บทที่ 80 น่าเอ็นดู
บทที่ 80 น่าเอ็นดู
“ท่านลาออกจากร้านอาหารนั่นแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ใช่แล้ว! หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีก” เฟิงเจิงยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด “ที่ผ่านมา ข้าต้องขอบคุณเจ้าของร้านอาหาร แต่เขาใจร้ายกับลู่อี้มาก”
“พี่เฟิงเจิงเป็นคนรักใครรักจริง แต่เกลียดผู้ใดก็เกลียดมากสินะ” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ท่านทำงานให้กับภัตตาคารเจียงซื่อหรือ?”
“ใช่แล้ว! นับจากนี้ข้าจะรับหน้าที่ติดต่อท่าน น้องสะใภ้ ท่านนี่ช่างมีความสามารถ ข้าไม่คิดเลยว่าหมูตุ๋นของท่านจะมีรสเลิศจนได้รับคำชื่นชมจากผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม เรามาชั่งน้ำหนักกันก่อนเถิด!”
มู่ซืออวี่ชั่งน้ำหนักสินค้าให้กับเฟิงเจิง จากนั้นจึงคำนวนและแยกบัญชีแต่ละประเภท
เฟิงเจิงจ่ายเงินก่อนจะกล่าวว่า “ช่วงนี้กิจการภัตตาคารเจียงซื่อดีขึ้นมาก ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องยอดขาย นำเงินนี้ไปใช้จุนเจือครอบครัวก่อนเถิด”
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านมาก” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่มืดจนเกินไป เชิญท่านดื่มชาสักถ้วยก่อนเดินทางกลับเถอะ”
“ไม่ได้ ข้าต้องรีบเดินทางกลับ เจ้าของร้านแจ้งว่ามีเรื่องด่วน ข้าไม่อาจอยู่นานได้ ต้องขอตัวก่อน” เฟิงเจิงเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา นี่ถือเป็นข้อดีของเขา
ครั้นเห็นว่าตระกูลลู่ที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านมีรถม้าของเศรษฐีมากมายแวะเวียนมา ชาวบ้านก็พากันเริ่มสงสัย เป็นผลให้ฝูงชนเริ่มออกมามุงดูหน้าประตูบ้าน คราวนี้ไม่ใช่เพียงสตรีเท่านั้นที่ซุบซิบนินทา แม้แต่บุรุษเองก็ตามมาด้วย
“พวกเจ้ามาทำสิ่งใดกันที่นี่?”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น
ชาวบ้านมากมายหันมองเจ้าของเสียงนั้นด้วยความตกตะลึง
พวกเขาหันกลับไปก็เห็นลู่อี้ผู้สูงใหญ่ร่างกายกำยำยืนอยู่ด้านหลัง ตามมาด้วยลู่เซวียนผู้ผอมบาง
“ลู่อี้กลับมาแล้ว!” เสียงปริศนาดังขึ้น “คราวนี้รวดเร็วมาก! อาการของลู่เซวียนเป็นอย่างไรบ้าง?”
ลู่เซวียนเผยสีหน้าเย็นชา “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ลู่เซวียนมีร่างกายอ่อนแอ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงอาการป่วยต่อหน้าเขา เพราะจะทำให้เขาไม่พอใจ
“อารมณ์ของเด็กคนนี้ช่างแปลกประหลาด” ชายผู้หนึ่งพึมพำด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“พวกเจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่ามาทำสิ่งใดหน้าบ้านข้า” ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “มีสิ่งใดให้ดูอย่างนั้นหรือ?”
“ลู่อี้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าออกจากบ้านไปเมื่อใด แต่ภรรยาของเจ้าแปลกมาก ทุกวันนี้รถม้าของเศรษฐีวิ่งมาที่บ้านของเจ้าเป็นประจำ” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เจ้าต้องดูแลลูกสาวและลูกชายของเจ้าให้ดี ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจถูกขายและพรากไป”
“มีอีกนะ ตอนนี้ภรรยาของเจ้ายังเรียกแม่และน้องชายมาทานอาหารเย็นที่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าหามาได้ก็ย่อมต้องแบ่งไปจุนเจือครอบครัวนางอีก เจ้าต้องคอยช่วยเหลือครอบครัวนางตลอดเลยหรือ? หากเป็นเช่นนั้น แม้จะคว้าภูเขาทองมาได้ก็ไม่เพียงพอสำหรับหญิงสุรุ่ยสุร่ายเช่นนางหรอก”
“ใช่แล้ว ลู่อี้ ครอบครัวของเจ้ากินเนื้ออยู่เป็นประจำ หาเงินไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ภรรยาของเจ้าใช้จ่ายเช่นนี้ได้อย่างไร? ในหมู่บ้านของเรามีครอบครัวใดบ้างที่กินเนื้อเป็นประจำทุกวันเช่นครอบครัวเจ้า?”
