บทที่ 182 ใครรังแกเจ้า?
เซี่ยคุนมองไปยังร่างที่อยู่ในน้ำด้วยสายตาคมกริบ
มู่ซืออวี่หนาวจนตัวสั่น “พวกเราไปเถอะ”
“จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือ?” แววตาของเซี่ยคุนเผยแววจิตสังหาร
“พวกเขาเองก็ไม่ได้เปรียบนักหรอก เราไปจากที่นี่กันก่อนค่อยว่ากันเถอะ” นางเอ่ยพลางเดินไปทางเรือนรับรองของหลี่หงซู
เซี่ยคุนหันกลับไปมองบ่อน้ำนั้นอีกครั้ง สุดท้ายจึงเดินตามมู่ซืออวี่ไป
“คุณชายใหญ่ตกน้ำแล้ว! รีบมาช่วยเร็วเข้า!”
ไม่นานเสียงร้องแหลมสูงของคนรับใช้ก็ดังขึ้น ตามมาด้วยความโกลาหล
หลี่หงซูกลับมาจากงานเลี้ยงของเหล่าคุณหนู เห็นคนใช้ในจวนรีบร้อนวิ่งออกมาข้างนอกจึงรั้งไว้แล้วเอ่ยถาม “วิ่งไปทำอะไรกัน เลินเล่อนัก ไม่สนกฎระเบียบแล้วหรือ?”
คนใช้รีบขอความเมตตา “คุณหนูยังไม่ทราบเรื่อง คุณชายใหญ่จมน้ำ บ่าวจะรีบไปเชิญหมอเจ้าค่ะ”
หลี่หงซูได้ยินก็ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ ไปหาท่านหมอหลินที่โรงหมอจิ้งอันทางตะวันออกของเมือง ทักษะการแพทย์ของเขายอดเยี่ยม ไม่เรียกค่าหมอมั่วซั่ว”
คนใช้ขานรับแล้ววิ่งไปทันที
ชิงไต้เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายใหญ่จมน้ำแล้ว คุณหนูรีบไปดูเถอะเจ้าค่ะ!”
“ไปเถอะ!”
จวนตระกูลหลี่ตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่มีใครสนใจมู่ซืออวี่อีก
มู่ซืออวี่กลับไปยังเรือนตะวันออกของหลี่หงซูด้วยเนื้อตัวชุ่มโชก คนอื่น ๆ ยังทำงานกันอยู่ เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของนาง ก็ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าไม่ระวังจึงตกน้ำไปเท่านั้นเอง”
เซี่ยคุนขมวดคิ้ว เขามองไปยังนางนิ่ง ๆ
มู่ซืออวี่ดูความคืบหน้าของงานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้กลับกันก่อนเถอะ ทุกคนเก็บเครื่องมือ”
เฟิงเจิงและคนอื่น ๆ เก็บเครื่องมือแล้วกลับร้าน ส่วนมู่ซืออวี่ต้องกลับไปที่หมู่บ้าน หลังจากที่พวกเขาออกจากจวนหลี่แล้วก็แยกกันไปคนละทาง
เซี่ยคุนบังคับรถม้าไปตามทาง หลังจากได้ยินเสียงจามดังออกมาจากข้างใน แววตาก็วาบประกายเย็นเยือก
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นใต้จมูกของเขาเสียได้ เจ้าสองคนนั้น… เขาจะจำเอาไว้!
“หยุดรถ” มู่ซืออวี่เรียกเซี่ยคุนให้หยุดรถ
เซี่ยคุนดึงบังเหียนแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ?”
“หาร้านขายเสื้อผ้าสักร้าน ข้าอยากซื้อเสื้อผ้าสักหน่อยน่ะ”
เซี่ยคุนจึงกระตุกบังเหียนเบา ๆ แล้วพานางไปยังร้านเสื้อผ้า
“ถึงแล้ว”
“รบกวนพี่ใหญ่เซี่ยช่วยเรียกลูกจ้างหญิงในร้านออกมาให้ข้าหน่อย” มู่ซืออวี่กล่าว “ตอนนี้สภาพของข้าไม่สะดวกจะออกไปนัก เดี๋ยวคนจะเอาไปนินทาไร้สาระเอาได้”
“ถ้างั้นก็รอเดี๋ยว”
ลูกจ้างหญิงเดินออกมา นางยืนฟังมู่ซืออวี่พูดไม่กี่คำอยู่นอกรถม้า ผ่านไปไม่นานก็จัดเสื้อผ้าออกมาหลายชุด
เซี่ยคุนขับรถไปในตรอก จากนั้นก็ลงจากรถม้า ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าตรอก
มู่ซืออวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าภายในรถม้า
“พี่ใหญ่เซี่ย ข้าเสร็จแล้ว” มู่ซืออวี่เปิดหน้าต่าง แล้วเอ่ยไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าตรอก
เซี่ยคุนเห็นสีหน้าของนางซีดเซียวก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าต้องไปหาหมอ”
“ไม่ต้องหรอก” มู่ซืออวี่ปฏิเสธ “ข้ากลับหมู่บ้านไปเอายาจากท่านหมอจูมากินสักสองชุดก็ได้แล้ว”
เมื่อหลี่หงซูแน่ใจแล้วว่าหลี่จวิ้นหานไม่มีอันตรายถึงชีวิต นางก็กลับไปยังเรือนของตนด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
“เหตุใดวันนี้จึงไปเร็วขนาดนี้นะ?”
