บทที่ 71 ลู่ฉาวอวี่หายตัวไป
บทที่ 71 ลู่ฉาวอวี่หายตัวไป
“เอาล่ะ ชายไร้ยางอายผู้นั้นไสหัวไปแล้ว ข้าขอขอบคุณทุกท่านสำหรับวันนี้ เราสามัคคีกันอย่างสุดความสามารถ จนข้ามผ่านช่วงเวลาวิกฤตไปได้! แม่ฉาวอวี่พูดถูก เราทุกคนอยู่ในหมู่บ้านของตระกูลลู่ ต่างก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน เราย่อมไม่สบายใจหากรู้ว่าคนในครอบครัวต้องพบกับการรุกรานของอันธพาล คนโง่เขลาเช่นนี้ไม่สมควรที่เราจะสนใจ นั่งลงแล้วกินดื่มตามสบายเถิด” เหยาซื่อกล่าวต่อแขกทุกคน
จากนั้นนางก็หันไปเอ่ยถามมู่ซืออวี่ “แม่ฉาวอวี่ จัดเตรียมอาหารไปถึงไหนแล้ว?”
มูซืออวี่ที่กำลังมองลู่จื่ออวิ๋นตอบกลับเหยาซื่อทันทีที่ได้ยิน “ใกล้เสร็จแล้ว ข้าต้องขอตัวไปทำต่อให้แล้วเสร็จ อาหารจะพร้อมภายในหนึ่งก้านธูป”
“ขออภัยที่ทำให้ต้องลำบากนะ” เหยาซื่อหัวเราะ
มู่ซืออวี่ก้มลงกล่าวกับเหล่าเด็กหญิงว่า “ขอบใจพวกเจ้าที่เล่นกับอวิ๋นเอ๋อร์นะ วันนี้ข้ายังไม่ว่าง พรุ่งนี้มาที่บ้านข้าสิ ข้าจะทำอาหารรสเลิศให้กิน”
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องดี ๆ เช่นนี้เป็นการตอบแทน จึงกล่าวขอบคุณอย่างมีความสุข
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่จื่ออวิ๋นมีเพื่อนมากมาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นางไม่คุ้นเคยกับมันในตอนแรก แต่เด็กผู้หญิงในชนบทมีความกระตือรือร้นสูง ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานสำหรับพวกนางในการปรับเข้าหากัน
อาหารรสเลิศถูกนำออกมาวางทีละจาน
เห็นได้ชัดว่าอาหารมีส่วนผสมที่เรียบง่าย หลังจากผ่านมือของมู่ซืออวี่แล้วก็ราวกับมีเวทมนตร์ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วสนาม อาหารเหล่านั้นถูกปรุงและตกแต่งอย่างสวยงามราวกับภาพวาด ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล
“ไปหาแม่ครัวใหญ่ผู้นี้จากที่ใดหรือ? เหตุใดจึงดูมีทักษะสูงเช่นนี้?” เหมิงซื่อกล่าว
เหยาซื่อตอบกลับอย่างเฉยเมย “นางไม่ใช่แม่ครัวใหญ่จากที่ใด แต่เป็นคนในหมู่บ้านของเรานี่แหละ ท่านคงได้เห็นนางแล้วเมื่อครู่ นางคือหญิงผู้ที่บอกให้เราแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ นางดูเชี่ยวชาญไปเสียทุกเรื่อง ข้าเลยขอความช่วยเหลือจากนาง”
“ฝีมือการทำอาหารของนางไม่ด้อยไปกว่าแม่ครัวใหญ่ในเมืองหลวงเลยล่ะ”
เมื่อเห็นว่าเหยาซื่อยังคงเฉยเมย เหมิงซื่อจึงพยายามพูดคุยกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น แต่เพราะนางเป็นคนเงอะงะ จึงไม่ได้คุยไปมากกว่านี้เท่าไรนัก
จางเซินดึงลู่ต้าจู้ไปด้านข้างพลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าไม่เชื่อที่ไอ้สารเลวผู้นั้นกล่าวใช่หรือไม่? หากเชื่อก็เท่ากับว่าเจ้าดูถูกน้องสาวของข้า นั่นเป็นสิ่งที่มันต้องการเพียงผู้เดียว น้องสาวของข้าไม่เคยเต็มใจข้องเกี่ยวกับมัน”
ลู่ต้าจู้กล่าวว่า“อย่ากังวลเลย ข้าไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น เหมิงต้าจวินไม่ใช่คนน่าเชื่อถืออะไร สิ่งที่เขาพูดหลอกลวงได้เพียงผู้ที่ไร้สมองเท่านั้น”
“เป็นเช่นนั้นแน่ แต่ดูเหมือนว่าครอบครัวของเจ้า…” จางเซินขมวดคิ้ว “ข้ารู้ว่าเรื่องราวเช่นนี้ทำให้ครอบครัวของเจ้าต้องเสียหน้า แต่น้องสาวของข้าก็อับอายไม่น้อยเช่นเดียวกัน!”
