บทที่ 159 จำคนผิด
“เป็นอะไรไป?” มู่ซืออวี่ถามเขา
ลู่อี้มองนางอยู่นิ่ง ๆ สักพักหนึ่ง หลังจากที่เห็นนางกระอักกระอ่วนขึ้นเรื่อย ๆ จึงถอนมือออกแล้วเดินจากไป
มู่ซืออวี่เห็นเขาเดินออกไป ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดก็คว้าเอาขวานที่อยู่ข้าง ๆ ไล่ตามไป
ลู่อี้โค่นต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าแล้วแบกไม้ลงจากเขา
มูซืออวี่ตามมาข้างหลัง มองดูรูปร่างที่ผ่าเผยนั้น มองเท่าไหร่กลับรู้สึกว่าไม่พอ
ตัวร้ายชายก็เป็นตัวเอกชายเช่นกัน ฮาร์ดแวร์ยังต้องผ่านการประมวลผล นางก็เป็นแค่เพียงมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เห็นคนหล่อ ๆ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ลุ่มหลงผู้ชายเล่า?
เพียงแต่ก็แปลกอยู่สักหน่อย นางมองเขามากเท่าไหร่ เขายิ่งตัดไม้เร็วขึ้นเท่านั้น ชายผู้นี้กลายเป็นวัวไปแล้วหรือ? เหตุใดแรงจึงไม่หมดไม่สิ้น?
ตอนที่ลงจากเขาฟ้าก็มืดแล้ว ยังเหลือไม้บางส่วนที่ยังไม่ได้ลำเลียงลงจากเขา มู่ซืออวี่รู้สึกผิดต่อลู่อี้จึงไม่ให้เขาขนแล้ว ที่เหลือนางให้พวกเฟิงเจิงมาช่วย
เที่ยวสุดท้ายที่ลงจากเขา ลู่อี้แบกไม้ท่อนใหญ่ ส่วนมู่ซืออวี่สะพายของป่าหลายอย่างที่ได้จากบนภูเขาไว้บนหลังนาง มีทั้งเห็ดหลายชนิดทั้งไข่นก
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไป
“แม่ฉาวอวี่ บ้านย่าเจ้าเกิดเรื่องแล้ว” เมื่อเหยาซื่อพบพวกนางก็พูดกับมู่ซืออวี่ด้วยท่าททางลับ ๆ ล่อ ๆ “มู่ซือเจียว นังหนูคนนั้นช่างเลอะเลือนจริง ๆ ถึงกับตกหลุมรักกับอันธพาลชื่อดังในหมู่บ้าน”
“อันธพาลคนนั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ
“หวังหมาจื่อ” เหยาซื่อเอียงเข้ามาใกล้ ๆ หูนาง “ถูกชาวบ้านในหมู่บ้านจับได้น่ะ เห็นว่าไปทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงในกระท่อมเล็ก ๆ ซอมซ่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านรีบร้อนไปดูแล้ว ข้าก็กำลังจะไปดูสักหน่อยเหมือนกัน ย่าเจ้าทุบตีรุนแรงมาก แทบจะตีคนตายแล้ว”
หลังจากเหยาซื่อจากไปแล้ว มู่ซืออวี่ยังคงงุนงง
มู่ซือเจียวจะพิศวาสอันธพาลคนหนึ่งได้อย่างไร
แววตาของลู่อี้มืดครึ้มลง ทว่ามุมปากกลับยกขึ้น
เมื่อมู่ซืออวี่หันกลับมา นางก็ทันเห็นมุมปากของเขายกขึ้นพอดี
เหตุใดนางถึงรู้สึกหนาวขึ้นมานิด ๆ นะ?
หรือจะคิดไปเอง?
“จะยืนอยู่ที่นี่อีกนานหรือไม่?” ลู่อี้ถาม
“อ๊ะ พวกเราไปกันเถอะ” มู่ซืออวี่จึงได้สติ
สงสัยเมื่อครู่นี้ตาฝาดไปแล้ว
เดิมทีสีหน้าของลู่อี้ก็ไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ จะมีความสุขหรือไม่มีความสุขสีหน้าของเขาก็เป็นเช่นเดิม
ตอนที่ทั้งสองคนกลับมา ลู่เซวียนก็กลับมาถึงบ้านแล้ว
“กลับมาแล้วหรือ?” ลู่เซวียนกำลังอ่านหนังสือในมือ “เราจะย้ายอีกแล้วรึ?”
“พรุ่งนี้เราจะเริ่มตกแต่งบ้านใหม่ของเราแล้ว จะพยายามให้เสร็จภายในครึ่งเดือน” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าสอนหนังสือให้นักเรียนวันแรก รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ?”