“วันก่อนข้าเห็นภรรยาของเจ้าน้ำเนื้อตุ๋นไปฝากป้าเฉินซึ่งอยู่ข้างบ้าน หญิงที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ สมควรต้องจัดการสั่งสอน นางจะได้ไม่ฟุ่มเฟือยอีก”
…
ทุกคนต่างใช้คำพูดเพื่อวิพากษ์วิจารณ์มู่ซืออวี่ แต่สิ่งที่เหล่าบุรุษอยากจะทราบมีเพียงสิ่งเดียวคือ ‘รถม้าเป็นของผู้ใด?’
ลู่เซวียนกระวนกระวายพลางกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านไม่มีสิ่งใดจะทำแล้วหรือ? เหตุใดจึงดูสนใจเรื่องครอบครัวข้านัก?”
“เราเป็นห่วงพวกเจ้าไม่ได้หรือ?”
“เพราะพวกเราห่วงใยเจ้า! คิดว่าเราอยากให้เจ้าทำงานหนักหรือ?”
มุมปากของลู่อี้ยกยิ้ม “พวกเจ้าเป็นห่วงข้ามากสินะ เช่นนั้นพวกเจ้าคงให้ข้าหยิบยืมเงินไปซื้อยาให้ลู่เซวียนได้ …”
“เอ่อ ได้เวลาให้อาหารสุนัขที่บ้านข้าแล้ว”
“ข้าเองก็ต้องออกล่าหมูป่าแล้ว”
“ข้าลืมไปว่ายังไม่ได้เติมน้ำในโอ่ง! ข้าต้องไปแล้ว ต้องไปเติมน้ำก่อน”
ฝูงชนต่างแยกย้ายกันไป
ลู่เซวียนยืนพิงประตูพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เสียงดังจริง คนพวกนี้ไม่ทำงานทำการกันหรืออย่างไร?”
“ไปพักผ่อนก่อนเถิด” ลู่อี้ดูเหน็ดเหนื่อย
ลู่เซวียนลดกิริยาแข็งกระด้างลง เขาจ้องมองพี่ชายอย่างเป็นทุกข์ “คราวหน้าข้าจะไปรับยาด้วยตนเอง ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องตามมา”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่ชายของเขาไม่เคยมีช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาก็ไม่อยากเป็นภาระของลู่อี้อีก
“เจ้าจะไปคนเดียวหรือ ต้องการเงินหรือไม่?” ลู่อี้อ่านแผนการและความคิดของลู่เซวียนได้อย่างรวดเร็ว “เราเป็นพี่น้องกัน อย่าเอ่ยคำใดที่ทำให้สถานการณ์ดูผิดแปลกไปเลย”
เมื่อเปิดประตูเข้ามา พวกเขาก็พลันมองเห็นมู่ซืออวี่กำลังถือเลื่อย
ครืด ครืด!
