สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 216 หญิงผู้นี้คงไม่มีสมองกระมัง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 216 หญิงผู้นี้คงไม่มีสมองกระมัง

ณ จวนตระกูลเฉิน

มู่ซืออวี่เห็นแขกเหรื่อมากมายเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานครั้งนี้ เกือบจะทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาแวะเวียนมาทักทายลู่อี้

“ที่ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินลายเมฆผู้นั้นคือนายท่านหวัง ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเป็นอนุของลูกชายนายท่านหวัง” ลู่อี้ลดเสียงลงแล้วบอกมู่ซืออวี่

“นั่นเป็นนายท่านเฉียน พ่อค้าเกลือท้องที่ หากจะบอกว่าใครเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองฮู่เป่ย เขาคือหนึ่งในนั้น”

ขณะที่ลู่อี้แนะนำคนมากมายกับนางคนแล้วคนเล่า มู่ซืออวี่ก็จดจำใบหน้าของคนเหล่านั้นไว้ในใจ

“คนที่ใส่เครื่องประดับทอง คนผู้นี้เจ้ามองเขาให้ดี เขาคือเขาคือเถ้าแก่เจี่ยของร้านเครื่องเรือนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮู่เป่ย ระยะนี้เจ้าดึงคำสั่งซื้อจำนวนมหาศาลมาจากเขา”

เถ้าแก่เจี่ยคนนั้นเดินเข้ามาหาเขา แสดงท่าทีประจบประแจงเอาใจเขา คำพูดล้วนแล้วแต่สื่อความหมายว่า ‘ท่านดูสิใต้เท้าลู่ ถึงแม้ภรรยาของท่านจะแย่งชิงลูกค้าไปจากข้า ข้ายังจำต้องทน พวกเราปรองดองกันจะดีกว่า’ แต่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกนาง นางจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด

เขาไม่ต้องการให้นางรู้สึกผิด

มู่ซืออวี่เหลือบมองเถ้าแก่เจี่ยสองสามครั้ง จดจำรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายให้ขึ้นใจ

ตอนที่เถ้าแก่เจี่ยสังเกตเห็นพวกเขา ก็เดินเข้ามาทักทายลู่อี้อย่าใจกว้าง ไม่แสดงความบาดหมางใจใด ๆ ออกมาทั้งสิ้น

หลังจากเถ้าแก่เจี่ยจากไปแล้ว มู่ซืออวี่จึงเอ่ยขึ้นว่า “คนผู้นี้ใจกว้างจริง ๆ”

ลู่อี้ลูบแก้มนางเบา ๆ ควบคุมตนเองไม่ให้ก้มลงจูบนางต่อหน้าธารกำนัล

นางช่างน่ารักเหลือเกิน…

“ปลัดนายอำเภอคนหนึ่งจัดงานแต่งให้น้องสาวก็มีคนมามากถึงเพียงนี้ ปลัดนายอำเภอเฉิงผู้นี้ไม่ใช่คนเรียบง่ายอย่างที่คิดจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น

ถึงตอนนี้ก็มีคนเข้ามาทักทายลู่อี้มากขึ้น มู่ซืออวี่คอยเกื้อหนุนลู่อี้อยู่ข้าง ๆ

“จู่ปู้ลู่ นี่คือ…”

“นี่คือภรรยาข้า”

“หา? ฮูหยินลู่? นึกไม่ถึงว่าฮูหยินลู่จะทั้งอ่อนเยาว์และงดงามเช่นนี้ จู่ปู้ลู่ช่างโชคดีจริง ๆ”

“เสมียนหวังก็โชคดีเช่นกัน” ลู่อี้เหลือบมองหญิงสาวหน้าตาพริ้มเพราข้าง ๆ อีกฝ่าย

หญิงสาวคนนั้นยังคงเกล้ามวยผมอย่างสตรีที่ยังไม่แต่งงาน แวบแรกก็รู้ว่านางยังไม่แต่งงาน แต่เสมียนหวังแก่มากแล้ว เขาจะยังไม่แต่งงานได้อย่างไร? ได้ยินว่าภรรยาเฒ่าที่บ้านผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันกับเขามากมาย นึกไม่ถึงว่ายังไม่ได้ทันได้ถึงคืนวันอันรุ่งเรืองก็ไม่รู้จักพอขึ้นมาแล้ว นี่ก็ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินแม่นางน้อยที่ไหนเข้า

คนหนึ่งอยากทำร้าย ส่วนอีกคนยินดีที่จะถูกทำร้าย ลู่อี้จะไม่เป็นคนชั่วช้าเช่นนั้นแน่

มู่ซืออวี่ถือโอกาสที่ไม่มีคนดึงชายเสื้อของลู่อี้แล้วถามว่า “สามี งานแต่งจัดที่บ้านเฉินหรือ?”

“อืม เสมียนเฝิงเป็นเขยแต่งเข้า” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เฉินเซียนเฉิงเดินมาจากฝั่งตรงข้าม เมื่อเขาเห็นมู่ซืออวี่ที่อยู่ข้างกายลู่อี้ สายตาของเขาก็เยียบเย็นขึ้นมาเล็กน้อย

“จู่ปู้ลู่ ท่านเป็นแขกที่พบได้ยากจริง ๆ” เฉินเซียนเฉินเอ่ยคำพูดแปลกพิกลออกมา

ลู่อี้ตอบเรียบ ๆ ว่า “ยินดีกับเฉินเซียนเฉิงที่ได้น้องเขยในครั้งนี้”

“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณจู่ปู้ลู่ หากไม่ใช่เพราะจู่ปู้ลู่ทำให้สมหวัง ข้าคงไม่สามารถหาน้องเขยที่ดีเพียงนี้ได้” เฉินเซียนเฉิงเย้ยหยัน

“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ แม่นางเฉินเป็นแม่นางที่ดีถึงเพียงนี้ ก็ควรจะได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีเช่นเสมียนเฝิง” ลู่อี้ตอบกลับอย่างไม่สะทกท้าน

ไม่ว่าเฉินเซียนเฉิงจะไม่พอใจเพียงใด เขาก็ไม่สร้างความอับอายให้ลู่อี้ในวันนี้ นอกจากนี้ ลู่อี้กำลังรุ่งเรืองดุจดั่งดวงตะวันกลางฟ้า ไม่รู้เหตุใดถึงไปเข้าตาจงอ๋องเข้าอีก ทำให้เขาไม่กล้าแตะต้องยิ่งกว่าเดิม

วันนี้มีแขกเหรื่อมามากมาย เฉินเซียนเฉิงในฐานะเจ้าบ้านถูกคนอื่นลากจากไปอย่างรวดเร็ว

ลู่อี้กุมมือเล็ก ๆ ของมู่ซืออวี่ไว้แน่น “เจ้าแค่ตามข้ามาก็พอ ไม่ต้องไปที่ใด”

“หากข้าอยากทำธุระส่วนตัวเล่า?”

“ข้าจะไปกับเจ้า”

มู่ซืออวี่ระเบิดหัวเราะออกมา “ท่านยังกลัวว่าเฉินชุนอวี่จะทำอะไรข้าหรือ?”

“หญิงนางนั้นสติไม่ดี ข้าไม่อยากเสี่ยง” ลู่อี้บีบคลึงมือนาง

แก้มของมู่ซืออวี่ค่อย ๆ แดงเรื่อขึ้นมา นางพยักหน้าเบา ๆ “ข้ารู้แล้ว มีท่านอยู่ ข้าก็ไม่กลัวนางแล้ว”

คนโบราณแต่งงานยามตะวันลับฟ้า เมื่อฤกษ์งามยามดีมาถึง พิธีคำนับฟ้าดินของบ่าวสาวจึงเริ่มต้นขึ้น

“ครั้งที่หนึ่ง คำนับฟ้าดิน…”

มู่ซืออวี่มองดูเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีแดง จากนั้นจึงดูของประดับตกแต่งสีแดงรอบ ๆ ความอิจฉาวาบผ่านแววตานาง

ตอนมาที่นี่ นางก็กลายเป็นมู่ซืออวี่ไปแล้ว อีกทั้งในความทรงจำ เจ้าของร่างเดิมและลู่อี้ก็ได้ผ่านการสวมชุดแดงคำนับฟ้าดินแล้ว งานแต่งที่หรูหราใหญ่โตเช่นนี้ไม่ต้องไปนึกถึงหรอก

หากจะกล่าวไปแล้วไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ นางก็ไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ เรื่องนี้สำหรับนางจะกล่าวไปแล้วก็รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย นางเป็นหญิงสาวก็อยากปรากฏตัวสวย ๆ เช่นกัน

มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าชายที่อยู่ข้างกายกำลังจ้องมองนาง เมื่อเห็นสายตาอิจฉาของนาง เขาก็ครุ่นคิดในใจ และเมื่อหันกลับไปมองคู่สามีภรรยาที่แต่งงานใหม่ จึงนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

“ข้าไม่แต่งงาน ข้าไม่อยากแต่งกับเขา” เฉินชุนอวี่ที่กำลังจะคำนับฟ้าดินอยู่ในห้องโถงเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นกะทันหัน แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว “คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วยคือลู่อี้ ไม่ใช่ชายใดก็ได้ ข้าไม่อยากแต่งงาน!”

มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว

สายตาแปลกประหลาดพุ่งมาจากทุกทิศทาง บ้างก็ดีอกดีใจกับความเคราะห์ร้ายของผู้อื่น บ้างก็เฝ้ามองละครฉากนี้อย่างครึ้มอกครึ้มใจ บ้างก็แสดงสีหน้าเป็นห่วง

เฉินเซียนเฉิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นตบโต๊ะดังปังด้วยความโมโห “เจ้าเป็นบ้าอะไร? วันนี้เป็นวันอะไรเจ้าไม่เห็นหรือ กลับกล้ามาพูดจาเลอะเลือนอยู่ตรงนี้!”