“มีนักเรียนแค่สิบกว่าคน สอนไม่ยาก เพียงแต่ฐานะครอบครัวของเด็ก ๆ เหล่านั้นไม่สู้ดีนัก ยากที่จะเล่าเรียนได้ในระยะยาว” ลู่เซวียนกล่าว
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวล เจ้าแค่ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดก็พอ” ลู่อี้เอ่ยขึ้น
“ข้ารู้” ลู่เซวียนตอบรับก่อนจะถามต่อ ” ในหมู่บ้านเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือ? เหตุใดถึงอึกทึกครึกโครมเสียจริง?”
มูซืออวี่ทำหน้าพิลึกพิลั่น
เห็นเช่นนี้แล้ว ความสงสัยของลู่เซวียนยิ่งเพิ่มมากขึ้น “มีข่าวใหม่อะไรหรือ?”
“ว่างนักหรือไร?” ลู่อี้กล่าว “ในเมื่อว่างมากเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่ไปรดน้ำในแปลงผักสักหน่อยเล่า ไม่เห็นหรือว่าผักพวกนั้นจะเหี่ยวตายแล้ว”
…
ณ บ้านแม่เฒ่าเจียง มู่ซือเจียวนั่งอยู่บนพื้นในสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าฉีกขาด ทั้งยังเปรอะเปื้อน แม้แต่ผ้ารัดเอวยังหลุดออกมา
ตอนที่หัวหน้าหมู่บ้านมาถึงแล้วเห็นฉากนี้เข้า ก็รีบเบือนหน้าหนีแล้วตำหนิ “ภรรยาต้าไห่ ยังไม่ช่วยลูกสาวเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก”
“ลูกสาว? ข้าไม่มีลูกสาวเช่นนี้!” ถังซื่อเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “ลูกสาวไร้ยางอายอย่างนี้ ขายหน้าจริง ๆ ข้าหวังเหลือเกินว่าข้าจะไม่ได้คลอดนางออกมา”
มู่ซือเจียวส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ฮะฮะ”
แม่เฒ่าเจียงที่ตีหลานสาวจนหมดเรี่ยวหมดแรง พอได้ยินเสียงหัวเราะก็โมโหขึ้นมาทันที นางไม่นั่งพักต่อ แต่คว้าไม้ขึ้นมาเดินไปทางมู่ซือเจียวอีกครั้ง
“หน้าไม่อาย! วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตายอยู่ที่นี่ จะได้ไม่เสื่อมเสียไปทั้งวงศ์ตระกูล”
เมื่อเห็นแม่เฒ่าเจียงเดินเข้ามา มู่ซือเจียวจึงหยุดหัวเราะ สั่นกลัวไปทั้งตัว
“ท่านแม่” มู่ต้าไห่ขัดขวางแม่เฒ่าเจียง “หัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ต้องตีแล้ว”
หัวหน้าหมู่บ้านขมวดคิ้ว “แม่เฒ่าเจียง หากท่านยังอยากจะทุบตีคนจริง ๆ ท่านก็ต้องเข้าคุกเช่นกัน พอ ๆ ไม่ต้องตีแล้ว”
“หัวหน้าหมู่บ้าน นี่เป็นเรื่องในบ้านของเรา” แม่เฒ่าเจียงพูดจาแข็งกร้าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องมาวุ่นวาย”
“เรื่องในหมู่บ้านเป็นหน้าที่ของข้า ไม่อยากให้ข้ายุ่งก็ได้ แต่ภายหน้าพวกเจ้ามีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องให้ข้ายุ่งอีกแล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ได้ ท่านอยากเข้ามาจัดการก็ได้ เช่นนั้นท่านก็เอานังหญิงแพศยาคนนี้ไปขังในเล้าหมูให้จบ ๆ ไปซะที” แม่เฒ่าเจียงชี้หน้ามู่ซือเจียวพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ป้าเจียง อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ในบ้านของท่าน แต่ก่อนจัดการเช่นไร ตอนนี้ก็แค่จัดการเช่นนั้นก็ได้แล้ว จะตื่นเต้นไปไย?” ชาวบ้านที่อออยู่ตรงประตูเอ่ยขึ้น
“พูดอะไร? ครั้งก่อนจะเหมือนครั้งนี้ได้หรือ ครั้งก่อนเป็นลู่อี้ ดูสิว่าเด็กคนนั้นตอนนี้รุ่งโรจน์ขนาดไหน ครั้งนี้เป็นหวังหมาจื่อ ทั้งอัปลักษณ์ทั้งเกียจคร้าน วัน ๆ เอาแต่กิน ๆ นอน ๆ ไม่ทำงานทำการ ปีหนึ่งแทบจะไม่อาบน้ำ”
“อุแหวะ!” มู่ซือเจียวอาเจียนออกมา
นางนึกสภาพหวังหมาจื่อตอนที่นางตื่นขึ้นมาได้
ชาวบ้านที่อยู่หน้าประตูเห็นการตอบสนองของมู่ซือเจียวก็เผยสีหน้าแปลกพิกลออกมา
“นังหนูเจียวคนนี้ ดูสิว่านางดูแคลนหวังหมาจื่อแค่ไหน ในเมื่อดูถูกเขาเพียงนั้น เหตุใดจึงยังทำเรื่องพรรค์นั้นกับเขา หรือนางเกิดมาสำส่อนอยู่แล้ว”
“ข้าบอกแล้ว นังหนูคนนี้ไปเป็นสาวใช้แต่ท้องกลับมา ไม่รู้อยู่ข้างนอกทำเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้ากับใคร ตอนนี้กลับมาที่หมู่บ้าน ชายทั่วไปหลอกไม่ได้ ทำได้เพียงหลอกชายที่ด้อยกว่าเช่นหวังหมาจื่อ”
“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้พ้น!” มู่ซือเจียวลุกขึ้นจากพื้น คว้าเอาหินบนพื้นซัดออกไปข้างนอก
พวกชาวบ้านเห็นเช่นนี้แล้วก็วิ่งตามก้นกันไปคนแล้วคนเล่า
“ทำเรื่องน่าเกลียดเช่นนี้แล้วยังไม่อยากให้คนพูดอีกรึ?” หญิงออกเรือนแล้วคนหนึ่งเปล่งเสียงถุยออกมาหนึ่งครั้ง
“ข้าถูกคนให้ร้าย!!” มู่ซือเจียวกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง
“ให้ร้าย? ใคร?” หัวหน้าหมู่บ้านขมวดคิ้ว
“ข้า…” มู่ซือเจียวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ใคร? จะมีใครอีกนอกเสียจากลู่อี้?
ยานั้นเห็นชัด ๆ ว่าเอาให้ลู่อี้กิน เหตุใดจึงกลายมาเป็นหวังหมาจื่อ?
หวังหมาจื่อกินยานั่นเข้าไปแล้วรีบร้อนเข้ามาหานาง นางจะสู้เขาได้อย่างไร?
แต่นางจะกล้าพูดความจริงได้อย่างไร?
“กรี๊ด!!” มู่ซือเจียวกุมหัวคุกเข่าลง
ถึงจะเคียดแค้นลู่อี้ขนาดไหน ทว่าคนที่นางโกรธแค้นชิงชังที่สุดก็คือมู่ซืออวี่
หากตอนนั้นลู่อี้ตกหลุมพรางนาง คนที่เขาจะอุทิศตนให้ต้องเป็นนาง ฮูหยินของเจ้าหน้าที่ทางการก็ต้องเป็นนาง มู่ซืออวี่มีดีอะไร เหตุใดจึงสุขสบายเช่นนี้?
“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงแล้ว แม่เฒ่าเจียง หวังหมาจื่อเล่า?” หัวหน้าหมู่บ้านถาม “มีคนบอกว่าพวกท่านขังหวังหมาจื่อเอาไว้”
“อยู่ในห้องเก็บฟืน” แม่เฒ่าเจียงเอ่ยอย่างเย็นชา
“ปล่อยเขาออกมา เรื่องนี้จะต้องมีทางแก้” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว
มู่ต้าไห่ถอนหายใจ “ข้าจะไปเรียกเขาออกมา”
ไม่นานนัก มู่ต้าไห่ก็นำตัวหวังหมาจื่อในสภาพเกรอะกรังออกมา
หวังหมาจื่อเป็นอันธพาลชื่อก้องหมู่บ้าน ไม่เพียงแต่หน้าตาน่าเกลียดเท่านั้น ครอบครัวยังยากจน เขาไม่มีบิดาหรือมารดา ใช้ชีวิตลำพัง ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงไม่ข้องเกี่ยวกับเขา
ตอนนี้เขาตะโกนอย่างรู้สึกผิด “หัวหน้าหมู่บ้าน! ข้าหลงมัวเมา เข้าใจผิดว่านางเป็นแม่นางในเรือนวสันต์”
ได้ยินประโยคนี้ ทุกคนจึงมองมู่ซือเจียวอย่างเวทนามากกว่าเดิม
นี่นับว่าเป็นการดูถูกเป็นอย่างยิ่ง
มู่ซือเจียวเขม่นมองหวังหมาจื่ออย่างโกรธเกรี้ยว
หวังหมาจื่อไม่กล้าสบตามู่ซือเจียว เขาก้มหน้าลง พยายามทำตัวไร้ตัวตนท่ามกลางสายตาของคนรอบข้าง