เมื่อไม่เห็นมู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ หลี่หงซูจึงให้ชิงไต้ไปถามคนรับใช้
ชิงไต้ถามข่าวคราวแล้วรีบกลับมา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูหลี่หงซูสองสามคำ
หลี่หงซูได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมทันที “ที่เจ้าพูดมาจริงหรือ?”
“เป็นเรื่องที่คนใช้ในจวนพบเห็นเจ้าค่ะ” ชิงไต้กล่าว “เถ้าแก่เนี้ยขึ้นมาจากบ่อน้ำ เปียกไปทั้งตัว บนร่างคลุมด้วยเสื้อคลุมของผู้คุ้มกันของนาง”
“เหตุใดถึงบังเอิญเช่นนี้ หรือว่าเรื่องที่พี่ใหญ่ตกน้ำจะเกี่ยวข้องกับนาง แต่คนที่ตกน้ำไปกับพี่ใหญ่ก็ยังมีคนสกุลถังนั่นอยู่ด้วยอีกคน สองบุรุษและหนึ่งสตรีตกน้ำในเวลาเดียวกัน…” หลี่หงซูมีสีหน้าไม่ดี “พี่ใหญ่ทำตัวเหลวไหลมาแต่ไหนแต่ไร เขาคงไม่ได้… นั่นเป็นหญิงที่มีสามีแล้วเชียวนะ สามีของนางเป็นคนในศาลาว่าการ ไม่ว่ายามปกติจะเหลวไหลอย่างไรก็ไม่เคยยุ่มย่ามกับสตรีสกุลดี ๆ มาก่อน วันนี้เขาคงจะไม่ได้ไร้ยางอายเช่นนั้นหรอกกระมัง”
“เราไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็จริง แต่ในจวนมีคนมากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะคนรับใช้ข้างกายคุณชายใหญ่ พวกเขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่”
ทางด้านมู่ซืออวี่นั้นลงจากรถด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
ลู่เซวียนได้ยินเสียงรถม้าจึงออกมา พอเห็นแผ่นหลังของมู่ซื่ออวี่ก็เดินเข้าไปหา “วันนี้ความคิดข้าสับสนวุ่นวาย คิดทิศทางของโครงเรื่องใหม่ไม่ออกเสียที เจ้า… เหตุใดสีหน้าเจ้าถึงได้แย่ขนาดนี้ เป็นไข้หรือ?”
“เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ” มู่ซืออวี่ตอบ “ไม่ต้องตื่นตูมไปหรอก เจ้าคิดโครงเรื่องใหม่ไม่ออกเพราะมโนภาพยังไม่ชัดเจนพอ เช่นนี้เจ้าออกไปสูดอากาศสักหน่อย ไม่แน่ว่าความคิดอาจจะเปิดกว้างขึ้นมาก็ได้”
“เจ้าอย่าห่วงเรื่องของข้าเลย” ลู่เซวียนประคองนางนั่งลงบนม้านั่งหิน “ข้าจะไปเชิญท่านหมอจูมา”
“ไม่ต้องหรอก” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ดื่มน้ำขิงสักหน่อยก็ได้แล้ว”
“ข้าจะไปเชิญท่านหมอ” เซี่ยคุนกล่าวขึ้น
“ได้ รบกวนด้วย” ลู่เซวียนเอ่ยพลางพยุงมู่ซืออวี่ขึ้นมา “ข้าจะพยุงเจ้าเข้าไปพักผ่อนในบ้านสักหน่อย”
มู่ซืออวี่วิงเวียนหัว ดูเหมือนว่านางจะเป็นหวัดจริง ๆ เสียแล้ว
“ท่านหมอจู เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เป็นไข้หวัดจากลมหนาว” ท่านหมอจูจับชีพจรแล้วกล่าวว่า “รอประเดี๋ยว ข้าจะส่งยามาให้นางสองชุด ดื่มขับเหงื่อสักสองวัน พักผ่อนให้เต็มที่ อีกสองวันก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“วันนี้นางตกน้ำมา” เซี่ยคุนรายงาน
“ตกน้ำได้อย่างไร?” ลู่เซวียนพลันกระวนกระวายอยู่ข้าง ๆ
“รอให้นางตื่นแล้ว เจ้าค่อยถามนางเอา” เซี่ยคุนเอ่ยเสียงเรียบ
“ตอนนี้นางยังไม่ตื่น เจ้ามีหน้าที่ปกป้องนาง ข้าก็ต้องถามเจ้าสิ” ลู่เซวียนจ้องเซี่ยคุนเขม็ง “เจ้าดูแลนางอย่างไรกัน? หากพี่สะใภ้ข้าเป็นอะไรไป เจ้าจะชดใช้อย่างไร?”
ลู่อี้ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ข้างในก็เปิดประตูเข้ามาถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ท่านพี่ พี่สะใภ้ตกน้ำ เป็นไข้หวัดด้วยลมหนาวแล้ว” ลู่เซวียนเอ่ยอย่างโมโห “ข้าถามเซี่ยคุน เขาก็ไม่ยอมพูดอะไร ท่านว่าน่าโมโหหรือไม่เล่า?”
“พี่เซี่ย…” จือเชียนมองไปยังเซี่ยคุนอย่างเป็นกังวล
เซี่ยคุนเดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา
ลู่อี้เดินมาข้างเตียง จ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่ซีดเซียว แววตาชายหนุ่มราวกับซุกซ่อนเหวลึกเอาไว้ ใครก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเขาคิดสิ่งใด รู้สึกได้เพียงว่าช่างดำมืด หนักอึ้ง และอันตรายยิ่งนัก
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลกันเช่นนี้หรอก นางไม่ได้เป็นอะไรมาก” ท่านหมอจูเห็นว่าทุกคนเป็นเช่นนี้ก็ปลอบขวัญ
ลู่อี้หันไปพูดกับลู่เซวียนว่า “เจ้าไปเชิญแม่ยายข้ามา รบกวนให้นางช่วยดูแลสักหน่อย”
“ได้” ลู่เซวียนจึงเดินออกไป
“ลำบากท่านแล้ว” ลู่อี้เอ่ยกับท่านหมอจู “วันนี้คงจะต้องรบกวนให้ท่านอยู่ที่บ้านของพวกเราก่อน ข้ากังวลว่าคืนนี้อาจจะมีปัญหาได้
“ได้ ไม่มีปัญหา” ท่านหมอจูยอมตอบตกลง
จากนั้น ลู่อี้ค่อย ๆ สัมผัสมือของมู่ซืออวี่
เย็นนัก…
ชายหนุ่มสัมผัสแก้มของนางอีกครั้ง พบว่าทั้งร่างเย็นเยือกไปหมด
เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
หลังจากที่ท่านหมอจูออกไป ลู่อี้ก็ถอดเสื้อคลุมแล้วขึ้นไปบนเตียง เขากอดมู่ซืออวี่ที่เย็นเยือกไปทั้งตัวไว้ในอ้อมแขน
มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกเพียงว่ามีอะไรขม ๆ เกินกว่าจะรับไหวเข้าปาก นางไม่สบายตัว ถ่มออกมาหลายคำ ไม่นานก็มีอะไรบางอย่างมาปิดปากนางไว้ ทั้งยังบังคับกรอกน้ำขมเข้ามาในปากของนางอีกด้วย
นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็มองเห็นใบหน้าคนชายคนหนึ่ง
ลู่อี้ดูเหมือนจะดื่มอะไรคำหนึ่ง ก่อนจะป้อนสิ่งนั้นใส่เข้ามาในปากของนาง
มันขม ทั้งยังมีกลิ่นประหลาด สิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้นางตื่นขึ้นมาด้วยความ ‘แค้น’
นางไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน สมองขาวโพลน ทั้งยังสะลึมสะลือ จึงปล่อยให้ลู่อี้ ‘รังแก’ ไปเช่นนั้น
ครั้นกรอกยาหมดถ้วยแล้ว ลู่อี้ก็ยกน้ำผึ้งข้าง ๆ มาป้อนให้นางกินทีละคำอีกครั้ง
ครั้งนี้นางไม่ขัดขืนอีกต่อไป แต่กลับดื่มจนหมดอย่างให้ความร่วมมือ
“ตะกละจริงเชียว ของอร่อยยอมกิน แต่พอเป็นของไม่อร่อยกลับปิดปากเสียแน่น มีแต่ต้องป้อนเจ้าเช่นนี้แล้ว” ลู่อี้บีบแก้มนาง ความเอ็นดูปรากฏขึ้นในแววตา