บทที่ 102 นางถูกเขาหลอก
บทที่ 102 นางถูกเขาหลอก
มู่ซืออวี่กล่าวพลางเอื้อมมือขอกระเป๋าเงินจากคนตรงหน้า ลู่อี้จึงหยิบกระเป๋าเงินใบเก่าออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้นาง
นางหยิบกระเป๋าขึ้นมาพลางใส่เหรียญอีแปะและเหรียญตำลึงเงินลงไป
กระเป๋าแบนเรียบถูกเติมเต็ม จึงหนักขึ้นในทันที เมื่อเขย่าก็ได้ยินเสียงกึกก้องน่าฟัง
มู่ซืออวี่ฟังเสียงเหรียญพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟังสิ นี่เสียงของเงินล่ะ ไพเราะยิ่งกว่าเสียงอื่นใด”
ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องหาเงินให้ได้มาก
ถึงแม้ว่าหลังจากนี้ชายผู้นี้จะเป็นของครอบครัวอื่น แต่เงินที่เขาหาได้ทั้งหมดจะต้องเป็นของนาง
หลังจากกล่าวจบ นางจึงยื่นกระเป๋าเงินคืนให้เขา
“ข้า… ไปก่อน” ลู่อี้เก็บกระเป๋าเงินของเขา
มู่ซืออวี่เก็บกวาดจานชามที่เขากินทิ้งไว้พลางเอ่ยโดยไม่เงยหน้า “ไปเถิด”
น้ำเสียงของนางดูผ่อนคลาย ไร้ซึ่งความคิดถึงหรือห่วงใย
แววตาของลู่อี้พลันหม่นลง เขาลุกขึ้นยืนพลางทำเสียงงึมงำ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินเสียงของเขา นางก็รีบหันกลับมามองอย่างประหม่า
“เจ้าไม่สบายใช่หรือไม่? เมื่อคืนเราไม่ควรนอนด้วยกันเลย คงเป็นเพราะข้าแย่งผ้าห่มเจ้า เจ้าเลยเป็นหวัด”
ลู่อี้ “…”
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรเลยสักนิด นางเอาแต่สาธยายมากมายอยู่ฝ่ายเดียว แม้แต่ ‘สาเหตุ’ ของอาการไข้หวัดก็ได้รับการวินิจฉัยเสร็จสรรพ
“เท้าของข้าเป็นตะคริว” ลู่อี้พยุงโต๊ะเพื่อยืนขึ้น
“เท้าข้างไหน?” เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเพียงเป็นตะคริว สีหน้าของนางก็ดีขึ้นเล็กน้อย
“เอ่อ… เท้าขวา” ลู่อี้กล่าวพลางจ้องมองเท้าของตน
“เช่นนั้นจงยกมือซ้ายขึ้นก่อน” มู่ซืออวี่กล่าวระหว่างเข้าไปช่วยพยุง “ยกขึ้น ลองขยับสักนิด… รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่? ลองขยับเท้าของเจ้าดู”
ลู่อี้จ้องมองไปยังนาง
นางยกแขนของเขาด้วยมือข้างเดียว เนื่องจากความสูงของนางไม่อาจเทียบเคียงเขาได้จึงจำเป็นต้องเขย่งเท้า ท่าทางของนางทั้งน่าขันและน่าเอ็นดู
เขาพยายามแกว่งเท้าไปมาก่อนจะเหยียบเท้าลง
“อ๊ะ!” มู่ซืออวี่รีบเข้าไปพยุงเขาให้เอนกายลงบนเก้าอี้ ก่อนจะวางเท้าลงบนพื้น
ทั้งสองดูสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้แสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน ทั้งสองจ้องมองกันและกันอีกครั้ง
มู่ซืออวี่กลืนน้ำลาย เอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ไม่” ลู่อี้แสร้งทำเป็นเดินลำบาก “ข้าปวดหัวนิด ๆ”
“เช่นนั้นก็นั่งลงก่อนเถิด”
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วน
ลู่อี้ยิ้มมุมปาก “ดีขึ้นแล้ว ข้าขอตัวไปทำงานก่อน”
มู่ซืออวี่จ้องมองชายหนุ่มที่ดูแข็งแรงเหมือนคนปกติเดินออกไปโดยไม่ละสายตา ดวงตาของนางเบิกกว้าง
“เขา… เขา… เขาหลอกลวงข้า!”