ขี้เลื่อยปลิวว่อนไปทุกที่ ลานบ้านที่เดิมทีสะอาดสะอ้าน ตอนนี้เต็มไปด้วยเศษขี้เลื่อยและเครื่องมือช่างไม้ทุกชนิด
มู่ซืออวี่ที่เหน็ดเหนื่อยจากงานช่างไม้หยุดลงชั่วคราวเพื่อพักหายใจ นางวางอุปกรณ์ในมือลง ปาดเหงื่อพลางพึมพำกับตนเอง “ต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้ หมดเรี่ยวหมดแรงอีกแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินออกมาจากบ้านพลางขยี้ตาด้วยท่าทีง่วงงุน “ท่านแม่…”
มู่ซืออวี่วิ่งเข้ามาหาลูกสาวก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา “เด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงลุกจากเตียง ไหนจะออกมาด้านนอกเท้าเปล่าอีก? มีเศษหินมากมายอยู่บนพื้น เดี๋ยวก็บาดเท้าเจ้าซะหรอก”
“ข้าต้องการท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นกอดผู้เป็นแม่ไว้แน่นด้วยความรัก “ข้าฝันว่าท่านแม่จากข้าไป ท่านแม่อย่าจากไปไหนเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ไปแน่” มู่ซืออวี่อุ้มลูกสาวเข้าไปในบ้าน “ใส่รองเท้าของเจ้าก่อน ข้าจะอุ่นอาหารเช้าให้”
แววตาของลู่อี้สว่างวาบขึ้น
นี่มันดีจริง ๆ
ในกระท่อมหลังนี้ไม่มีเด็กที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอีกต่อไป ไม่ใช่สถานที่อันน่าเบื่อหน่ายและอึดอัดใจอีกต่อไปเช่นกัน ราวกับดวงอาทิตย์แห่งวันใหม่สาดส่องมาที่นี่ ทุกอย่างดูสดใสและสบายใจขึ้นมาก
“ท่านพี่ มัวทำสิ่งใดอยู่? เหตุใดจึงไม่เข้าไปด้านใน?” เมื่อเห็นลู่อี้หยุดกะทันหัน ลู่เซวียนก็เอ่ยถามด้วยความงุนงง
“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ถามด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของลู่เซวียน นางเดินออกมาพร้อมอุ้มลู่จื่ออวิ๋นที่กำลังสวมรองเท้า
“มีอะไรให้กินหรือไม่?” ลู่อี้เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“มี เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ ยังไม่ได้เตรียมอาหารให้พร้อม งั้นพวกเจ้ากินข้าวกันก่อนเถิด แล้วข้าจะนำบะหมี่มาให้”
ลู่อี้ไม่ปฏิเสธ
ลู่เซวียนหวนนึกถึงคำพูดของท่านหมอ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเคอะเขิน “ขอบคุณเจ้ามาก”
หมอกล่าวว่าอาการที่ดีขึ้นของเขาเพราะได้กินดีอยู่ดีในช่วงที่ผ่านมา ย่อมแสดงว่าอาหารที่นางปรุงนั้นได้ช่วยปรับสมดุลในร่างกายของเขา สิ่งนี้ลบล้างความเกลียดชังและความคับข้องใจชายหนุ่มไปบ้างแล้ว เขาจึงอยากที่จะกล่าวขอบคุณ
มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าลู่เซวียนกำลังคิดอะไร แต่นางรู้สึกได้ว่าชายคนนี้สุภาพยิ่งขึ้นหลังจากที่เดินทางกลับมา
“ท่านพ่อ” เสียงของลู่ฉาวอวี่ดังขึ้นจากอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่ลู่อี้และลู่เซวียนเคยอาศัยอยู่
ลู่ฉาวอวี่ถือหนังสือไว้ในมือ
“อยากอ่านหรือ?” ลู่อี้ชำเลืองมอง
“อื้อ” ลู่ฉาวอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย
“มีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”
เด็กชายตัวน้อยค่อย ๆ เดินเข้าไปหาลู่อี้ จากนั้นจึงเปิดหน้าหนังสือขึ้นมา
ดวงอาทิตย์สาดส่องบนใบหน้าที่คล้ายคลึงกันของคนทั้งคู่ พวกเขามีรอยยิ้มแบบเดียวกัน ลักษณะท่าทางและคำพูดก็คล้ายกัน การพูดคุยและปรึกษากันของทั้งสองจึงดูเป็นภาพที่น่าชื่นชมเกินกว่าจะรบกวนได้
“บ้าผู้ชาย จ้องมองมากพอแล้วหรือยัง?” ลู่เซวียนกล่าวด้วยความโกรธเคือง “หากเจ้าจ้องมองชายอื่นด้วยแววตาคลั่งไคล้เช่นนั้นก็คงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เหตุใดถึงต้องจ้องมองลูกของตนเองด้วย?”
มู่ซืออวี่หันไปมองอย่างเย็นชา “เขาเป็นลูกชายของข้า ข้ามองลูกตัวเองไม่ได้หรือ?”
“หม้อน้ำจะแห้งแล้ว ถ้าไหม้แล้วเจ้ามีเงินซื้อใหม่หรือ?” ลู่เซวียนเตือน
“จริงสิ!” มู่ซืออวี่รีบเทน้ำลงในหม้อทันที
ลู่อี้ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามอง เมื่อเห็นมู่ซืออวี่กำลังลุกลี้ลุกลน เขาก็รู้สึกว่าหญิงผู้นี้… ดูบื้ออยู่บ้าง
แต่ก็น่าเอ็นดูมาก