บทที่ 101 นอนด้วยกัน
บทที่ 101 นอนด้วยกัน
มู่ซืออวี่จ้องมองไปบนพื้นที่ไม่ค่อยเรียบนักพลางครุ่นคิดกับตนเอง นี่ไม่ใช่พื้นกระเบื้องหรือปูนในสมัยใหม่ หากนอนบนพื้นนี่ตลอดทั้งคืนจะไม่ทำให้ปวดหลังหรือ?
“เหตุใดเราไม่นอนด้วยกันเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “อย่ากังวลเลย ข้าจะไม่แตะต้องตัวเจ้าหรอก”
เพื่อทำให้อีกฝ่ายมั่นใจ นางยกมือขึ้นพลางเอ่ยสาบาน “หากข้าแตะต้องตัวเจ้า ก็ตัดมือข้าทิ้งเพื่อลงโทษได้เลย เช่นนั้นดีหรือไม่?”
ลู่อี้ “…”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดสิ่งใด มู่ซืออวี่ก็รู้สึกเป็นกังวลในใจ นางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “หากเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นข้า…”
“ข้าไม่ได้ไม่ต้องการ” ลู่อี้พลันแทรกขึ้น “เจ้ากับข้าคือสามีภรรยา การนอนร่วมเตียงเดียวกันไม่ใช่เรื่องผิด ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าเข้านอนก่อน เจ้าเองก็เหมือนกัน”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เข้านอนทันที
มู่ซืออวี่จ้องมองไปยังลู่อี้ เขานอนด้านใน หันหลังให้นาง
เมื่อมองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย มู่ซืออวี่ก็พลันแก้มแดงระเรื่อ นางได้แต่นอนดิ้นไปมาบนเตียง
ไม่นานทั้งสองก็หันมาเผชิญหน้ากัน
เนื่องจากเตียงไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก จึงเป็นเรื่องง่ายที่ร่างกายของพวกเขาจะสัมผัสกัน ทั้งสองย่อมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายและลมหายใจซึ่งกันและกัน
ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาทางหน้าต่างจนตะเกียงน้ำมันดับ ทั่วทั้งห้องพลันมืดสนิท
ความมืดนำมาซึ่งความรู้สึกที่หลากหลาย
แม้ได้ใช้สองชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ซืออวี่ได้ร่วมเตียงนอนกับชายหนุ่ม นางจะไม่ประหม่าได้อย่างไร?
ขณะนี้นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าชายเบื้องหน้านี้ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่ใช่ตัวละครในนิยาย และไม่ใช่เพียง ‘ชื่อ’ เท่านั้น
เขามีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก และมีหัวใจ
ทันใดนั้น มือหนึ่งก็พลันยื่นออกมา
มู่ซืออวี่ตัวสั่นเทา
นี่…
เขาจะทำอะไร?
เขาคงไม่ได้รู้สึกพิศวาสต่อร่างกายนี้ใช่หรือไม่?
“คืนนี้ลมแรง ห่มผ้าสักหน่อยเถิด” ลู่อี้นำผ้าห่มมาคลุมร่างกายให้นาง จากนั้นเขาก็เอนกายนอนอีกครั้ง
ความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏขึ้นในใจมู่ซืออวี่ ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นความสุขหรือผิดหวัง
นางรู้สึกสับสนอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้
ทันใดนั้น ใบหน้าของชายด้านข้างพลันแดงก่ำ
เสียงลมหายใจของอีกฝ่ายทำให้เขาผ่อนคลาย ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เสียงหัวเราะดังขึ้นทางด้านข้าง
“ซื่อบื้อ ขี้โกหกจริง ๆ”
เขาหันกลับมามองนางที่นอนอยู่ด้านหลัง
เขาไม่รู้ว่านางดูแลตัวเองอย่างไร แต่ผมที่เคยแห้งเสียในตอนนี้ราวกับได้รับการฟื้นฟูใหม่ กลายเป็นสีดำขลับและสละสลวย
กลิ่นหอมฟุ้งทำให้ผู้ที่ได้สัมผัสรู้สึกสบายตัว
ณ อีกห้องหนึ่ง ลู่จื่ออวิ๋นเอื้อมมือสะกิดลู่ฉาวอวี่ที่อยู่ด้านข้างพลางเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านพ่อกับท่านแม่หลับแล้วหรือ?”
“คงจะหลับไปแล้ว”
“ท่านพี่คิดว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะโกรธไหม?”
