บทที่ 61 กลิ่นหมูตุ๋นหอมหวนมากจนทำให้คนทั้งหมู่บ้านแทบน้ำลายไหล
บทที่ 61 กลิ่นหมูตุ๋นหอมหวนมากจนทำให้คนทั้งหมู่บ้านแทบน้ำลายไหล
ลู่จื่ออวิ๋นเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ จากนั้นจึงโผล่หัวไปยังประตู จ้องมองมู่ซื่ออวี่ที่กำลังง่วนกับงานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านหลัง จึงกล่าวขึ้นโดยไม่หันไปมอง “สระผมเสร็จแล้วใช่หรือไม่? มานี่สิ ข้าจะเช็ดหัวให้เจ้า”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า เด็กหญิงจ้องมองไปยังหัวหมูที่มู่ซืออวี่กำลังปรุงอาหารพลางเอ่ยถาม “ท่านแม่ สิ่งนี้กินได้หรือไม่?”
“กินได้สิ อร่อยมากด้วย”
หลังจากมู่ซืออวี่เตรียมการทุกอย่างจนเสร็จสิ้น นางก็หาผ้าสะอาดมาเช็ดผมให้กับลู่จื่ออวิ๋น
เปลวไฟในเตากำลังลุกโชน ใช้เวลาเพียงไม่นาน หม้อที่กำลังต้มอยู่ก็ส่งเสียงหวีดออกมา
มู่ซืออวี่เช็ดผมให้กับลู่จื่ออวิ๋นจนหมาด ก่อนจะทำงานในครัวต่อไป
ลู่เซวียนจ้องมองจากระยะไกลด้วยสีหน้างุนงง
สิ่งที่มู่ซืออวี่กระทำต่อลู่จื่ออวิ๋นนั้นดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้เขารู้สึกว่าช่วงเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา
ดูเหมือนว่าหญิงผู้นี้จะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
เอาเถอะ ในอนาคตขอให้นางอย่าด่าทอลู่จื่ออวิ๋นเป็นพอ เพราะถึงยามนั้นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์อาจเศร้าใจได้
ลู่ฉาวอวี่กลับมาพร้อมฟืนบนหลัง
มู่ซืออวี่หยิบฟืนลงจากแผ่นหลังของเขาพลางเอ่ยว่า “พอแล้ว วันนี้เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
ลู่ฉาวอวี่มองไปยังหม้อที่กำลังเดือดพล่าน ความอยากรู้อยากเห็นฉายชัดผ่านแววตา
วันนี้จะมีเนื้อไหม?
จริงสิ ครอบครัวเรายังมีหนี้สินอยู่อีกมาก จะกินเนื้อทุกวันได้อย่างไร?
ช่างเถิด ไม่ว่าหญิงคนนี้จะทำสิ่งใดแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
กลิ่นหอมในหม้อเริ่มลอยโชยคละคลุ้ง ไม่นานก็กระจายออกไปไกล
ลู่อี้กำลังเดินทางกลับมาพร้อมงูที่ล่ามาได้ เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมา เขาก็รับรู้ทันทีว่ากลิ่นนี้มาจากบ้านของตน อันที่จริงเขาได้กลิ่นหอมนี้มาตั้งแต่ลงมาจากภูเขา ครั้นเดินผ่านบ้านเรือนของผู้คน พวกเขาต่างก็ชื่นชมกลิ่นหอมนี้
“กลิ่นหอมมากเจ้าค่ะ!” ลู่จื่ออวิ๋นกลืนน้ำลาย
“ต้องตุ๋นไว้อีกสักระยะหนึ่ง” มู่ซืออวี่รดน้ำผักที่ปลูกไว้ “ยิ่งตุ๋นนานก็ยิ่งส่งกลิ่นหอม”
ลู่เจินเจินซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงตักข้าวต้มผักป่าออกมาเพื่อเตรียมรับประทาน แต่เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารจากบ้านข้าง ๆ นางก็รู้สึกว่าข้าวต้มผักป่ามีรสขมมากกว่าที่เคย
นางถือชามพลางมองไปยังบ้านข้าง ๆ แล้วถอนหายใจ “บ้านพี่เซวียนทำอาหารรสเลิศทุกวันเลยหรืออย่างไร? หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงต้องอดตายแน่”
“ไปหาอาหารรสเลิศมากินให้ได้ก่อนเถิด” เฉินซื่อกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ครอบครัวของลู่เซวียนก็คือครอบครัวของลู่เซวียน ครอบครัวเราก็คือครอบครัวเรา การใช้ชีวิตให้ดีเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด”
“ข้าไม่ได้อิจฉาสักนิด!” ลู่เจินเจินกล่าว “แต่พี่สะใภ้ ข้าได้ยินมาว่ามู่ซืออวี่ไม่โวยวายถึงเรื่องใดเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา นางเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือ?”
