บทที่ 223 ดาวนำโชคของข้า
“คุณหนูเฉิน รีบขึ้นรถม้าเถอะ ฝนเริ่มตกหนักขึ้นแล้วนะขอรับ” เสียงของนักการเกาดังขึ้น
“นั่นสินะ ขอบคุณที่เตือนข้า”
เฉินซือจวินเข้าไปในรถม้า
นางเปิดม่านออก มองดูบุรุษสตรีที่กอดกันท่ามกลางสายฝน กระทั่งรถม้าเคลื่อนห่างออกไปจนมองไม่เห็น นางถึงได้หันหน้ากลับไป
เวินเหวินซงใช้โอกาสนี้ผละออกไปแล้ว
ถึงแม้คนอื่น ๆ อยากจะล้อพวกเขาอีกสักหน่อย แต่ก็รู้ว่าไม่ควรรบกวนการหวนกลับมาพบกันอีกครั้งของสามีภรรยาคู่นี้
“ฝนตกหนักเพียงนี้ เสื้อผ้าของเจ้าเปียกหมดแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านดีหรือไม่?” ลู่อี้ลูบหัวของนางเบา ๆ
“ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” มู่ซืออวี่กอดลู่อี้ไว้แน่น
ลู่อี้หมดหนทาง ได้แต่ลูบท้ายทอยให้นาง “ได้ ข้าจะแบกเจ้าเอง ปล่อยข้าก่อนเถิด”
มู่ซืออวี่จึงปล่อยมือออกจากเอวของลู่อี้
ลู่อี้คุกเข่าลง ปล่อยให้มู่ซืออวี่ขึ้นไปบนหลัง เขาลุกขึ้นแล้วให้นางถือร่มไว้
ทว่าเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสองคนเปียกโชกแล้ว ถือร่มไว้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ดีกว่าไม่มีสิ่งใดเลย
“ครั้งนี้ท่านไปนานถึงสิบวันเลยนะ” มู่ซืออวี่กระซิบข้างหูเขา “ที่แท้ก็ไปรับหญิงงามนี่เอง ฮึ!”
“หญิงงามที่ไหนเล่า เป็นแค่คำสั่งที่ได้รับมาจากเบื้องบนเท่านั้น” ลู่อี้ตบก้นนาง “อย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อน”
“คนอื่นเขาเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ลู่! มีเบื้องบนอีกที่ไหนกัน คิดว่าข้าหูหนวก ไม่ได้ยินหรือไร”
ลู่อี้แบกมู่ซืออวี่เดินไปท่ามกลางสายฝน
ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาวิ่งหลบฝน แทบอยากให้ใต้เท้าของตนผุดวงล้อไฟขึ้นมา แต่ก็ได้แต่วิ่งปรี่ตรงยังปลายทางของตน
มีเพียงสองสามีภรรยาที่ค่อย ๆ เดินไปราวกับสนุกไปกับมัน
หนวดเคราของลู่อี้ขึ้นมาอีกแล้ว มองจากใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาอ่อนล้าจริง ๆ
แต่ยามนี้ เขาอยากให้เส้นทางนี้ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่เขาสามารถสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของนางได้อย่างชัดเจน
“ลู่อี้…”
“หืม”
“ภายหน้าท่านจะกลายเป็นขุนนางขั้นสูง ถึงตอนนั้นท่านจะได้พบสตรีที่งดงามกว่านี้อีกมากมาย เกรงว่าสาวชาวบ้านอย่างข้าจะไม่คู่ควรแม้แต่เป็นสาวใช้ของท่าน”
“หากเจ้ายังเอ่ยเช่นนี้อีก ข้าจะโยนเจ้าลงไปแล้ว” สุ้มเสียงของลู่อี้แฝงความอันตราย
“รู้จักแต่โหดร้ายกับข้า ไม่เห็นจะโหดร้ายกับคุณหนูเฉินผู้นั้นเลย”
มู่ซืออวี่ยอมรับว่าตนหึงหวง บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของหญิงสาว นางจึงไม่ชอบคุณหนูเฉินผู้นั้น
ไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับหรอก ไม่ได้คิดตรึกตรองด้วย สตรีไม่เคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลอยู่แล้ว หลาย ๆ เรื่องไม่จำเป็นต้องมองให้แน่ชัด
ข้างหน้าเป็นร้านเรือนกรุ่นฝัน
คนงานคนอื่น ๆ ไปพักผ่อนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เฟิงเจิงที่เฝ้าร้านอยู่เท่านั้น เมื่อเห็นลู่อี้แบกมู่ซืออวี่กลับมา เฟิงเจิงก็รู้สึกยินดี
“พี่อี้ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว เถ้าแก่เนี้ยของพวกเราเป็นเทพจริง ๆ รู้ได้อย่างไรกันว่าพี่อี้จะกลับมาวันนี้?”
“ข้าแค่ไปดู ใครจะรู้ว่าเขาจะกลับมาพอดี” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถอะ!”
“ข้าจะไปทำน้ำขิงมาให้พวกท่าน พวกท่านเปียกโชกมาเช่นนี้ หากป่วยไข้ไปจะทำอย่างไรเล่า?” เฟิงเจิงกล่าวต่อ “เถ้าแก่เนี้ย คุณหนูหลี่ผู้นั้นยังนั่งอยู่ตรงนั้น ฝนตกหนักขนาดนี้ นางทำอย่างนี้จะไม่เป็นอะไรหรือ?”
มู่ซืออวี่มองออกไปข้างนอก ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้
“เฟิงเจิง น้ำขิงนั้นข้าจะทำเอง เจ้าช่วยไปที่จวนตระกูลเจิ้งสักเที่ยว ไปแจ้งเรื่องคุณหนูหลี่ให้คุณหนูรองเจิ้งทราบ พวกเขาเป็นสหายกัน ให้คุณหนูรองเจิ้งมาพูด คุณหนูหลี่คงฟังมากกว่า”
“ได้เลยจ้ะ”
มู่ซืออวี่กลับไปยังห้องพักของตน หาเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นางซื้อให้ลู่อี้ออกมา “เอ้านี่ ข้าเพิ่งซื้อมา ไม่รู้ว่าพอดีหรือไม่”
ลู่อี้คว้ามือเล็ก ๆ ของนางไว้ “มือเจ้าเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งแล้ว ไม่ต้องเอาแต่ห่วงข้า เปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าก่อนเถอะ!”
ห้องอื่นมีคนอยู่หมดแล้ว มีเพียงห้องนี้เท่านั้นที่เปลี่ยนชุดได้ ถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยากัน พวกเขาก็ยังไม่ไปถึงขั้นสุดท้าย ตอนนี้ย่อมรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างถ้าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเดียวกัน
“ข้าไม่มองเจ้าหรอก เจ้าเปลี่ยนก่อนเถอะ” ลู่อี้จะไม่รู้ความลำบากใจของนางได้อย่างไร
มู่ซืออวี่จึงไม่ลังเลใจอีก “อืม”
หลังจากที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางก็ยัดเสื้อผ้าเปียก ๆ ลงอ่างน้ำ “ท่านก็เปลี่ยนเถอะ! ข้าจะไปทำน้ำขิง”
ในห้องครัว มู่ซืออวี่ต้มน้ำขิงไป นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูอี้ไป
ในเมื่อนางตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตกับลู่อี้ให้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไม่อาจให้ลู่อี้แตะต้องสตรีอื่นอีก ไม่เช่นนั้นนางตัดอกตัดใจเสียดีกว่าถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“อ๊ะ!” มือนางเผลอไปแตะหม้อจนถูกลวก
มือหนึ่งยื่นออกมาคว้ามือของนางไปกดในน้ำเย็น
“ระวังหน่อย”
“อื้ม”
ลู่อี้ยกมือสางผมนางเบา ๆ “ผมยังเปียกอยู่ ข้าจะเฝ้าไฟเอง เจ้าเช็ดให้แห้งเถอะ”
“อีกเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
“เชื่อฟังข้าเถิด”
ขณะที่พูด เขาก็เอาผ้าโปะลงบนหัวนาง
นางหยิบผ้าเดินไปที่หน้าต่าง จากนั้นจึงเช็ดผมอยู่ตรงนั้น
เฟิงเจิงกลับมาแล้วรายงานมู่ซืออวี่ “เถ้าแก่เนี้ย คุณหนูรองเจิ้งส่งคนมารับคุณหนูหลี่ไปแล้ว”
“ดี” มู่ซืออวี่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็ไปพักเถอะ”
“ได้เลย ข้าไม่รบกวนพวกท่านสองคนคุยกันแล้ว”
มู่ซืออวี่หันมาเช็ดผม ทว่าดันทำผมพันกันยุ่งเหยิงเสียนี่
ลู่อี้เห็นนางเช็ดผมด้วยความหงุดหงิด จึงฉวยผ้ามาจากนางแล้วลงมือเช็ดผมให้
“ยังหึงหวงข้าอยู่หรือ?”
“ข้าไม่ได้หึงหวง”
มู่ซืออวี่ไม่มีวันยอมรับว่าตนหึงหวงเป็นอันขาด นางจะไม่มีศักดิ์ศรีขนาดนั้นเลยหรือ?
ลู่อี้มองนางออกอาการน้อย ๆ รอยยิ้มก็พลันปรากฏขึ้น
เด็กโง่ นางบอกว่าตนไม่ได้หึงหวง แต่สีหน้าของนางล้วนแสดงออกมาหมดแล้ว
เขาคว้าไหล่ของนาง ผลักให้พิงกรอบหน้าต่างข้าง ๆ จากนั้นโน้มหน้าลง มอบจูบให้นาง
จูบของเขาเร่าร้อนแผดเผา ราวกับถ่ายทอดความคิดถึงของเขาตลอดหลายวันมานี้ แตกต่างจากใบหน้านิ่งสงบนั้นโดยสิ้นเชิง
“ลู่อี้” มู่ซืออวี่จวนจะหมดลมหายใจแล้ว
“เรียกข้าว่าสามี” ลู่อี้ขบเม้มริมฝีปากนางเบา ๆ ข่มความกำหนัดของตนที่ลุกโชนขึ้นมา “ตอนนี้รู้สึกได้หรือไม่?”
“อะไรหรือ?”
“ในโลกนี้มีคนเป็นพันเป็นหมื่นคนที่เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ลู่ แต่มีเพียงเจ้าที่สามารถเรียกข้าว่า ‘สามี’ ได้ มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น”
แก้มของมู่ซืออวี่ร้อนผ่าว
คนผู้นี้…
ไปแอบเรียนคำพูดหวาน ๆ มาใช่หรือไม่?
เขาเอ่ยคำพูดยั่วเย้าเช่นนี้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างไร?
“น้ำขิงเสร็จแล้ว” ลู่อี้ฝากรอยจูบไว้ที่ไหปลาร้าของนาง แล้วปล่อยนางไปอย่างไม่เต็มใจนัก
มู่ซืออวี่มองตามหลังอีกฝ่าย ดวงตาฉายแววเขินอายเต็มที่ นางตบแก้มตนเรียกสติให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าดูเหมือนสาวน้อยแรกแย้มที่เพิ่งพบพานความรักเช่นนี้
ลู่อี้ทำน้ำขิงเย็น ๆ มาให้ หลังจากตรวจดูอุณหภูมิแล้วก็ส่งให้มู่ซืออวี่
นางชื่นชมความละเอียดอ่อนเอาใจใส่ของเขา รู้สึกอบอุ่นไปทั้งกายและใจ
“ฝนตกหนักเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไปศาลาว่าการเล่า?” ลู่อี้ถามขึ้นมา
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว มู่ซืออวี่ก็นึกถึงคำพูดของหลี่หงซูขึ้นมาได้ นางมองเขาด้วยความกังวล “ท่านเดินทางครั้งนี้ประสบกับอันตรายใดหรือไม่?”
“เหตุใดจึงถามเรื่องนี้?”
“หลี่หงซูเพิ่งบอกกับข้าว่า…”
มู่ซืออวี่ถ่ายทอดคำพูดให้เขาฟังอย่างไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่คำเดียว
“ตอนแรกพวกเราวางแผนเส้นทางกันแล้ว ทว่าพวกเราไม่ได้เดินทางตามที่วางไว้ เพื่อที่จะได้กลับมาพบภรรยาข้าเร็วขึ้นกว่าเดิม ข้าจึงเปลี่ยนไปใช้เส้นทางที่คนไม่ค่อยสัญจรเพื่อย่นระยะทาง บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ พวกเราจึงหลบหลีกอันตรายมาได้”
“กล่าวไปกล่าวมาแล้ว สุดท้ายก็ดูเหมือนจะเป็นเพราะข้าสินะ” มู่ซืออวี่โล่งใจ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะอวดเบ่งสักหน่อย
“แน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้า ฮูหยินช่วยชีวิตข้าไว้อีกแล้ว” ลู่อี้ลูบหัวนาง “ฮูหยินเป็นดาวนำโชคของข้าจริง ๆ”