่างสง่างาม
ลู่อี้ได้กลิ่นหอมจาง ๆ ในอากาศ
สายตาของเขาจ้องมองผมของนางไม่หยุด
หลังจากการดูแลในช่วงนี้ ผมที่แห้งเสียก่อนหน้านี้ก็กลับมาเงางามและเรียบลื่น นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมของพืชพรรณธรรมชาติอีกด้วย ได้กลิ่นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้พิถีพิถันมากเช่นไร แม้จะไม่มีน้ำหอมแห้ง แต่นางก็ใช้ธรรมชาติมาดูแลตัวเอง
เขายิ่งแน่ใจว่านางต้องเคยมีชีวิตที่ดีมาก่อน บางทีนางอาจจะเป็นกุลสตรีชั้นสูงก็ได้
แต่เป็นกุลสตรีชั้นสูงที่รู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย สามารถทำอาหารและทำงานได้ ครอบครัวแบบไหนกันที่สามารถปลูกฝังหญิงสาวที่น่าทึ่งเช่นนี้ได้?
“อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”
มู่ซืออวี่เห็นกำแพงลานที่คุ้นเคยจึงตะโกนไปทางนั้น
ประตูรั้วลานบ้านเปิดออก ลู่จื่ออวิ๋นที่มัดผมแกละน้อย ๆ สองข้างวิ่งออกมาจากข้างใน
“ท่านแม่…”
นางกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของมู่ซืออวี่
และเมื่อเห็นลู่อี้อยู่ด้านหลัง จึงเรียก ‘ท่านพ่อ’ อย่างน่าเอ็นดู
“ไปกันเถอะ แม่เอาของดีมาให้” มู่ซืออวี่จูงลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปข้างใน
ลู่เซวียนทักทายลู่อี้ “ท่านพี่”
ลู่อี้วางของในครัวแล้วออกมาคุยกับลู่เซวียน “ข้าขายไปแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปติดตามอาการและรับยาในเมือง”
เมืองที่ลู่อี้กล่าวถึงไม่ใช่เมืองเล็ก ๆ สำหรับพวกเขา แต่เป็น ‘เมืองซูโจว’ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่เล็กน้อย
ครั้งสุดท้ายที่ไปหาหมอให้ลู่เซวียน ยาของหมอที่ให้มานั้นได้ผลดีที่สุด ช่วงนี้ร่างกายของลู่เซวียนดีขึ้นมาก เขาไม่ได้หมดสติง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ลู่เซวียนลดสายตาลง “ข้าไม่ไป”
ลู่อี้หยุดดื่มน้ำ มองลู่เซวียนอย่างเฉียบขาด “เพราะเหตุใด?”
“ข้าไม่อยากไป” ลู่เซวียนพูดอย่างเย็นชา “อย่างไรก็รักษาไม่หายอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องเสียเงินอีกด้วย?”
“ท่านอา” ลู่จื่ออวิ๋นออกมาพร้อมกับรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยม “นี่สำหรับท่านอาเจ้าค่ะ”
ลู่เซวียนเงียบไป
แววตาของลู่อี้วาววับ
เขาคิดว่ามู่ซืออวี่จะซื้อรองเท้าให้ลู่จื่ออวิ๋น และซื้ออีกคู่หนึ่งให้ลู่ฉาวอวี่อย่างเท่าเทียมเพราะพวกเขาเป็นลูก ทว่าไม่คิดว่านางจะซื้อให้ลู่เซวียนทั้ง ๆ ที่ไม่ถูกกันเช่นนี้