“ข้าจะคุยกับท่านแม่เอง ท่านแม่ไม่ใช่คนใจแคบอะไร แต่ตอนนี้นางแค่ไม่พอใจเท่านั้น พอรู้ว่าโม่หลานเป็นคนดีมากเพียงใด ก็คงหายขุ่นเคืองใจไปเอง”
เหยาซื่อไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงปฏิบัติต่อเหมิงซื่ออย่างเย็นชา และไม่ต้องการเอ่ยสิ่งใดไปมากกว่านี้
พ่อของลู่ต้าจู้และพ่อของจางเซินต่างก็เป็นผู้ชายใจกว้าง ไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย พวกเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มากนัก
“ข้าขออภัย ทำน้ำแกงหกใส่เสียได้”
ถังซื่อเดินผ่านถงซื่อ ตั้งใจเทน้ำแกงในชามลงบนตัวถงซื่อ
น้ำแกงไม่ร้อน แต่เต็มไปด้วยน้ำมัน สุดท้ายก็เปื้อนเต็มเสื้อผ้าใหม่ที่มู่ซืออวี่ซื้อให้ถงซื่อ
กลุ่มคนที่อยู่รอบตัวพวกนางรู้ถึงความคับข้องใจของสองครอบครัวนี้ดี แต่ไม่มีใครคิดว่าทุกอย่างจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่จนดึงดูดความสนใจของผู้คน เมื่อเห็นดังนั้นถังซื่อจึงกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้ถง นี่คือเสื้อผ้าไหมไม่ใช่หรือ? ตายจริง จะซักให้สะอาดได้อย่างไรกัน”
ถงซื่อพยายามเช็ดคราบสกปรกบนเสื้อผ้าด้วยมือของตน แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งสกปรก ความเจ็บปวดนั้นอัดแน่นอยู่ในใจ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับถังซื่อ นางก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
แม้ถังซื่อจะตั้งใจทำเช่นนั้น แต่ความกลัวที่ฝังแน่นในกระดูกดำของนางก็ทำให้ไม่อาจต้านทานผู้ใดได้ เช่นเดียวกับตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ช่วงเวลาในตอนนี้วุ่นวายยิ่งนัก เหล่าชายหนุ่มกำลังเปลี่ยนแก้วน้ำและจัดวางอาหารกันอย่างวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกผู้หญิงต่างจ้องมองด้วยความตื่นเต้น พอเห็นท่าทางของถงซื่อไม่สู้ดี พวกนางก็อดส่ายศีรษะไม่ได้
“พี่สะใภ้ถง ข้าคิดว่าท่านเปลี่ยนไปแล้ว แต่ท่านยังคงขี้ขลาดและไร้ความสามารถสินะ”
คนกลุ่มหนึ่งไม่ว่าอะไรถงซื่อ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มที่ใหญ่กว่าพากันดูถูกนาง
เมื่อเห็นว่าถงซื่อไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก ถังซื่อก็ยิ่งพึงพอใจ
“ไม่เป็นไรเลย ข้าเคยชินกับการใส่เสื้อผ้าเก่ามาตลอดหลายปี การที่ต้องมาใส่เสื้อผ้าใหม่และงดงามเช่นนี้ ข้าอึดอัดไม่น้อยเลย…”
ก่อนที่ถงซื่อจะกล่าวจบ เสียงกรีดร้องพลันดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองด้วยความตกตะลึง
มู่ซืออวี่เทน้ำแกงในจานราดลงบนหัวของถังซื่อ จากนั้นจึงวางจานลงบนโต๊ะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “โอ้ ขออภัย เผลอทำน้ำแกงหกใส่ท่านเสียแล้ว”
“มู่ซืออวี่!” ถังซื่อตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “นังสารเลว!”
