บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง
บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง
หลังอาหารเย็น มู่ซืออวี่ยุ่งอยู่กับการจัดการกับเต้าหู้เหล่านั้น ส่วนลู่ฉาวอวี่ช่วยจุดไฟและขนย้ายสิ่งของ
แม้ว่าลู่ฉาวอวี่จะไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้อยู่โดยเปล่าประโยชน์ เขาเห็นอะไรก็ช่วยหมด
“ดึกแล้ว เจ้าไปนอนก่อนเถิด”
มู่ซืออวี่จุดเทียนไขแล้ววางไว้บนเตา
“ข้าไม่ง่วง”
ลู่จื่ออวิ๋นขยี้ตา เสียงหวานของนางลากยาว หาวออกมาเป็นครั้งคราว
มู่ซืออวี่กอดลู่จื่ออวิ๋นเอาไว้พลางเอ่ยเสียงจริงจัง “หากไม่เข้านอนให้เร็วจะไม่สูงนะ”
“แต่ท่านแม่ลำบากอยู่คนเดียว” ลู่จื่ออวิ๋นกอดคอมู่ซืออวี่ “อวิ๋นเอ๋อร์จะอยู่กับท่านแม่”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่คิดว่ามันลำบากเลย”
นางวางลู่จื่ออวิ๋นลงบนเตียง ตบหน้าอกของเจ้าตัวแล้วเอ่ยเสียงเบา “ตราบใดที่เจ้ากินอิ่ม นอนหลับสบาย ค่อย ๆ เติบโต เช่นนั้นจะเป็นการช่วยข้ายิ่งกว่า”
“ท่านแม่…” ลู่จื่ออวิ๋นเอียงใบหน้าเล็ก ๆ ของตนซบกับฝ่ามือของมู่ซืออวี่ “ข้าจะเชื่อฟัง ท่านแม่อย่าไปนะ”
หลังจากเกลี้ยกล่อมลู่จื่ออวิ๋นจนหลับไป พอกลับมาก็เห็นว่าลู่ฉาวอวี่ยังคงนั่งจุดไฟอยู่ที่นั่น มู่ซืออวี่ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
“เจ้าก็ไปนอนเถิด” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าไม่ได้ยุ่งยากอะไร ข้าอยู่คนเดียวได้”
“ท่านพ่อกับท่านอาไม่อยู่ ข้าเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านทำงานคนเดียว” ลู่ฉาวอวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮ่าฮ่า”
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา
ลู่ฉาวอวี่จึงจ้องนางอย่างไม่พอใจ
มู่ซืออวี่โบกมือ “ข้าขอโทษ ข้าไม่อยากหัวเราะหรอกนะ แต่ข้ากลั้นไว้ไม่อยู่”
เด็กน้อยไม่รู้อะไร อายุเพียงไม่เท่าไหร่ ตัวแค่เอวนางแต่ดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก แล้วจะไม่ให้นางตลกได้อย่างไร?
“ขำอะไรนักหนา?” ลู่ฉาวอวี่แสดงความไม่พอใจขึ้นมา
“จะไม่นอนจริงหรือ?”
“ไม่นอน”
“งั้นก็อยู่กับข้า”
หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ลู่ฉาวอวี่ก็เข้าใจอารมณ์ของตัวเอง ถ้าเขาเกิดดื้อรั้นขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ รวมถึงท่านพ่ออันเป็นที่รักของเขาด้วยเช่นกัน
ลู่ฉาวอวี่นั่งอยู่หน้าเตา มองดูเปลวไฟที่อยู่ในเตา และเริ่มตกอยู่ในภวังค์ของตน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มู่ซืออวี่ก็เดินมาหาเขา จากนั้นก็คีบฟืนออกจากเตา ไม่นานนักเตาก็ดับลง
จากนั้นลู่ฉาวอวี่ก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เด็กชายมองรูปร่างที่ดูผอมบางลงและสีหน้าอันแสนอ่อนโยนของคนตรงหน้า
“ข้าเรียกหาเจ้าตั้งหลายครั้ง แต่เจ้าก็ไม่ขานรับ เจ้าคิดอะไรอยู่?”
“ข้าจะไปนอน”
ลู่ฉาวอวี่หรี่ตาลงพลางผละออกไป
มู่ซืออวี่ถอนหายใจเบา ๆ “ความคิดของเด็กน้อยผู้นี้ อย่าไปคาดเดาเลย คาดเดาไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
ก่อนรุ่งสางในวันรุ่งขึ้น มู่ซืออวี่ยืนอยู่ที่ประตูและพูดกับลู่ฉาวอวี่ว่า “ฉาวอวี่ ข้าจะไปในเมือง เจ้าดูแลน้องสาวอยู่บ้านนะ มีอาหารเช้าอุ่น ๆ ในหม้อ เจ้ากับน้องสาวตื่นมาก็กินได้เลย”
มู่ซืออวี่แน่ใจว่าลู่ฉาวอวี่ได้ยิน นางจึงเก็บข้าวของและเตรียมที่จะออกไป
นางมีเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ช่วงบ่ายต้องกลับมาช่วยเหยาซื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงในงานแต่งของวันพรุ่งนี้ นางทำหีบเพิ่มอีกสองใบ และหลังจากขายเต้าหู้แห้งหมดจึงไปดูที่หอหลิงอวิ๋น
วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด นางไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กำไรหรือไม่ ทว่าอย่างไรแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป หากแย่ที่สุดก็อาจจะเสียเวลา แต่หากโชคดีก็อาจสามารถทำเงินได้สัก 5 หรือ 10 อีแปะ
ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูและเดินออกมา เด็กชายผู้มีเส้นผมสีดำสนิทกำลังยืนมองนางอยู่เงียบ ๆ
ตอนนี้ยังไม่สว่าง แสงจันทร์ยังส่องสลัว แต่ไม่กระทบกับการมองเห็นของพวกเขา
“เจ้าออกมาทำไม?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ข้าจะไปกับท่าน”
“ไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ดูแลน้องสาว”
“ข้าฝากน้องไว้กับท่านยายกับท่านน้าแล้ว ข้าจะไปด้วย”
ลู่ฉาวอวี่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด
เขาไม่อยากให้นางออกไปคนเดียว ถ้านาง…
นางไม่ต้องการพวกเขาแล้ว… จะทำอย่างไร?
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ริมฝีปากของลู่ฉาวอวี่ก็เม้มแน่นยิ่งขึ้น
เขามองนางด้วยความดื้อรั้น ไม่สนว่าแสงสลัว ๆ จะสามารถส่งผ่านความพยายามของตัวเองไปยังผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งหรือไม่
“เจ้าเด็กน้อย…” มู่ซืออวี่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเขาแล้ว “ก็ได้ เจ้าเก็บของก่อน ข้าจะไปหาแม่ของข้า ขอให้นางมาดูอวิ๋นเอ๋อร์”
หลังจากที่ถงซื่อมาถึง มู่ซืออวี่ก็พาลู่ฉาวอวี่ที่เก็บของเรียบร้อยแล้วเข้ามาในเมือง
ลู่ฉาวอวี่คว้าตะกร้ามา ปฏิเสธที่จะให้มู่ซืออวี่แบกมัน
มู่ซืออวี่ขอร้องอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายนางต้องปล่อยให้เด็กนิสัยประหลาดคนนี้แบกมันไว้บนหลัง
แท้จริงแล้วเมื่อวานนี้ตอนที่วิ่งไล่จับโจรขานางพลิก แม้ว่าจะกลับมากินยาแล้ว ทายาก็แล้ว แต่จุดที่พลิกก็ยังคงเจ็บอยู่เช่นเดิม มีคนช่วยนางแบ่งเบาน้ำหนักเช่นนี้ นางก็สบายมากขึ้น
ช้าก่อน เด็กคนนี้เห็นหรือว่านางบาดเจ็บ?
มู่ซืออวี่มองไปที่ลู่ฉาวอวี่
เขาเป็นห่วงนางหรือเปล่านะ?
หลังจากเข้ามาในเมือง มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้ไปตลาดแต่มาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ตั้งแต่ที่ลู่อี้ถูกร้านอาหารแห่งแรกปฏิเสธ มู่ซืออวี่ก็เริ่มถามร้านอาหารแห่งที่สองในตัวเมืองว่ากิจการยังไปได้ดีอยู่หรือไม่ หลังจากนั้น นางก็พบกับ ‘ภัตตาคารเจียงซื่อ’
“มาแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือ?” ผู้จัดการร้านทักทายนาง
“ท่านเป็นเถ้าแก่ของที่นี่หรือ?” มู่ซืออวี่มองไปยังผู้จัดการร้านที่อยู่ตรงหน้า
มองแล้วก็คุ้นหน้าคุ้นตากับอีกฝ่าย เขาปฏิบัติต่อนางด้วยความสุภาพและเหมาะสม ทำให้นางรู้สึกดีไม่น้อย
“ข้าไม่ใช่เถ้าแก่หรอก แต่ข้าทำงานที่นี่” ผู้จัดการร้านเอ่ยถามต่อไปว่า “ท่านมีธุระอะไรหรือ?”