“เหตุใดถึงต้องโกรธ?”
“ก็เราขังพวกเขาไว้นี่”
“ไม่มีทาง” หากจะโกรธก็สมควรโกรธอาของพวกเขา เด็ก ๆ เกี่ยวเสียที่ไหน
“อันที่จริงข้าไม่อยากแยกจากท่านแม่เลย แต่เอ้อร์หนิวบอกว่าพ่อกับแม่ควรนอนด้วยกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ทั้งสองทะเลาะกันได้ ลุงหลินในหมู่บ้านของเราชอบออกไปข้างนอก ภรรยาของเขาเลยหนีไปกับคนอื่น”
“อืม” ลู่ฉาวอวี่ได้ยินเสียงของลู่จื่ออวิ๋นค่อย ๆ แผ่วลง จึงเอื้อมมือลูบศีรษะนางป้อย ๆ
ปกติเขานอนกันลู่เซวียน แต่เพราะเป็นกังวลจึงเข้ามาดูแลลู่จื่ออวิ๋น เมื่อเข้ามาก็พบว่าลู่จื่ออวิ๋นนอนขดตัวเพราะความเหน็บหนาว น้องสาวเขาช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
นางเอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้าไม่กลัว ไม่รู้สึกหนาวด้วย ข้าชินชาแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่ถอดรองเท้าพลางเดินเข้าไปนอนข้างน้องสาว “ข้าจะนอนกับเจ้า”
เช้าวันต่อมา มู่ซืออวี่ได้ยินบางสิ่งจึงลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง จากนั้นจึงพบว่ามีร่างใหญ่ของบุคคลหนึ่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยหันหลังให้นาง
บนแผ่นหลังของเขามีรอยแผลเป็นยาวหลายแห่ง ราวกับว่าถูกสัตว์ป่าทำร้ายและขีดข่วน รูปร่าง เฉดสี และขนาดของบาดแผลบ่งบอกให้ทราบว่าเกิดจากกรงเล็บที่แตกต่างกัน
มู่ซืออวี่ไม่รู้สึกเขินอาย ทว่าหัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ลู่อี้ที่เสร็จสิ้นจากการเปลี่ยนเสื้อผ้าหันกลับมา สบสายตาเข้ากับมู่ซืออวี่พอดี
ความเจ็บปวดฉายชัดในแววตานาง
แค่นั้นหัวใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่นมากกว่าเดิม
นับตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิต เขาก็กลายเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นดั่งที่พึ่งสุดท้ายของลู่เซวียน เขาต้องทำงานอย่างหนัก หาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่ายาให้กับลู่เซวียน ต้องดิ้นรนอย่างสุดความสามารถเพื่อความเป็นอยู่ของลูกทั้งสอง ไม่มีผู้ใดเอ่ยถามเขาว่าเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ ไม่มีผู้ใดจ้องมองเขาด้วยสายตาแห่งความสงสารเลยสักคน
“ตื่นแล้วหรือ?”
“อืม” มู่ซืออวี่ลุกขึ้นนั่ง “ข้าจะไปทำอาหารเช้า”
“อย่าเพิ่งตื่นเลย ตอนนี้ยังเช้าอยู่” ลู่อี้กล่าวต่อไปว่า “ข้ามีธุระต้องทำ วันนี้ว่าจะออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ”
“พี่เฟิงเจิงยังมาไม่ถึง แล้วเจ้าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“วันนี้ข้าไม่ได้จะเข้าไปในเมืองหลวง”
“วันนี้มีคดีหรือ?”
“ใช่” ลู่อี้กล่าวพลางคาดเข็มขัด “อย่ากังวล คดีทั่วไป ข้าไปเพื่อเขียนบันทึกก็เท่านั้น”
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นจัดที่นอน หวีผมของตนอย่างสบายอารมณ์แล้วจึงเดินไปเปิดประตู
ประตูถูกเปิดออกแล้ว
“เหตุใดประตูจึงถูกเปิดไว้? น้องชายของเจ้าคงไม่ได้เปิดประตูกลางดึกใช่หรือไม่?’
ลู่อี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าโกรธเขาเลย เขามีเจตนาดี”
“เจตนาดีอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าเขามีเจตนาหลอกข้าต่างหาก” มู่ซืออวี่เม้มริมฝีปากพลางพึมพำด้วยความไม่พอใจ
“เขาคิดว่าเราทั้งสองเป็นสามีภรรยา การแยกกันอยู่ของเราจะส่งผลร้ายต่อลูก ข้าเองก็เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วเราทั้งสองก็นอนแบบนี้ต่อไปเถิด”
มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “เจ้าไม่รังเกียจหรือ?”
“เจ้าคือภรรยาของข้า” ลู่อี้กล่าวเสียงแข็งพร้อมเดินออกไป
มู่ซืออวี่กะพริบตา
ภรรยา?
เขา… เขาคงไม่ได้อยากนอนกับนางจริง ๆ หรอกใช่ไหม?
ไม่สิ! ใจเย็นก่อน
ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอาชีพ ไม่รู้ว่าตนกำลังจะมีอนาคตที่สดใส หากเขารู้เช่นนั้น เขาจะไม่ตกหลุมรักหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างนางเป็นแน่
ใช่แล้ว! สถานะของทั้งสองในตอนนี้คล้ายกับคู่รักสมัยใหม่ที่ ‘แต่งงานไปก่อนแล้วค่อยรัก’
ในสังคมสมัยใหม่ ชายและหญิงต่างมีหน้าที่การงานของตนเองที่ต้องรับผิดชอบ แม้อาชีพของพวกเขาจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่แค่นั้นยังไม่พอ พ่อแม่ของพวกเขามักรีบร้อนและใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกอย่างเพื่อกระตุ้นให้ลูกชายและลูกสาวแต่งงาน เป็นผลให้ชายและหญิงจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานเริ่มมองหาคู่สมรส พวกเขาค้นหาผู้คนที่มีมุมมองแบบเดียวกันเพื่อพูดคุยตกลงกัน จากนั้นก็เลือกที่จะแต่งงานเพื่อลดปัญหาความเครียดให้กับพ่อแม่ที่กังวลว่าลูก ๆ จะไม่ออกเรือนหรือสืบทอดทายาท ซึ่งวิธีการนี้ช่วยลดปัญหาได้อย่างมาก
แต่นางไม่ต้องการเช่นนั้น!
นางไม่ต้องการชายหนุ่มที่เพียงจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่นางต้องการชายที่รักนาง
แม้ว่า… ร่างนี้จะเป็นร่างของหญิงที่แต่งงานแล้ว หย่าร้างไปก็ไม่อาจหาชายที่รักได้ แต่นางก็ไม่อยากอยู่ร่วมกับชายที่ไม่ได้รัก
“เฮ้อ ฟุ้งซ่านอีกแล้ว”
มู่ซืออวี่รีบเดินออกมา “รอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปทอดไข่ให้เจ้าสองฟอง กินก่อนแล้วจึงไป”
ลู่อี้ตั้งใจจะนั่งพักผ่อนก่อนไป แต่เมื่อเห็นนางจุดเตาไฟในห้องครัว เขาจึงไม่รีบร้อนที่จะออกไป
หญิงผู้นี้มัดผมแปลกประหลาด นางยังไม่ได้เปลี่ยนชุดตัวใน ภายใต้แสงสลัวเช่นนี้ ร่างกายที่ดูเฉิดฉายของนางถูกฝังไว้ในความทรงจำ และจะกลายเป็นแสงสว่างของวันอันมืดมิดของเขาตลอดไป
“ข้าเห็นว่าเจ้ารีบร้อน คงทำได้เพียงทอดไข่สองฟอง วันนี้อากาศร้อนนัก ข้าไม่กล้าจัดเตรียมอาหารเที่ยงให้เจ้า เดี๋ยวจะเน่าเสียเอาได้ เที่ยงนี้เจ้าออกไปหากินข้างนอกเถิด”
มู่ซืออวี่วางชามในมือลง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง หยิบกล่องใส่รหัสออกมา นางทำการเปิดกล่องอย่างรวดเร็วพร้อมหยิบเงินเหรียญอีแปะออกมา นับได้ 100 อีแปะ ตามมาด้วยเหรียญตำลึงเงินออกมาอีกหนึ่งเหรียญ
“เก็บหนึ่งตำลึงเงินนี้ไว้ติดกายเพื่อสำรอง หากจำเป็นต้องซื้อหรือหยิบจับสิ่งใดจะได้มีเงินไม่ขาดมือ ส่วนเงิน 100 อีแปะเอาไว้จ่ายค่าอาหาร อยากกินสิ่งใดก็ซื้อ แต่อย่านำเงินไปใช้ในทางที่ผิด”