มู่ซืออวี่ตวาดกลับทันที “เงียบ! วันนี้เป็นวันแห่งความสุขของต้าจู้ หัวหน้าหมู่บ้านย้ำชัดว่าห้ามผู้ใดสร้างปัญหา ผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน ท่านก็ต้องเชื่อฟังหัวหน้าหมู่บ้านสิ!”
“เจ้า…” ดวงตาของถังซื่อแดงก่ำด้วยความโกรธ
“นังหนูอวี่ จำไม่ได้หรือแสร้งลืมเลือนกันแน่ ข้าจะเตือนนะว่าเราเป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้า” มู่ต้าไห่กล่าวด้วยความโกรธเคือง “ก้าวร้าวและหยาบคายกับผู้อาวุโสเช่นนี้ ผู้ใดสั่งสอนเจ้ามากัน?”
“ข้าต้องขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าจะบอกว่าตนสะเพร่าอย่างนั้นหรือ? สะเพร่าจนเผลอทำน้ำแกงราดบนหัว…”
“ท่านลุงมู่ ขนาดท่านป้าถังที่อยู่ห่างไกลจากท่านแม่ได้ก็ยังเผลอทำน้ำแกงหกใส่ท่านแม่ได้เลย แล้วข้าเองที่อยู่ไม่ไกลก็ย่อมต้องมีพลาดพลั้งบ้างไม่ใช่หรือ? ข้ากับท่านแม่ไม่มีวันคิดร้ายต่อผู้ใด จะว่าไปแล้วเนื้อของข้าอร่อยยิ่งนัก ขอลองชิมสักหน่อยเถิด” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หัวใจของมู่ต้าไห่ทวีความเย็นชา เขากล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “แม่หนูอวี่ ในฐานะผู้อาวุโส ข้าหมายจะแนะนำเจ้าสิ่งหนึ่ง จงรู้ไว้ว่าคำพูดอาจนำมาซึ่งภัยต่อตนเองได้”
“ไม่เป็นไร อันที่จริงข้าไม่ชอบการสูญเสีย แต่ตราบใดที่สามารถทำลายศัตรูนับพันได้ แม้ต้องสูญเสียคนของฝ่ายตนไปนับแปดร้อยหรือได้รับความเสียหายมากพอกัน ข้าก็ยังเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น”
มู่เจิ้งหานเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อนำอาหารมามอบให้กับเหล่าแขกเหรื่อ เมื่อเขากลับมาก็ได้พบกับเรื่องดังกล่าว
เขาจ้องมองไปยังเสื้อผ้าของมารดาด้วยความไม่เข้าใจ
เกิดอะไรขึ้นกัน?
มู่เจิ้งหานวางชามในมือลง ก่อนจะเดินไปหามารดาพลางถามว่า “ท่านแม่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นอะไร” ถงซื่อก้มศีรษะลง “ข้าไม่อยากกินอะไรแล้ว ข้าอยากกลับบ้าน”
แม่เฒ่าเจียงอยู่ที่นี่ มู่ต้าซานก็อยู่ที่นี่ ผู้คนจำนวนมากก็อยู่ที่นี่ด้วย แน่นอนว่าการปรากฏตัวของพวกเขาทำให้ถงซื่อไม่สบายใจ และยิ่งมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจนคนทั้งหมู่บ้านได้เห็น ก็ยิ่งทำให้นางไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก
“ข้ากับท่านแม่จะกลับบ้านก่อน” มู่เจิ้งหานกล่าว
ทันทีที่ถงซื่อจากไป มู่ซืออวี่ก็ไม่สนใจถังซื่ออีก นางเดินไปหาเหยาซื่อก่อนจะพูดคุยกันสองสามคำ
“ฉาวอวี่ไม่อยู่ที่นี่หรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าต้องไปตามหาเขา” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าคงต้องฝากท่านดูแลอวิ๋นเอ๋อร์ด้วย ท่านก็รู้ว่าผู้คนมากมายมักสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของเรา ข้าจึงขอรบกวนท่านดูแลนางให้ดี”
“อย่าได้กังวล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” เหยาซื่อตอบ “อวิ๋นเอ๋อร์ยังเล็กมาก ไม่มีผู้ที่กลั่นแกล้งเด็กหญิงที่น่าเอ็นดูอย่างนางได้ลงคอหรอก แต่เหตุใดตอนนี้ฉาวอวี่จึงยังไม่กลับมากินข้าว? คงไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขาใช่หรือไม่?”