“ข้าต้องการร่วมทำกิจการกับที่นี่” มู่ซืออวี่ยกตระกร้าที่หลังของลู่ฉาวอวี่ออกมาพลางหยิบเต้าหู้แห้งจากด้านในออกมา “นี่เป็นอาหารจานใหม่ที่ข้าทำ ข้าต้องการขายให้ภัตตาคารนี้ กิจการของเถ้าแก่จะได้เติบโตขึ้นไปอีก”
“ฮ่าฮ่า” อีกฝ่ายหัวเราะ “ที่นี่เรามีอาหารมากมายแล้ว ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่าน แต่…”
“ท่านจะปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ชิมหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าว “บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของท่านที่จะลืมตาอ้าปากเชียวนะ”
“งั้นหรือ มั่นใจเช่นนั้นเชียว?”
“หากไม่มั่นใจ ข้าจะกล้ามาคุยกับท่านถึงที่นี่งั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้ม “ข้าทำอาหารสองสามอย่างให้ท่านลองชิมได้ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่”
“ได้ ครัวอยู่ทางนี้ เชิญ!”
ลู่ฉาวอวี่เดินตามหลังมู่ซืออวี่ไป
ตอนนี้เช้าเกินไป ร้านอาหารยังไม่เปิด พ่อครัวก็ยังไม่มาเช่นกัน แต่ในห้องครัวก็มีวัตถุดิบมากมาย ทั้งหมดเป็นของสดใหม่และถูกจัดส่งมาในวันนี้
“ลูกชาย มาช่วยทีสิ” มู่ซืออวี่สั่งลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่อึ้งไปครู่หนึ่ง
ลูกชาย…
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกเขาเช่นนี้
มู่ซืออวี่จงใจที่จะเรียกเช่นนี้ นางเห็นเด็กคนนี้ทำหน้านิ่งมาทั้งวันราวกับคนแก่ในร่างเด็ก หากยังทำเช่นนี้ต่อไปจะไม่อึดอัดใจเอาหรือ?
นางพบว่าเด็กน้อยผู้นี้หากถูกแหย่จะโกรธได้ง่าย แต่นางมองว่าโกรธก็ดีเสียกว่าปล่อยให้อึดอัดใจ
มู่ซืออวี่ตั้งอกตั้งใจกับการทำอาหารพลางวางแผนเรื่องที่จะทำวันนี้ก่อนเข้ามาในเมือง
นางมาลองหาร้านอาหารในเมือง ให้ผู้จัดการร้านได้ลองชิมฝีมือของนาง หากอีกฝ่ายสนใจ ต่อไปก็จะมีที่ขายของอย่างแน่นอน
หากขายเนื้อตุ๋นเหมือนเมื่อวานจะใช้เวลานาน อีกทั้งยังอันตราย นางคิดว่าพวกโจรคงหมายตาพวกนางมานานแล้ว เพียงแค่รอเงินหลังจากขายจนหมด ถึงคราวนั้นพวกเขาก็จะมาฉกเงินไป แต่หากนางมีลูกค้าประจำ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องอันตรายเช่นนี้ได้
ซ่า!
นางเทน้ำมันใส่เต้าหู้แห้งที่หั่นแล้วเอาลงไปทอดจนเหลือง จากนั้นใส่เครื่องปรุง กระเทียมและขิง เต้าหู้แห้งมีรสชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อนำไปผัดคลุกเคล้ากัน กลิ่นก็หอมอบอวลไปทั้งครัว
ต่อไปคือช่วงเวลาของการเฉิดฉายแล้ว เพราะวัตถุดิบที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ส่วนผสม จึงถูกปรุงให้เป็นอาหารที่แตกต่างกันด้วยสองมืออย่างว่องไว
เต้าหู้แห้งห้าเครื่องเทศที่อร่อยไร้ที่ติ เต้าหู้แห้งผัดพริกหยวก ผัดเต้าหู้แห้งรวมมิตร ผัดเผ็ดเต้าหู้แห้ง ยำเต้าหู้แห้ง และเต้าหู้แห้งผัดอีกมากมายที่ถูกยกออกมาจัดวางบนโต๊ะ ผู้จัดการร้านถึงกับกลืนน้ำลาย
“กลิ่นหอมดีนี่” ผู้จัดการร้านพิจารณาทักษะที่ว่องไวของมู่ซืออวี่แล้วกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมีฝีมือเป็นเลิศเช่นนี้”
“ไม่หรอก ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ชอบศึกษาเรื่องของอาหาร ท่านลองชิมดูสิ” มู่ซืออวี่กล่าว “ถ้าท่านสนใจ เราค่อยคุยธุระกันภายหลัง”