“วันนี้เสี่ยวอวิ๋นถูกจางไฉ่เสียกลั่นแกล้ง แต่นางรีบเข้าไปช่วยลูกสาวทันที จงซื่อแพ้ราบคาบ นางรักเสี่ยวอวิ๋นมากเลยนะ นางคงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”
“เป็นเรื่องดีทีเดียว นับตั้งแต่ที่นางแต่งงาน เพื่อนบ้านของเราก็ทนพฤติกรรมนางไม่ได้ แต่นางจริงใจต่อพี่เซวียนและทุก ๆ คน เรารับรู้ได้จากการที่เห็นนางทำอาหารทุกวัน”
“หญิงผู้นี้…”
เฉินซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทว่าก่อนที่นางจะกล่าวจบก็พลันได้ยินเสียงคนเคาะประตูบ้าน
“มาแล้ว” นางเปิดประตูด้วยความเขินอาย ก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของบุคคลที่ตนกำลังกล่าวถึง
ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามู่ซืออวี่ได้ยินหรือไม่ นินทาในระยะเผาขนเช่นนี้ หากถูกจับได้คงเป็นเรื่องน่าอายไม่น้อย
“เจ้าคือ…”
“พี่เฉิน” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้านำอาหารที่ปรุงมาให้ ท่านลองชิมดูเถิด”
เฉินซื่อจ้องมองไปยังชามในมือของอีกฝ่ายด้วยแววตาประหลาดใจ
นั่นคือเนื้อใช่หรือไม่?
เมื่อได้กลิ่นหอมโชยมา นางก็รับรู้ทันทีว่านั่นคือเนื้อสัตว์ที่นางโหยหามานาน ยิ่งได้กลิ่น นางก็ยิ่งหิวโหยมากกว่าเดิม
“ให้พวกเราหรือ?” เนื้อครึ่งชามก็คุ้มค่ามากแล้ว
แต่เราไม่ใช่ญาติกัน มู่ซืออวี่จะนำอาหารมาให้ด้วยเหตุใด?
“ข้าขอบคุณพี่เฉินมากสำหรับวันนี้ ไม่เช่นนั้นอวิ๋นเอ๋อร์จะต้องทุกข์ทรมานแน่ ด้วยความไม่รู้ของข้าจึงทำให้ท่านเคยเดือดร้อนก่อนหน้านี้ โปรดอย่าใส่ใจ แม้ญาติห่าง ๆ ก็เทียบไม่ได้กับเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด นับประสาอะไรกับคนเฉกเช่นพวกเรา ทั่วทั้งหมู่บ้านเราต่างเป็นบรรพบุรุษและเครือญาติของกันและกัน เราเป็นทั้งเพื่อนบ้านและญาติสนิทกัน หลังจากนี้ขออย่าเกรงใจเลยนะ”
เฉินซื่อพยักหน้าเห็นด้วย
มู่ซืออวี่มีวาทศิลป์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่จงซื่อพูดไม่ออกกับสิ่งที่มู่ซืออวี่เอ่ยในวันนี้ และเมื่อนึกถึงว่าอีกฝ่ายไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเช่นนี้เลย นางก็พลันรู้สึกว่าวาจาของอีกฝ่ายน่าประทับใจเหลือหลาย
“น้องอวี่อย่ากังวลใจ เราไม่ได้รังเกียจที่จะทำเช่นนั้น” ลู่เจินเจินโผล่หน้าออกมา “ในเมื่อเจ้าปราถนาจะมอบให้ ข้าก็จะรับไว้ เอามาเปลี่ยนชามเถิด แล้วข้าจะล้างให้” นางกล่าวพลางหยิบชามในมือมู่ซืออวี่ไป
เฉินซื่อไม่ได้หยุดยั้ง นางเพียงเฝ้าดูน้องสะใภ้ของนางหยิบชามออกไปก่อนจะเอ่ยด้วยความลำบากใจ “น้องสะใภ้ข้านี่ว่องไวดุจสายลมเสียจริง ขายหน้าเจ้าแล้ว แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า ลูกทั้งสองของเจ้าน่าเอ็นดู หากผู้ใดเห็นพวกเขาถูกรังแกก็ต้องเจ็บใจไม่น้อย ข้าเฝ้าดูพวกเขาเติบโตมา จะให้ทนเห็นพวกเขาถูกรังแกได้อย่างไร? ในเมื่อเรายอมรับน้ำใจของเจ้าแล้วในวันนี้ ก็อย่าสุภาพหรือเกรงใจกันอีกเลยนะ ทำทุกอย่างให้ง่ายสำหรับเราสองครอบครัวเถิด”
“ข้าเห็นด้วย”
ลู่เจินเจินเดินกลับมาพร้อมนำชามเนื้อส่งคืนให้กับมู่ซืออวี่ “ขอบคุณน้องอวี่มากนะ”
“อย่าเกรงใจเลย ตอนนี้ข้าต้องขอตัวก่อน”
ลู่เจินเจินจ้องมองมู่ซืออวี่ที่กำลังเดินจากไป ก่อนจะปิดประตูแล้วดึงเฉินซื่อเข้าไปในบ้าน
“นางเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”
เมื่อมู่ซืออวี่กลับมาถึงบ้าน นางก็จัดเตรียมอาหาร รอคอยการกลับมาของมู่เจิ้งหานที่นำเนื้อตุ๋นไปให้ถงซื่อ รวมถึงลู่ฉาวอวี่ที่นำอาหารไปแบ่งให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน
พวกเขาไม่รีรอ ในที่สุดก็เดินทางกลับมาถึงในไม่ช้า
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ซืออวี่ถาม
“ไม่เลวเลย” ลู่อี้ตอบกลับเสียงแผ่วเบา
“หากข้าทำขาย พวกเจ้าคิดว่าจะมีผู้ใดซื้อหรือไม่?”
มู่ซืออวี่เอ่ยถามพลางจ้องมองผู้คนรอบโต๊ะอาหาร
ลู่อี้เงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง “เจ้าอยากจะค้าขายหรือ?”
“ถูกต้อง!” มู่ซืออวี่กล่าวว่า “เราต้องการหาเงินให้ได้เร็ว ๆ นี่”
“เจ้าไม่ทำงานช่างไม้แล้วหรือ?”
“ทำ” มู่ซืออวี่ตอบ “แต่ข้าสามารถทำได้ทั้งสองสิ่ง! ข้าสามารถขายหมูตุ๋นในตอนเช้า ทำงานช่างไม้ในตอนบ่าย จะได้หาเงินได้ไว ๆ อย่างไรล่ะ”
“เจ้าต้องเหนื่อยไม่น้อยแน่”
“ข้าไม่กลัวเหนื่อย แต่ข้ากลัวความยากจน” มู่ซืออวี่กัดตะเกียบของนางพลางจ้องมองลู่อี้อย่างเงียบงัน
ลู่อี้หลับตาลงพลางพึมพำกับตนเอง
“พรุ่งนี้เจ้าจะพาลู่เซวียนไปยังเมืองหลวงใช่หรือไม่? ข้าเองก็จะพาลูก ๆ ทั้งสองเข้าไปในเมืองเพื่อขายของ ข้าจะลองดูสักหนึ่งวัน หากไม่เป็นไปในทิศทางที่ดีก็ค่อยกลับมาเจรจากัน ของที่ซื้อมามีราคาไม่สูงมาก เราอาจต้องลงทุนเพียงไม่กี่เหรียญเท่านั้น หากค้าขายไม่ได้จนขาดทุน ก็อาจเร่งแก้ปัญหานำเงินคืนมาได้ไม่ยาก”
“เจ้าจะทำเช่นนั้นได้จริงหรือ?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม “พยายามอย่าสร้างปัญหาให้มาก”
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามายุ่ง!” มู่ซืออวี่ตะคอกอย่างเย็นชา
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ อย่าให้เรื่องครอบครัวต้องทำให้เจ้าลำบากใจเลย” ลู่อี้กล่าว “หลังจากกลับมาพร้อมยาคราวนี้ ข้าจะเข้าเมืองไปหางานทำ”
การล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว ไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่าจะล่าเหยื่อได้ทุกวัน หากไม่อาจหาเหยื่อได้อีกต่อไปแล้วจะทำอย่างไรกับลู่เซวียน? ในฐานะผู้ชาย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพึ่งพาผู้หญิงเพื่อหารายได้ในการดำรงชีวิต
มู่ซืออวี่ไม่คิดว่าลู่อี้จะมีความคิดเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ในต้นฉบับนั้น ลู่อี้เดินทางเข้าไปทำงานในเมืองและได้รับการชื่นชมจากผู้พิพากษาของเมือง ต่อมาเขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปทีละขั้น
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นจอมวายร้าย จากนั้นนิยายต้นฉบับก็กล่าวถึงตัวละครเอกทั้งชายและหญิง ลู่อี้ถูกกำหนดให้เป็นเจ้านายตัวร้ายตั้งแต่ปรากฏตัว อดีตของเขาไม่ได้มีการอธิบายโดยละเอียดแต่อย่างใด