เขาไม่ได้รู้สึกปวดหัวสักหน่อย!
นางถูกเขาหลอก
แล้วเหตุใดเขาต้องทำให้ทุกอย่างวุ่นวายด้วย!!!
เขาเป็นคนเย็นชา ใจร้าย และกระหายเลือดไม่ใช่หรือ?
“นี่เพิ่งจะเช้าตรู่ เจ้าไม่คิดจะให้ผู้ใดนอนพักผ่อนสักนิดหรือ?” ลู่เซวียนขยี้ตา ยืนอยู่หน้าประตูพลางกล่าวอย่างโกรธเคือง
“พี่ชายของเจ้าเดินทางไปทำงานแล้ว เหตุใดจึงยังหลับอยู่อีก? สันหลังยาวจริง!” มู่ซืออวี่ตะคอกอย่างเย็นชา
“โฮ่ เช่นนั้นข้าคงต้องไปนอนต่ออีกสักนิด น่าเสียดาย พี่ข้านอนกับเจ้าคืนเดียว ข้าก็เวทนาเขาจะแย่!” ลู่เซวียนกล่าวพลางหรี่ตาลง
“อย่าพูดอะไรไร้สาระ เราเพียง…”
“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอกอะไร ข้าไม่อยากฟังสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพี่ชายกับพี่สะใภ้ในห้องนั้น ข้าขอตัวกลับไปนอนพักผ่อนก่อน เดี๋ยวค่อยตื่นขึ้นมาเขียนหนังสือให้!”
เมื่อได้ยินเรื่องการเขียนหนังสือ มู่ซืออวี่ก็ไม่สนใจคำล้อเลียน นางพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “อืม ไปนอนเถิด! ไว้จัดเตรียมอาหารเสร็จ ข้าจะปลุกเจ้าขึ้นมากิน เอาไว้ค่อยเขียนหลังกินข้าวเสร็จนะ”
“บีบบังคับเสียจริง” ลู่เซวียนบ่น
รุ่งเช้ามาถึง เฟิงเจิงก็ยังไม่ปรากฏตัว
มู่ซืออวี่คิดว่าเขาอาจมาช้ากว่าที่เคยจึงไม่ได้เร่งรีบ ทว่าหลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม รถม้าจากภัตตาคารเจียงซื่อก็ยังมาไม่ถึง นางจึงคิดว่าอาจจะมีบางอย่างทำให้ล่าช้า
วันนี้นางสูญเสียเงินไปนับ 300 อีแปะ
“พี่อวี่” เสียงของลู่เจินเจินดังขึ้นจากด้านนอก
ลู่จื่ออวิ๋นรีบวิ่งมาเปิดประตู ส่วนลู่ฉาวอวี่กำลังฝึกเขียนหนังสืออยู่ในห้องนอนของตน
ต้องยอมรับว่าแม้เด็กชายผู้นี้ยังเล็ก แต่ลายมือของเขางดงามจนน่าชื่นชม เมื่อพบคำใดที่ไม่อาจเขียนได้ด้วยตนเอง เขาจะรีบวิ่งไปยังห้องถัดไปเพื่อสอบถามลู่เซวียน
เฉินซื่อกับลู่เจินเจินเดินเข้ามาพร้อมกัน
“แม่ฉาวอวี่ เรื่องที่เจ้าพูดเมื่อวานนี้…”
เฉินซื่อละอายใจ นางถกเถียงกับลู่เจินเจินอยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจลองดู ชีวิตของครอบครัวลู่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับครอบครัวนี้มากที่สุด พวกเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนยิ่งกว่าผู้ใด เนื่องจากแม่ฉาวอวี่กล่าวว่าอาจเป็นไปได้ พวกเขาจึงคิดที่จะลองดู การตัดสินใจในครั้งนี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นไม่ใช่หรือ?