เสมียนเฝิงโกรธเพียงใดก็ไม่กล้าปริปาก เมื่อเห็นเฉินเซียนเฉิงโมโห เขาจึงเกลี้ยกล่อมว่า “พี่ใหญ่อย่าได้โกรธเคือง ฮูหยินคงเหนื่อยแล้วจึงได้พูดจาเลอะเทอะเช่นนี้”

“นี่ ใครเป็นฮูหยินของเจ้า? เหตุใดเจ้าไม่ปัสสาวะออกมาส่องเงาตัวเองเล่า สภาพเช่นนี้เจ้ายังคิดจะแต่งงานกับข้าอีก” เฉินชุนอวี่พูดจาหยาบคายใส่เสมียนเฝิง

“เสมียนเฝิงเป็นอย่างไร? เหตุใดเขาจึงจะแต่งกับเจ้าไม่ได้” เฉินเซียนเฉิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ปิดปากนางแล้วคำนับฟ้าดินต่อ”

“ข้าไม่ต้องการ” เฉินชุนอวี่เห็นลู่อี้ที่อยู่ท่ามกลางผู้คน นางจึงวิ่งเข้าไปหาอย่างคลุ้มคลั่ง “พี่ลู่…”

มู่ซืออวี่ออกไปยืนบังหน้าลู่อี้

เฉินชุนอวี่จ้องมองมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร?”

นางไม่รู้จักมู่ซืออวี่

วันนี้มู่ซืออวี่แต่งตัวงดงาม ไม่ด้อยไปกว่าสตรีจากตระกูลผู้มั่งมีเหล่านั้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น นางยังให้บรรยากาศที่โดดเด่นออกมา ดวงตาวาวน้ำคู่นั้นยิ่งเพิ่มความงามให้นางมากขึ้น กลายเป็นภาพที่สวยที่สุดในงานแต่งครั้งนี้ไปเสียอย่างนั้น

“ข้าเป็นฮูหยินของเขา”

“โกหก! ข้าเคยพบฮูหยินของเขา นางเป็นแค่สาวบ้านนอกคนหนึ่ง จะเป็นเจ้าได้อย่างไร?”

“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าครั้งก่อนเจ้าแอบใส่เสื้อผ้าที่สามีข้าซื้อมาให้ข้าแล้วอวดต่อหน้าข้า?” มู่ซืออวี่เบ้ปาก “ข้าแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็จำไม่ได้แล้วหรือ ลูกตามีไว้ประดับหรือไร?”

“เป็นเจ้าจริง ๆ เหตุใดเจ้าถึง…” เฉินชุนอวี่รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง

นางคิดมาโดยตลอดว่าฮูหยินของลู่อี้เป็นหญิงบ้านนอกบ้านนาคนหนึ่ง อ้วนฉุและน่าเกลียด ก้าวร้าวไร้เหตุผล วันนี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายในสภาพนี้ ความกล้าก็พลันหดหายไป

“ก่อปัญหาพอแล้วหรือยัง? ปิดปากนางให้ข้า” เฉินเซียนเฉิงรู้สึกอับอายเต็มกลืน ไม่หลงเหลือความอดทนต่อน้องสาวผู้นี้อีกต่อไป

สายตาของเสมียนเฝิงฉายแววโกรธแค้น

อย่างไรก็ตาม เขาเป็นน้องเขยแต่งเข้าประตู ต่อไปเขาต้องพึ่งพาสถานะของเฉินเซียนเฉิง สุดท้ายจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้

เขายังพอทนได้

เฉินชุนอวี่ถูกจับตัวไปคำนับฟ้าดินต่อ

นางกระเสือกกระสนดิ้นรน หันไปมองทางลู่อี้ แต่ฝ่ายหลังไม่ยื่นมือมาช่วยนางแม้แต่น้อย สายตาคอยจ้องมองหญิงสาวตัวเล็กที่อยู่ข้างกาย คนอื่นไม่อยู่ในสายตาสักนิด

มู่ซืออวี่กอดแขนของลู่อี้ ราวกับกังวลว่าคนจะมาแย่งของเล่นของนางไป

กระทั่งเฉินชุนอวี่คำนับฟ้าดินเสร็จสิ้นแล้วและถูกส่งไปที่ห้องหอแล้ว นางจึงยอมปล่อยแขนของลู่อี้

“เจ้ายังกลัวว่านางจะมาฉุดไปแต่งงานหรือ?”

“เรื่องเช่นนี้ นางทำได้นี่” มู่ซืออวี่มองหน้าชายหนุ่ม

“เจ้ากลัวข้าถูกขโมยเพียงนั้นเลยหรือ?” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ

มู่ซืออวี่ “…”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท