สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 164 คุณชายถัง สกุลของท่านไม่ใช่ว่าหมดตัวแล้วหรือ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 164 คุณชายถัง สกุลของท่านไม่ใช่ว่าหมดตัวแล้วหรือ

บทที่ 164 คุณชายถัง สกุลของท่านไม่ใช่ว่าหมดตัวแล้วหรือ

สีหน้าของเจิ้งซูอวี้ครึ้มลง “คุณชายถัง ท่านอาจจะเข้าใจผิด ท่านพ่อของข้าแค่ขอให้ข้ามาทานข้าวที่นี่สักมื้อเท่านั้น ไม่มีความหมายอื่นใด”

“ไม่มีความหมายอื่นใด?” ถังหมิงฉงไม่อาจรักษาภาพลักษณ์ที่เสแสร้งไว้ได้อีกต่อไป

เขาลุกขึ้น จ้องมองเจิ้งซูอวี้อย่างไม่เป็นมิตร “หากไม่มีความหมายอื่น เหตุใดต้องมาที่ร้านอาหารของคุณชายเช่นข้าด้วย?”

“ไม่ใช่ว่าคุณชายเปิดประตูทำกิจการ เลือกลูกค้าได้หรือ?” เจิ้งซูอวี้ประหลาดใจ “อีกอย่าง ข้ามาทานข้าวที่นี่กับสหาย เป็นคุณชายที่พบข้าแล้วเดินเข้ามาทักทายข้าเอง ข้าคงทำเป็นไม่เห็นท่านไม่ได้กระมัง?”

“ซูอวี้ ที่แท้ท่านก็ไม่ได้สนิทกับคุณชายถังท่านนี้หรอกหรือ?” มู่ซืออวี่แปลกใจ “เช่นนั้นก็ดี ร้านอาหารของคุณชายถังแห่งนี้ดูเหมือนกิจการกำลังไปได้ดี แต่ในความเป็นจริงวัตถุดิบกลับไม่สดใหม่ รสชาติก็พอถู ๆ ไถ ๆ ที่ยังมีลูกค้าอยู่ก็เพราะราคาถูก ของถูก ๆ นั้นมีผู้ใดบ้างที่ไม่ชอบ”

“ของถูกแต่คุณภาพไม่ดีก็ไม่สามารถรักษาใจคนเอาไว้ได้หรอก คุณชายถัง ครั้งก่อนที่ข้าพบท่านยังมีจี้หยกอยู่รอบเอว วันนี้ดูสิ….”

“ไม่เห็นจี้หยกก็แล้วไปเถิด แม้แต่แหวนปานจื่อหยก*[1] ในมือก็หายไปเสียแล้ว สกุลถังของพวกท่าน… คงไม่ใช่ว่าหมดตัวแล้วหรือ?”

ถังหมิงฉงตบโต๊ะดังโครม “เจ้า!!!”

“ไม่ต้องตื่นเต้น ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ผู้ใดถือเป็นจริงจังย่อมแพ้แล้ว” มู่ซืออวี่มองเจิ้งซูอวี้แล้วเอ่ยว่า “อิ่มแล้วหรือยัง หากอิ่มแล้ว พวกเราไปเถอะ”

เจิ้งซูอวี้ขมวดคิ้ว “หลังจากที่ท่านเอ่ยขึ้นมาแล้ว ข้าก็รู้สึกว่าอาหารพวกนี้แปลก ๆ พวกเราไปทานที่อื่นกันเถอะ ที่แบบนี้ข้าจะไม่มาอีกแล้ว”

“นังหญิงบ้านนอกต่ำช้า! ไม่รู้จริง ๆ ว่าลู่อี้แต่งงานกับหญิงหยาบช้าเช่นเจ้าได้อย่างไร” ถังหมิงฉงด่าไล่หลังมู่ซืออวี่

มู่ซืออวี่หยุดชะงักทันที

ถังหมิงฉงเย้ยหยัน จ้องมองนางอย่างเป็นปฏิปักษ์ เจิ้งซูอวี้เห็นเข้าก็เขย่าแขนของมู่ซืออวี่ “อย่าไปสนใจเขาเลย”

นางรู้สึกเสียใจขึ้นมา หากรู้ว่าทั้งสองมีความแค้นต่อกันก็คงไม่พามู่ซืออวี่มาที่นี่

สาเหตุที่นางมาพบกับถังหมิงฉงเป็นความคิดของท่านพ่อ เขาบอกว่ากิจการของสกุลถังกำลังไปได้ดี หากแต่งเข้าสกุลถังได้ก็ช่วยครอบครัวได้

ด้านหนึ่งนางรู้สึกคล้อยตาม แต่อีกด้านก็รู้สึกกังวล นี่เป็นเหตุผลที่นางดึงมู่ซืออวี่มาเป็นกุนซือ

ตุบ!

มู่ซืออวี่กุมท้อง ร่างกายพลันโอนเอน โซซัดโซเซล้มลงบนโต๊ะตรงข้าม

“ท้องของข้า… ปวดเหลือเกิน อาหาร… อาหารมีปัญหา โอ๊ยยย”

“อะไรนะ? อาหารมีสิ่งผิดปกติรึ?” แขกโต๊ะข้าง ๆ ยืนขึ้นด้วยความหวาดผวา “นี่ไม่ซ้ำรอยภัตตาคารหมายเลขหนึ่งหรอกหรือ ข้างในใส่อะไรหรือเปล่า?”

ลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ ล้วนหวาดวิตกเช่นกัน

“ทุกท่าน! หญิงผู้นี้จงใจให้ร้ายข้า อาหารของร้านเราไม่มีปัญหา!” ถังหมิงฉงตะโกน

“สีหน้าของหญิงผู้นี้ซีดเซียวเช่นนี้แล้ว ยังจะบอกว่าไม่มีปัญหาอีกหรือ?”

“ใช่ ๆ หากไม่มีปัญหาจริง ๆ เหตุใดใบหน้าของหญิงคนนี้ถึงได้ซีดขนาดนี้?”

“พวกเราไปกันเถอะ ไม่ต้องมาที่นี่แล้ว”

“ไป ๆ”

ผู้จัดการร้านรีบร้อนขวางคนเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ลูกค้าคนแล้วคนเล่าก็ยังคงทยอยออกไป

ถังหมิงฉงร้อนรนหยุดพวกเขาเอาไว้ เมื่อเขาได้สติกลับมา มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ก็หายไปแล้ว

มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้เดินออกมาจากร้านอาหารแห่งนั้น พอหันไปเห็นภาพอันวุ่นวายโกลาหลก็มองหน้ากันแล้วระเบิดหัวเราะออกมา

“ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าท่านมีปัญหากับเจ้าคนแซ่ถังนั่น” เจิ้งซูอวี้ขอโทษจากใจจริง

“คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ข้าที่มีปัญหากับเขา แต่เป็นสามีของข้า คนผู้นี้จิตใจคับแคบ ตอนที่สามีข้าเรียนอยู่ในสำนักบัณฑิต สามีของข้าได้รับการยกย่องชมเชยจากเจ้าสำนัก เขาอิจฉาริษยา สร้างความลำบากให้สามีของข้า ครั้งที่แล้วก็ก่อความวุ่นวายให้สามีของข้า แม้แต่หญิงสาวตัวเล็ก ๆ อย่างข้า เขายังไม่ยอมปล่อย คนผู้นี้ไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสมหรอก”

“ท่านพูดถูก” เจิ้งซูอวี้ครุ่นคิด

“เหตุใดจู่ ๆ ก็นัดดูตัว คุณหนูเจิ้งดูไม่เหมือนคนที่จะตกลงปลงใจกับใครแล้วยอมคลอดลูกน้อย ๆ ให้เลย!”

“เป็นสตรีไม่ง่ายเลย ทำกิจการเองก็ยิ่งยาก ดูเหมือนมีแต่ต้องพึ่งพาบุรุษ ไม่เช่นนั้นก็มีแต่ทางตัน หรือไม่ก็เป็นหน้าผาสูงชันไม่มีที่สิ้นสุด”

“ข้าไม่คิดเช่นนั้น” มู่ซืออวี่กล่าวว่า “ถึงแม้จะเป็นหน้าผาสูงชัน ข้าก็สามารถงอกปีกโผบินออกไปได้ คุณหนูรองเจิ้ง ยากนักที่ข้าจะนับถือผู้ใด ท่านเป็นหนึ่งในนั้น อย่าได้เด็ดปีกของตนทิ้งไปเป็นอันขาด”

“ข้าชอบคุยกับท่านจริง ๆ” เจิ้งซูอวี้ดึงมืออีกฝ่ายไปกุม “เอาไว้วันหน้าข้าจะเลี้ยงมื้อค่ำท่านเป็นการทดแทน อาหารมื้อนี้ไม่นับ”

“ได้เลย”

“จริงสิ ท่านรับนี่ไปนะ” เจิ้งซูอวี้นำตั๋วเงินสองฉบับออกมา หนึ่งฉบับเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงเงิน

มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจ “นี่คือ…”

“ค่าตอบแทนที่ท่านให้คำแนะนำข้า” เจิ้งซูอวี้กล่าว “หากวิธีแบ่งชำระที่ท่านเอ่ยถึงถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสม จะต้องมีประโยชน์กับการแข่งขันครั้งนี้อย่างมหาศาลเป็นแน่”

“วิธีนี้ใช้งานง่ายก็จริง แต่มันมีผลเสียอยู่ เพื่อให้คุ้มค่ากับค่าตอบแทนที่ท่านให้มา ข้าจะให้รายละเอียดท่านมากกว่าเดิม ถ้าจะให้ปลอดภัยกว่านี้ ท่านทำงานร่วมกับศาลาว่าการและเฉียนจวง*[2] ได้นะ”

หลังจากแยกกับเจิ้งซูอวี้ มู่ซืออวี่ก็บังคับรถม้าไปซื้อของอีกเล็กน้อย

เมื่อรถม้าเคลื่อนผ่านปากทางของตรอกแห่งหนึ่ง มู่ซืออวี่ก็เห็นร่างคุ้นตานั่งอยู่ที่นั่น

นางดึงสายบังเหียนม้า “หยุดดด!”

“ก้นของเจ้าไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน เช่นนี้จะหาเงินได้จริง ๆ หรือ?”

ชายขอทานคนนั้นยังคงปิดเปลือกตา ไม่ตอบสนองสิ่งใด

“เป็นขอทานที่แปลกประหลาดจริง ๆ” มู่ซืออวี่กล่าว จากนั้นก็นำหนึ่งตำลึงเงินออกมา โยนไปที่ถ้วยแตก ๆ ของชายขอทานคนนั้น “พอให้เจ้าซื้อซาลาเปาไปได้หนึ่งเดือน เก็บเงินเอาไว้บ้าง”

หลังจากที่รถม้าจากไป ขอทานคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมา สายตาราวกับเหยี่ยวคู่นั้นได้แต่ทอดมองไปยังทิศทางที่มู่ซืออวี่จากไป

ศาลาว่าการค่อนข้างวุ่นวาย ลู่อี้ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่และกลับมาตอนดึกหลายวันแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของลู่อี้ นอกจากดูแลเรื่องเล็ก ๆ น้อยประจำวันให้เขาแล้ว มู่ซืออวี่ล้วนไม่สามารถช่วยสิ่งใดได้เลย

ณ ศาลาว่าการ

ลู่อี้เดินเข้ามาพร้อมกับหนังสือราชการกองโต “เหวินซง นี่ของท่าน”

“ขอบคุณท่านจู่ปู้ลู่” เวินเหวินซงยิ้ม “เหตุใดยังต้องลำบากท่านมาส่งอีกเล่า?”

“เจ้าคนไม่มียางอาย” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “คืนนี้ไปร่ำสุราด้วยกันเถิด”

“ฮ่าฮ่า ข้าจะรอนะ” หลังจากเวินเหวินซ่งกล่าวจบ เขาก็เปิดหนังสือราชการแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คดีนี้จัดการไม่ง่ายเลย ท่านจู่ปู้ลู่ ท่านมีความคิดดี ๆ หรือไม่?”

“ไหน เอามาให้ข้าดู”

ถังซานอวี่เห็นทั้งสองคนปรึกษาหารือเรื่องคดีกันจึงหันไปถามคนข้าง ๆ “หนังสือทางการช่วงนี้ได้รับการอนุมัติน้อยลงใช่หรือไม่?”

“น้อยลงหรือ ไม่เลย!” คนข้าง ๆ เขาเอ่ยว่า “ก็เหมือนปกติ เพียงแต่คดีมีปัญหามากสักหน่อย อาจจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”

“ใช่แล้ว คดีล่าสุดช่างวุ่นวายเกินไปจริง ๆ” คนอื่นก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน

“จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้ท่านไม่มีคดีหรือ?”

สายตาแต่ละคู่หันมามองถังซานอวี่ จากนั้นหันไปมองลู่อี้อีกครั้ง ทันใดนั้น ทุกคนก็เผยสีหน้าเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง

ลู่อี้เดิมทีกำลังจะจากไป แต่ถูกถังซานอวี่หยุดเขาเอาไว้

“ท่านจู่ปู้ลู่ ช่วงนี้ไม่มีคดีอะไรส่งให้ข้าเลยหรือ?” ถังซานอวี่ไม่พอใจ

ลู่อี้กวาดตามองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยเบา ๆ “มีสิ เจ้าตามข้ามา”

[1] แหวนปานจื่อ เป็นอุปกรณ์สวมนิ้วหัวแม่มือสำหรับผู้ที่ยิงธนู ป้องกันการเสียดสีของสายธนูกับนิ้วหัวแม่มือ

[2] เฉียนจวง คือ ร้านค้าที่ดำเนินกิจการทางการเงินในสมัยโบราณ ดำเนินการรับฝากเงินและแลกเปลี่ยนเงิน คล้ายกับธนาคารในยุคปัจจุบัน

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท