บทที่ 215 ดอกท้อบาน
“หลินต้าจ้วง เจ้าเอาของกลับไปเถอะ พวกเราไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
ถงซื่อนึกไม่ถึงว่าอายุปูนนี้แล้วยังจะมีบุรุษนำของมาให้นางอีก ไหนจะถูกท่านหมอจูพบเข้า อับอายเสียจนนึกอยากหาที่ซ่อนตัว
“เหตุใดจึงจะรับไม่ได้เล่า? ข้าจับมันมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเชียวนะ รับไว้เถอะ!” หลินต้าจ้วงร้อนใจขึ้นมา
เขาอยู่ตัวคนเดียวมาหลายปีแล้ว อยากจะต่อสายพิณ*[1] ใจจะขาด แต่เขาเป็นเพียงคนทำไร่ไถนา ความสามารถอะไรก็ไม่มี สามารถประคับประคองตนเองและลูกมาได้ก็ไม่เลวแล้ว กระทั่งวันนั้นที่ได้เห็นถงซื่อทำงานอยู่ในแปลงผัก นางสวมเสื้อและกระโปรงชุดใหม่ บนหัวประดับดอกไม้ ทรวดทรงอวบอิ่ม มีน้ำมีนวลกว่าแม่นางน้อยเสียอีก
หลังจากนั้นเขาก็กลับไปคิดดู ถงซื่อโด่งดังในหมู่บ้านเรื่องความใจดี ลูกชายลูกสาวของนางก็มีอนาคตที่สดใสรออยู่ หากเขาได้แต่งกับนาง ชีวิตย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ข้าไม่รับ” ถงซื่อหลบมือของเขา
ท่านหมอจูพลันเข้ามาบังถงซื่อไว้ข้างหลัง “หลินต้าจ้วง อย่าได้มาก่อกวนสร้างความวุ่นวายอยู่ที่นี่ นำของกลับไปเสีย”
“ท่านหมอจู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน” หลินต้าจ้วงไม่พอใจเล็กน้อย “ถงซื่อ ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง ข้าจะตรงไปตรงมาแล้วกัน ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า”
ดวงตาของถงซื่อเบิกกว้าง “เจ้า… เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
นางตระหนกจึงคว้าเสื้อของท่านหมอจูเอาไว้แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ
ภายในใจของท่านหมอจูเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
หลินต้าจ้วงนึกคึกอะไรขึ้นมา ในหมู่บ้านมีใครบ้างที่ไม่รู้? ชายคนนี้ยากจนกระทั่งแม้แต่กางเกงในยังแทบจะขโมยใส่ นึกไม่ถึงว่าจะมีแผนการกับถงซื่อ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?
“ข้าไม่ได้พูดจาไปเรื่อย ข้าชอบเจ้าจริง ๆ ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า เจ้าก็เห็นสตรีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าแห้งจะตายอยู่แล้ว ไม่สู้มาใช้ชีวิตอยู่กับข้าดีกว่าหรือ?”
“เจ้า.. เจ้าจะสามหาวเกินไปแล้ว” ถงซื่อโมโหมาก แทบจะพูดไปร้องไห้ไป
ท่านหมอจูก็โกรธเช่นกัน เขาเอ่ยเสียงเย็น “ถ้าเจ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาเดี๋ยวนี้ บอกว่าเจ้ามาทำตัวอันธพาลอยู่ที่นี่ ถ้าเจ้าคิดว่าเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาไม่พอ ข้าก็จะไปเรียกลูกเขยของถงซื่อมา เจ้าก็รู้จักลู่อี้กระมัง เขาไม่ใช่คนอารมณ์ดีอะไรนัก”
หลินต้าจ้วงได้ยินชื่อของลู่อี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เขาจะจีบถงซื่อเป็นเพราะเขาตกหลุมรักถงซื่อ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะลู่อี้ หากเขามีลูกเขยที่มีความสามารถเช่นลู่อี้ เช่นนั้นต่อไปลูกชายเขาก็อาจจะได้ทำงานในศาลาว่าการไม่ใช่หรือ? ไม่แน่ว่าเขาก็อาจจะได้ทำเช่นกัน
“เช่นนั้น… เจ้ากลับไปคิดดู ข้าจะมาหาใหม่วันหลัง” หลินต้าจ้วงวิ่งหนีไปทันทีที่พูดจบ
ถงซื่อเห็นปลายังอยู่ที่พื้น จึงคว้ามันขึ้นมาโยนใส่หลังของหลินต้าจ้วง “เอาปลาของเจ้ากลับไป ใครอยากได้ปลาของเจ้ากัน หากยังมาอีกข้าจะหักขาของเจ้า”
ท่านหมอจูมองท่าทางโกรธราวกับเด็กของนาง ตอนแรกยังคงโมโหอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าจะถูกนางทำให้หัวเราะเช่นนี้
“ท่านหัวเราะอะไร?” ถงซื่อได้ยินเสียงหัวเราะก็ขัดเขินขึ้นมา
“ไม่มีอะไร รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” ท่านหมอจูเอ่ย “ข้าเห็นท่านเข้าไปแล้วถึงค่อยไป”
ถงซื่อเปิดประตู เดินเข้าไป แล้วหันกลับมามองเงาร่างของท่านหมอจู “ท่านอย่าเพิ่งกลับ ลูกอวี่ให้ตะเกียงข้ามา ท่านนำไปใช้เถอะ”
“ไม่จำเป็น ข้าชินแล้ว” ท่านหมอจูบอกแล้วเดินจากไป
ถงซื่อมองตามแผ่นหลังท่านหมอจู
เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้ดีขนาดนี้นะ?
ถงซื่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน รู้แค่เพียงว่าหัวใจของนางเต้นระรัว ข้างในเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา
…
สองสามวันต่อมา มู่ซืออวี่กลับมามีแรงอีกครั้ง
รอบเดือนเป็นสัตว์ประหลาดที่คนทั้งรักทั้งเกลียด ทว่าผ่านไปแค่เพียงสองสามวันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
“คนที่อยากให้พวกเราสูญเสียทุกสิ่งเป็นคนที่มู่ซือเจียวส่งมางั้นหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ใช่แล้ว” เฟิงเจิงเอ่ย “เถ้าแก่เนี้ย จะจัดการกับนางอย่างไรดี?”
“นางเป็นแค่เพียงอนุเรือนหลังคนหนึ่ง มีคนอยากจะจัดการกับนางมากมาย เหตุใดต้องให้ถึงมือเรา อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ไม่ต้องไปสนใจนางหรอก”
มู่ซืออวี่จัดการกิจการร้านของตนให้เข้าที่เข้าทางเสร็จแล้ว กำลังเตรียมตัวจะเลิกงาน แต่กลับเห็นลู่อี้และนักการเกาเดินเข้ามา
“วันนี้เหตุใดพวกท่านถึงได้มาด้วยกันได้ล่ะ?”
“พวกเราต้องไปดื่มสุรางานแต่ง ข้ามารับเจ้าไปด้วยกัน” นักการเกากล่าวยิ้ม ๆ
“ข้าไม่ไปได้หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม
“เฉินเซียนเฉิงจัดงานแต่งให้น้องสาว ท่านก็รู้จัก เป็นแม่ม่ายน้อยคนนั้นที่เคยตามติดลู่อี้ตลอดเวลาอย่างไรเล่า ตอนนี้นางจะแต่งงานใหม่กับเสมียนเฝิงของศาลาว่าการเรา”
“เป็นนางนั่นเอง” มู่ซืออวี่เปลี่ยนใจ “ได้ ข้าจะไปกับพวกท่าน”
นักการเกาขยิบตาให้ลู่อี้ ทว่าลู่อี้มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “ยังไม่ถึงเวลา พวกท่านดื่มชากับทานของว่างอยู่ที่นี่ก่อน รอข้าประเดี๋ยว”
ศัตรูความรักแต่งงาน หากนางไม่แต่งกายตนเองให้ดี จะนับว่าเป็นศัตรูความรักได้อย่างไร?
ระยะนี้มู่ซืออวี่ผอมลงไปไม่น้อย ตามมาตรฐานของยุคปัจจุบัน นางจัดอยู่ในหญิงสาวประเภทที่หุ่น ‘กำลังพอดี’
ไม่อ้วน ไม่ผอม สิ่งที่ควรมีก็มี สิ่งที่ไม่ควรมีก็ไม่มี ปกติทำตัวไม่โดดเด่น แต่เมื่อใดที่สวมใส่ ‘ชุดเกราะ’ ขึ้นมา จะต้องทำให้คนตื่นตะลึงเป็นแน่
มู่ซืออวี่เลือกชุดกระโปรงสีฟ้า เกล้าผมเป็นมวยเมฆคล้อย*[2] ประดับดอกไม้มุกสีส้ม จากนั้นจึงปักปิ่นดอกไม้สีทอง
พอใส่ต่างหูที่ทำจากหยกทรงหยดน้ำก็สวยหยาดเยิ้มเป็นอย่างมาก
หันกลับมามองการแต่งหน้าที่งดงามละเอียดลออของนาง การแต่งหน้าเช่นนี้ทำให้คนดูไม่ออก ชายหนุ่มธรรมดาทั่วไปย่อมคิดว่านางไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมใด ๆ เพียงแต้มลิปที่ริมฝีปากอย่างบางเบา ก็ราวกับวาดมังกรแต้มนัยน์ตา*[3] ทำให้นางเปล่งประกายขึ้นมาทั้งตัว
สิ่งที่ดึงดูดตาที่สุดเป็นผ้าคล้องศอกผืนนั้น
ในยุคนี้ไม่มีผ้าคล้องศอก มู่ซืออวี่จึงซื้อผ้ามาเอง ขอให้ถงซื่อทำตามที่นางต้องการ แล้วเก็บไว้เผื่อใช้ประโยชน์ ถือโอกาสเอาออกมาใช้วันนี้พอดิบพอดี
มู่ซืออวี่มักจะสวมใส่เสื้อผ้าที่สะดวกแก่การทำงาน นางจึงไม่มีเวลาแต่งตัว วันนี้เมื่อแต่งตัวขึ้นมาย่อมงามสะพรั่ง อีกทั้งยังงดงามเฉิดฉายไม่น้อย
“ข้าพร้อมแล้ว”
มู่ซืออวี่เดินออกมา
นักการเกาพ่นชาที่กำลังจิบออกมาทันที
ลู่อี้หยุดจิบชา มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง
มู่ซืออวี่แตะแก้มตนเอง “มันเกินไปหน่อยใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าจะกลับไปเปลี่ยน”
“อย่า อย่า อย่า เช่นนี้สวยดีแล้ว” นักการเการีบห้ามนาง “ข้าว่านะน้องสะใภ้ เจ้านี่เป็นเสือซ่อนเล็บจริง ๆ!”
“ข้า… ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เขาต้องขายหน้า หากอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะเปลี่ยนกลับคืน” มู่ซืออวี่ถูกลู่อี้มองจนเริ่มขวยเขินขึ้นมา
ลู่อี้คว้ามือนางไว้ แล้วดึงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
“เช่นนี้ดีแล้ว พวกเราไปเถิด”
มู่ซืออวี่และชายสองคนเดินออกมาจากด้านหลัง ลูกศิษย์และคนงานในสวนด้านหน้าจ้องมองนางด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เถ้าแก่เนี้ยหรือ?”
แววตาของลู่อี้ลุ่มลึกยิ่งขึ้น เขามองทุกคนด้วยสายตาเชือดเฉือน
“คือว่า เจ้านายเราสวยสะพรั่งเกินไปแล้ว พี่ใหญ่ลู่ช่างโชคดีจริง ๆ”
“ใช่แล้ว ๆ”
ทุกคนรีบร้อนแก้ต่าง
อันอี้หางเพิ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉากนี้ ความขบขันพลันแวบผ่านดวงตา
“ฮูหยินลู่?”
มู่ซืออวี่รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุด “คุณชายอัน”
“นี่ท่าน…” สายตาของอันอี้หางจดจ้องไปบนร่างกายของมู่ซืออวี่ “นี่คืออะไร?”
“นี่เรียกว่าผ้าคล้องศอก” มู่ซืออวี่ตอบ
“ท่านซื้อมาจากที่ใด?”
อันอี้หางสนสิ่งที่เรียกว่าผ้าคล้องศอกเป็นอย่างมาก สตรีที่คล้องผ้าเช่นนี้สง่างามขึ้นมาก ยิ่งมองยิ่งเหมือนเทพธิดา
หากมีในภาพวาด เช่นนั้นจะไม่งามจับตากว่าเดิมหรือ?
“นี่คือ…” ก่อนที่มู่ซืออวี่จะได้กล่าวจบ นางก็ถูกลู่อี้ลากออกไปแล้ว นางตะโกนไปทางอันอี้หางว่า “ขออภัยคุณชายอัน พวกเรากำลังรีบ”
[1] ต่อสายพิณ หมายถึง แต่งภรรยาใหม่ พิณเป็นอุปมาแทนสามีภรรยา การสูญเสียภรรยาจึงเรียกว่า สายพิณขาด เมื่อแต่งภรรยาใหม่จึงเรียกว่าเป็นการ ‘ต่อสายพิณ’
[2] มวยเมฆคล้อย คือทรงผมมัดมวยของสตรีโบราณ มวยผมข้างหลังดูอ่อนช้อยคล้ายทรงเมฆ
[2] วาดมังกรแต้มนัยน์ตา หมายถึง จุดสำคัญที่ทำให้สิ่ง ๆ นั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา