บทที่ 59 ใครกล้ารังแกลูกสาวข้า
บทที่ 59 ใครกล้ารังแกลูกสาวข้า
มู่ซืออวี่เจ็บปวดใจ
นางวิ่งเข้าไปในฝูงชนแล้วผลักผู้หญิงคนนั้นออก อีกฝ่ายถึงกับตัวเซ หากไม่มีคนอยู่ข้างหลังนางคงจะล้มลงไปแล้ว
“นังหมูอ้วน!!!” หญิงสาวเบิกตากว้างพลางจ้องมองมู่ซืออวี่อย่างดุดัน
มู่ซืออวี่ประคองลู่จื่ออวิ๋นให้ลุกขึ้น นางจ้องมองกลับไปโดยไม่หวั่นเกรง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อะไร จะสู้หรือ?”
ผู้หญิงคนนั้นถูกกลิ่นอายดุดันของมู่ซืออวี่ข่มจนรูม่านตาของนางหดลง อยากจะถอยหนีขึ้นมาทันที ทว่าเวลานี้มีผู้คนมากมายมุงดูอยู่ หากนางยอมจำนนในวันนี้ นางจะไม่สามารถเชิดหน้าชูตาในหมู่บ้านนี้ได้อีก
นางยืดหลังตรง ยืนเท้าเอวพลางชี้หน้าด่ามู่ซืออวี่ “ลูกสาวของเจ้ากำเริบเสิบสาน กล้าที่จะมากัดลูกสาวของข้า”
มู่ซืออวี่กอดลู่จื่ออวิ๋นพลางปลอบโยน หลังจากได้ยินประโยคนั้นก็มองไปที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ข้างกายอีกฝ่าย
ผมเผ้าของเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นยุ่งเหยิง น้ำมูกไหลเปื้อนจมูก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยโคลนแลดูสกปรกยิ่งนัก
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นคือมีรอยฟันหลายซี่บนใบหน้าของเด็กน้อยคนนั้น
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วมองมายังลู่จื่ออวิ๋น “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ากัดเด็กคนนั้นหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้ร้องไห้ แต่เมื่อสบประสานแววตาที่ไม่เข้าข้างนางของมู่ซืออวี่ นางก็ทำท่าจะร้องไห้ออกมา
“ท่านแม่ ข้า…”
ก็ตอนนั้นนางโกรธมากนี่นา สมองจึงตอบสนองตามสัญชาตญาณโดยไม่ทันคิดใคร่ครวญ
ท่านแม่จะไม่โมโหข้าใช่หรือไม่?
ท่านแม่จะคิดว่านางเป็นเด็กไม่ดีจนไม่ชอบนางแล้วหรือเปล่า?
ท่านแม่จะเอือมระอานางเหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่หรือไม่?
มู่ซืออวี่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา จากนั้นก็เช็ดริมฝีปากของลู่จื่ออวิ๋น “ต่อไปนี้ก็อย่ากัดไปทั่วนะ มันสกปรก! เจ้ารู้ไหมว่าโรคภัยมาจากปากน่ะ? เจ้าจะป่วยได้ถ้าเจ้ากัดของสกปรก ถ้าป่วยก็ต้องกินยา ยาขมมากเลยนะ”
จงซื่อไม่คาดคิดว่ามู่ซืออวี่จะพูดเช่นนี้จึงโมโหขึ้นมา
“นังหมูอ้วน เจ้าสอนลูกสาวของเจ้าเช่นนี้หรือ? ลูกสาวเจ้ากัดลูกสาวข้า เจ้าจะไม่อธิบายอะไรหน่อยรึ?”
มู่ซืออวี่ยืนขึ้น จับมือเล็ก ๆ ของลู่จื่ออวิ๋นแล้วตอบอย่างไม่เกรงใจ “อวิ๋นเอ๋อร์ตัวน้อยที่น่ารักของเราไม่เคยก่อปัญหา แต่ถ้านางโกรธมากจนต้องกัดคนอื่น เป็นข้ามากกว่าที่ต้องขอฟังเหตุผลจากเจ้า”
นางไม่ได้หูหนวก อวิ๋นเอ๋อร์บอกว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้จะขโมยของ พอรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้ว เหตุใดนางต้องยอมด้วย นี่เป็นความผิดของสองคนนั้นชัด ๆ ไม่ใช่ความผิดของอวิ๋นเอ๋อร์สักนิด
“ถุย! น่าไม่อาย นังอ้วน วันนี้ข้าจะตบเจ้า!” จงซื่อกระโจนเข้าหามู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่อุ้มลู่จื่ออวิ๋นส่งไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉินซื่อ ในขณะที่ตนเองก็เผชิญหน้ากับจงซื่อตามแบบฉบับของสาวปากร้าย
“เหวอ!” คนรอบข้างต่างแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่!” ลู่จื่ออวิ๋นร้องเรียกมู่ซืออวี่ด้วยความเป็นห่วง
เฉินซื่อรั้งตัวลู่จื่ออวิ๋นให้ถอยออกไป “อย่าไป ระวังเจ็บตัว”
“แต่ท่านแม่ข้า…” ลู่จื่ออวิ๋นมองทั้งสองที่กำลังตบตีกันอย่างชุลมุนด้วยสีหน้ากังวล
“แม่ของเจ้าจะไม่เสียเปรียบแน่” เฉินซื่อรู้ถึงแรงการตบตีของมู่ซืออวี่เป็นอย่างดี
มู่ซืออวี่คนก่อนนั้น เชื่อว่าด้วยน้ำหนักตัวสามารถบดขยี้ผู้คนถึงตายได้ ส่วนมู่ซืออวี่คนปัจจุบันแม้จะผอมลงและมีสมองมากกว่ามู่ซืออวี่คนก่อน แต่ก็รู้ว่าร่างกายจุดไหนของมนุษย์อ่อนแอที่สุด ทั้งยังลงมืออย่างไร้ความปรานี
“หัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว!”
“แม่ฉาวอวี่ หัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว!” เฉินซื่อร้องเตือน
จงซื่อต้องการจะลุกขึ้น แต่มู่ซืออวี่ไม่ให้ลุก!
วันนี้ที่นางลงมือเพราะมีคนรังแกคนในครอบครัวของนาง หากนางยอมแพ้ในวันนี้ อวิ๋นเอ๋อร์ก็คงจะถูกรังแกไม่จบไม่สิ้น
ดังนั้นวันนี้นางต้องเชือดไก่ให้ลิงดู!
“หยุดสร้างความวุ่นวาย! ปล่อยซะ!” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนด้วยความโกรธจัด
มู่ซืออวี่ที่เผชิญหน้ากับหัวหน้าหมู่บ้านจึงยอมปล่อยจงซื่อ
ทันทีที่จงซื่อถูกปล่อยตัว นางก็นั่งลงลูบขาของตนแล้วร้องไห้โวยวายอยู่ที่พื้น
“รังแกกันเกินไปแล้ว! รังแกกันเกินไป! ข้าจะยังไม่จบกับเจ้าแน่!”
“ท่านแม่…” จางไฉ่เสียเอ่ยกับจงซื่อด้วยความไม่สบายใจ
เมื่อจงซื่อเห็นลูกสาวทำให้นางต้องรู้สึกอับอาย นางก็ตบเข้าที่ใบหน้าลูกสาวด้วยความโกรธ
เพียะ!
จางไฉ่เสียเจ็บจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นแม่และลูกสาวร้องไห้ เขาก็ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันควัน
“แม่ฉาวอวี่ เหตุใดเป็นเจ้าอีกแล้ว?”
มู่ซืออวี่เองก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาคลอเบ้า นางร้องไห้ด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ
กระนั้นนางก็ไม่ได้ร้องไห้เสียงดังน่ารำคาญ แต่การที่นางร้องไห้ด้วยความอดกลั้นเสมือนฝนตกปรอย ๆ ย่อมจะสามารถหลอกให้คนอื่นรู้สึกว่านางเป็นผู้ถูกกระทำ
มุมปากของหัวหน้าหมู่บ้านพลันกระตุก
เมื่อครู่ออกจะก้าวร้าว เหตุใดตอนนี้ถึงได้ร้องไห้เล่า?
“ใครก็ได้บอกข้าที นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หัวหน้าหมู่บ้านถาม
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง” น้ำเสียงอันไพเราะของลู่จื่ออวิ๋นฟังดูราวกับนางฟ้าตัวน้อยที่อยู่ใต้บัลลังก์ของพระโพธิสัตว์ นางเป็นเด็กสุภาพเช่นนี้ ก็แทบจะไม่มีใครกล้าพูดเสียงดังกับนาง
“งั้นเจ้าบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
ลู่จื่ออวิ๋นจึงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตามลำดับ
นางจะเอารองเท้าไปให้ท่านยายและท่านน้า จางไฉ่เสียเห็นเข้าก็ต้องการที่จะขโมย นางจึงต้องกัดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นจงซื่อก็มาผลักนางล้มลงกับพื้น
ลู่จื่ออวิ๋นยังพูดไม่ทันจบ มู่ซืออวี่ก็รีบพูดขึ้นว่า “หลายครั้งแล้วที่พวกเจ้าชอบสร้างปัญหาก่อน”
หัวหน้าหมู่บ้านมองจงซื่อและลูกสาวอย่างไม่พอใจ “เจ้าบอกว่านี่คือคนอื่นรังแกเจ้า แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้ารังแกคนอื่นก่อน เจ้ายังกล้าที่จะร้องไห้อยู่อีกหรือ”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านดูรอยฟันบนหน้าลูกสาวข้าสิ แล้วถ้าต่อไปเป็นแผลเป็นล่ะจะทำอย่างไร? แล้วที่ข้าโดนหญิงอ้วนคนนี้ตบล่ะ จะไม่เรียกว่ารังแกได้อย่างไร?” จงซื่อฟ้องอย่างไม่พอใจ
“เรื่องที่ลูกสาวของข้ากัดลูกสาวเจ้า ข้าคิดว่ามันก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน ลูกสาวเจ้าไม่ได้ล้างหน้ามานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ลูกข้าคงไม่รู้ว่าตนเองอาจจะป่วย อวิ๋นเอ๋อร์ ครั้งหน้าอย่ากัดนะลูก” มู่ซืออวี่กล่าว
หัวหน้าหมู่บ้านปวดหัวแปลบ ๆ
จางไฉ่เสียก็ยิ่งร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ
จะเด็กขนาดไหนก็ยังเป็นแค่สาวน้อยตัวเล็ก ๆ มีสาวน้อยคนไหนจะอยากโดนพูดว่าสกปรกบ้าง?
จางไฉ่เสียแก่กว่าลู่จื่ออวิ๋นสามปีและมีรูปร่างสูงกว่าครึ่งหนึ่ง เรื่องนี้เดิมทีเป็นความผิดของนาง ดังนั้นที่ถูกกัดจึงโทษผู้ใดไม่ได้
“แล้วข้าล่ะ ข้าถูกตบเช่นนี้…” จงซื่อร้องไห้ “ข้ายกแขนไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ”
“หยุดโกหกได้แล้ว” มู่ซืออวี่เย้ยหยัน “เจ้ามีบาดแผลบนตัวหรือ? พูดอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ คิดว่าไม่มีใครอ่านใจของเจ้าได้หรือ รึคิดจะรีดไถเงิน ไม่มีทางซะหรอก!”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน!!!”
“พอได้แล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านห้ามปรามการทะเลาะกันของทั้งสอง “ในความคิดของข้า เรื่องนี้เป็นความผิดของลูกสาวเจ้า ถึงเจ้าจะถูกกัดหรือตบตีก็สมควรแล้ว ต่อไปนี้ก็อย่าเป็นหนี้สินเช่นนี้อีก อย่าไปโหยหาของที่ไม่ใช่ของพวกเจ้า”
“หัวหน้าหมู่บ้านยุติธรรมเกินไปแล้ว” มู่ซืออวี่ประจบ “ตอนที่ลูกสาวข้ายังเด็กก็ถูกรังแกโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ พูดแล้วข้ายังไม่หายโมโห ถ้าไม่อยากถูกตบตีหรือกัดอีกก็ดูแลตัวเองให้ดีเถิด”
“เจ้าเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน” หัวหน้าหมู่บ้านพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว เจ้าก็ไม่ควรทะเลาะกับคนอื่นเช่นกัน”
“หัวหน้าหมู่บ้าน นางเป็นคนเริ่มก่อน ข้าแค่ป้องกันตัว ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาแล้วท่านจะยังยืนอยู่เฉย ๆ งั้นหรือ นั่นเรียกว่าโง่ไม่ใช่รึ? ข้าไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนโง่นี่นา” มู่ซืออวี่เบ้ปาก