“อืม พวกเจ้าเข้ามาดูก่อนเถิด”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินซื่อและลู่เจินเจินก็เดินออกจากหมู่บ้านไปพร้อมตะกร้าใบเล็กบนหลัง
หลังจากพี่สะใภ้ของนางจากไป มู่ซืออวี่ก็ลงมือทำงานที่ค้างคาต่อไป
เตียงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านไว้ที่ลานบ้าน การแกะสลักลวดลายอันงดงามทำให้รู้สึกได้ว่านี่คือผลงานชิ้นเอก
ในช่วงเวลานี้ งานหลักของมู่ซืออวี่คือการประดิษฐ์เตียงไม้นี้ และในที่สุดก็เสร็จสิ้นลง ถึงเวลาทดสอบความแข็งแกร่งแล้ว
“หัวหน้าหมู่บ้าน…” มู่ซืออวี่เดินมายังประตูบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมกับหมูตุ๋น
“แม่ฉาวอวี่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านวางที่ตักขยะในมือแล้วเดินมาหานาง
“ข้ามีเรื่องจะรบกวนท่าน” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มีเรื่องลำบากใจหรือไม่? หากมีอะไรก็พูดมาเถิด”
“ข้าทำอาหารไว้ จึงนำบางส่วนมาแบ่งให้ท่านน่ะ”
“ไม่เป็นไรเลย เจ้าอยากให้เราช่วยเหลืออะไรก็จงพูดมา เราไม่ต้องการอะไรเป็นการตอบแทน ช่วงนี้เจ้าเองก็ไม่ค่อยมีรายได้” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านปฏิเสธ
“นี่เป็นอาหารที่ข้าปรุงไว้รับประทานอยู่แล้ว ไม่ได้มีราคาแพงอะไร รับไว้เถิด!” มู่ซืออวี่กล่าว “ไม่เช่นนั้นข้าคงละอายที่จะขอความช่วยเหลือ”
“ได้ ๆ พูดมาเถอะ”
“ข้าต้องการเช่าเกวียนวัวของท่าน เกวียนวัวของท่านใหญ่พอจะใส่ของที่ข้าต้องการบรรทุกได้” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าขอเช่าวันละ 10 อีแปะได้หรือไม่?”
“ถ้าคิดว่าจะมีเรื่องใหญ่โตอะไร เจ้าเอาไปใช้เถิด ข้าไม่คิดเงิน” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวพลางจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยความพึงพอใจ
“ไม่ดีแน่ วัวตัวนั้นไม่ได้ราคาถูก หากข้าลากมันออกไปเพื่อทำงานหนึ่งวัน มันย่อมซูบผอมลง หากท่านไม่คิดเงิน ข้าคงรู้สึกละอายใจไม่น้อย”
หัวหน้าหมู่บ้านเดินออกมาจากด้านใน “เหตุใดเจ้าจึงสุภาพกับนางนัก? ตอนนี้นางดื้อรั้นเสียยิ่งกว่าวัว หากเจ้าไม่ตกลงตามข้อเสนอของนาง เชื่อหรือไม่ว่านางจะไม่ยืมเกวียนวัวของเรา?”
“เอ่อ…”
มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าหมู่บ้านยังคงรู้จักข้าดีกว่าผู้ใด”
“ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน 10 อีแปะเพื่อเช่าเกวียนหรอก เจ้านำเหล้าชั้นดีกลับมาให้ข้าเป็นการตอบแทนก็พอ”
เหล้าชั้นดีที่มีราคาแพงที่สุดนั้นมีราคาเพียง 8 อีแปะ
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านแล้ว”
นางออกจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อเดินผ่านบ้านของเอ้อร์หนิวก็ตะโกนเข้าไปด้านใน “เอ้อร์หนิว เจ้าอยู่ที่บ้านหรือไม่?”
เอ้อร์หนิวไม่อยู่บ้าน มีเพียงมู่ต้าหนิวที่ยังอยู่
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เอ้อร์หนิวเดินทางไปไร่แล้ว น้องอวี่มีอะไรหรือไม่?”
“ต้าหนิว ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากท่านและเอ้อร์หนิว หากข้าจะจ่ายเงินจ้างพวกท่านเข้าไปในเมืองกับข้าหนึ่งวัน ให้ค่าตอบแทนเป็นเงินคนละ 10 อีแปะ ท่านจะตกลงหรือไม่?”
ดวงตาของมู่ต้าหนิวเป็นประกาย “ได้สิ เหตุใดจะไม่ตกลงเล่า? ข้าจะไปเรียกเอ้อร์หนิวกลับมาเดี๋ยวนี้”
มู่ซืออวี่ไม่รู้วิธีขับเกวียนวัว และเตียงก็ใหญ่เกินกว่าจะขนขึ้นลงด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นนางจึงต้องการคนช่วย
มู่ต้าหนิวแข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน เป็นคนสัตย์ซื่อและไม่มีเจตนาร้ายต่อลู่อี้ พวกเขาทั้งสองเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือนางในเวลานี้