บทที่ 248 ป้าหูซื่อ
ท่านหมอจูอยู่บ้าน เมื่อได้ฟังวาจาของมู่ซืออวี่ เขาก็ออกเดินทางไปกับหูซื่อโดยไม่พูดจา
มู่ซืออวี่ให้ท่านหมอจูยืมใช้รถม้า เพื่อที่จะได้ไปไหนมาไหนสะดวกรวดเร็ว
หลังจากจัดการเรื่องของหูซื่อเสร็จ มู่ซืออวี่ก็ไปถอนหญ้าในไร่
เหยาซื่อบังเอิญผ่านมา นางเดินเข้ามาในไร่ผักแล้วนั่งลงช่วยถอนหญ้า
“ป้าเหยา” มู่ซืออวี่หันไปหา “นี่ท่าน…”
“วันนี้ข้าไม่มีสิ่งใดให้ทำ ก็เลยมาช่วยเจ้าสักหน่อย” เหยาซื่อกล่าว “เมื่อครู่ข้าเห็นสตรีผู้หนึ่งอยู่กับเจ้า ดูแล้วนั่นหูโม่ลี่ไม่ใช่หรือ?”
“หูโม่ลี่?” มู่ซืออวี่งุนงง “เมื่อครู่มีผู้อ้างตนเป็นป้าข้ามาหา แต่แม่ข้าไม่อยู่บ้าน ข้าจึงวานให้ท่านหมอจูไปกับนาง นามของป้าข้าคือหูโม่ลี่หรือ? ไม่ได้แซ่ถงหรือ?”
“แม่เจ้าไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังหรือไร?” เหยาซื่อกล่าว “นางเป็นน้องสาวต่างแม่ของถงซื่อ ตอนที่แม่แท้ ๆ ของถงซื่อป่วยตาย พ่อของถงซื่อก็แต่งแม่ม่ายเข้าเรือน แม่ม่ายมีบุตรสาวผู้หนึ่งติดมาด้วย ก็คือหูโม่ลี่ผู้นี้แหละ”
“อ้อ…” มู่ซืออวี่พลันกระจ่าง “อย่างนี้นี่เอง”
“จะว่าไปแล้ว แม่กับป้าเจ้าเองก็น่าสงสาร” เหยาซื่อเล่าเรื่องในสกุลถงต่อ “หญิงม่ายผู้นั้นกลายเป็นแม่เลี้ยง และแน่นอน แม่เจ้าหามีชีวิตที่ดีไม่ เมื่อแม่เลี้ยงให้กำเนิดบุตรชาย ชีวิตแม่เจ้าก็ยิ่งลำบาก แต่ข้าได้ยินมาว่าป้าของเจ้าดูแลแม่เจ้าเป็นอย่างดี กระทั่งแอบซ่อนอาหารให้นางกิน ไม่อย่างนั้นแม่เจ้าคงอดตายไปเนิ่นนานแล้ว พวกนางสองคนมีความสัมพันธ์ต่อกันดีทีเดียว”
“ข้าไม่เคยได้ยินแม่ข้ากล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย”
“ชีวิตแม่เจ้าลำบาก ก่อนแต่งงานหาความสงบสุขไม่ได้ แต่งงานไปก็หาได้สุขสบาย ชีวิตของนางลำบากจนชาชิน ป้าเจ้าก็ไม่ค่อยได้มาหา ดูเหมือนว่าหนสุดท้ายจะเป็นเมื่อห้าปีก่อน” เหยาซื่อย้อนระลึก “ยามนั้น นางไม่แม้แต่จะเหยียบเข้าประตู แต่ย่าของเจ้าก็ตะเพิดนางออกไปแล้ว บอกว่าญาติจน ๆ มีแต่มาเพราะเรื่องเงิน ได้ยินมาว่าชีวิตป้าเจ้าก็ไม่ง่าย เดิมทีนางแต่งงานกับบัณฑิต ทว่าภายหลังเขาล้มป่วยด้วยวัณโรค”
“ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ซืออวี่ครุ่นคิด
เดิมทีนางเห็นว่าอีกฝ่ายดูซื่อสัตย์จึงอยากช่วยเหลือ อีกอย่าง ท่านหมอจูก็ดูรู้จักป้าผู้นี้ด้วย เขาจึงช่วยเหลือโดยไม่กล่าวอะไร
ยามนี้ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มองผิดไป ป้าผู้นี้ควรค่าให้ช่วยเหลือจริง ๆ
แล้วเหยาซื่อก็นำเรื่องเจียงซื่อมาพูดอีกครั้ง “มู่ซือเจียว ยายหนูผู้นั้นเป็นคนถือตัว มองผู้อื่นต่ำกว่านางเสมอ ไม่เห็นหัวผู้ใด ไม่คิดเลยว่ากาลเวลาผ่านไปชั่วประเดี๋ยว นางก็เติบใหญ่จนดูแลครอบครัวได้ ขาของมู่ตงหยวนต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก แต่ไม่นานมานี้ แม่เฒ่าเจียงเชิญท่านหมอลี่จากเมืองซูโจวมาดูอาหาร ได้ยินว่าต้องใช้เงินมากมายซื้อยา เดิมทีก็คิดว่าคงเกิดเรื่องเป็นแน่ แต่ไม่คาดคิดว่าแม่เฒ่าเจียงจะหอบเนื้อหอบปลากลับมามากมาย และบอกว่ามู่ซือเจียวจ่ายเงินรักษาขาของมู่ตงหยวนด้วย…”
มู่ซืออวี่ฟังแล้วก็นึกทึ่ง มู่ซือเจียวใจดีเพียงนี้เลยหรือ?
“ช่วงนี้ข้าไม่ยักเห็นมู่ซือเจียวกลับมาเลย”
“นางไม่ได้กลับมา กระทั่งกลับมาพบหน้าพ่อแม่ยังไม่ทำ” เหยาซื่อลดเสียงลงกล่าว “ข้าได้ยินมาว่า เมื่อคืนนี้แม่เฒ่าเจียงกับถังซื่อทะเลาะกัน ถังซื่อมาขอเงินจากแม่เฒ่าเจียง แต่แม่เฒ่าเจียงตำหนินาง ถังซื่อไม่พอใจ บอกว่าเงินนั้นบุตรสาวนางให้มา ไฉนจะให้นางไม่ได้ แม่เฒ่าเจียงจึงโกรธจนแทบลมจับ”
มู่ซืออวี่แย้มยิ้ม ไม่ได้กล่าวคำใด
ดินแดนชนบทนั้นไม่เพียงแต่ไม่เก็บเสียงเท่านั้น ทว่ายังมีการสะท้อนบอกต่อในแบบฉบับของมันเอง ผู้ใดทะเลาะกัน ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เป็นที่ลือรู้กันทั่ว ทักษะการถ่ายทอดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
“ท่านป้า เที่ยงนี้มาลองรสมือข้าที่บ้านสิ”
“ไม่ต้องหรอก ข้ายังต้องกลับบ้านไปทำแกงจืดปลาให้โม่หลานอีก!” เหยาซื่อโบกมือแล้วแยกตัวออกมา
มู่ซืออวี่แบกตะกร้าเดินผ่านบ้านตระกูลเจียง เพียงแต่หนนี้ประตูเรือนเปิดออก และมู่เจิ้งอี้ก็เดินออกมาจากข้างในพอดี
มู่เจิ้งอี้เดินตัวเซ กลิ่นเมรัยโชยฉึ่งจากร่าง เมื่อเห็นเงาร่างคนก็เงยหน้าขึ้น และเมื่อพบว่าคือมู่ซืออวี่ แววตาของเขาก็ฉายประกายกร้าว
“เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?”
มู่ซืออวี่หัวเราะเหอะ ๆ “นี่เป็นทางผ่านเดียว หากไม่ผ่านที่นี่ ต้องบินผ่านไร่นางั้นหรือ?”
“ปากคอเราะราย” มู่เจิ้งอี้แค่นยิ้ม “สกุลข้าเป็นเช่นนี้แล้ว ยินดีหรือไม่เล่า?”
มู่ซืออวี่แย้มยิ้ม “มากทีเดียว!”
“เจ้า!” มู่เจิ้งอี้ฟาดแขนเข้าหานาง “โสโครก!”
มู่ซืออวี่ผลักเขา ร่างโผเผของมู่เจิ้งอี้พลันทรุดลง
“นังหญิงชั่วนี่!”
“มู่เจิ้งอี้ นอกจากวางอำนาจบาตรใหญ่ตรงหน้าข้า ยังทำอย่างอื่นได้หรือไม่?”
ยามที่เจ้าของร่างเดิมยังอยู่ มู่เจิ้งอี้ชอบรังแกนางเป็นที่สุด ราวกับว่าสิ่งนี้จะช่วยยกฐานะตนให้สูงได้
“เจ้าในยามนี้ยังคิดลงมือกับข้าอีกหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าวันนี้ หากข้าเสียผมแม้สักเส้นเพราะเจ้า จะต้องได้เห็นดีกันแน่” มู่ซืออวี่มองเขาอย่างเย้ยหยัน “ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินได้ อ่านหนังสือมาก็หลายปี แต่กระทั่งสมองก็ยังไม่มี? ไม่น่าเล่า คนอย่างเจ้าจึงหาชื่อเสียงไม่ได้”
“อย่าลำพองไป” มู่เจิ้งอี้อยากจะลุกขึ้น ทว่าสภาพของเขาขณะนี้แย่เสียยิ่งกว่าสุนัขตกน้ำ เหมือนสุนัขเฒ่ายักแย่ยักยันมากกว่า
เขาได้รับการประคบประหงมจากสกุลเจียงมาหลายปี ไม่เพียงแค่ผู้ร่วมรุ่นในสกุลต้องโอนอ่อนต่อเขาเท่านั้น แต่กระทั่งญาติผู้ใหญ่ยังโปรดปรานยกย่อง ยามนี้เมื่อถูกมู่ซืออวี่เหยียดหยาม เขาย่อมรับไม่ได้
มู่ซืออวี่เดินผ่านเขาไป
คนผู้นี้ตะเกียกตะกายลุกไม่ขึ้น เพียงลุกเองยังไม่ได้ กระทั่งจิตวิญญาณยังทำได้เพียงคุกเข่า
นางยังมีสิ่งใดต้องกล่าวกับคนเช่นนี้อีก? หากจู่ ๆ เขาบ้าขึ้นมา นางก็ไม่คิดจะสนใจคนแบบนี้
เมื่อมู่ซืออวี่กลับถึงบ้าน นางก็รู้สึกเพียงว่าบ้านช่างรกร้างเหลือเกิน เดิมทีที่นี่เป็นครอบครัวใหญ่ แต่ยามนี้ผู้อยู่ในวัยเรียนก็ไปศึกษา บ้างก็ไปพบหมอที่เมืองซูโจว บ้านทำธุระ เหลือเพียงนางและอวิ๋นเอ๋อร์กินอาหารเย็นอยู่ที่บ้าน
“อวิ๋นเอ๋อร์ เรากับแม่จะไปอยู่ในเมืองสักระยะดีหรือไม่ ที่บ้านเหลือเพียงเราสองคน น่าเบื่อนัก! พ่อเจ้าก็จะได้มาพักหลังจากทำธุระ ไม่ต้องกลับมาที่นี่ด้วย”
“ดีเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้า “เอ้อร์หนิวไม่อยู่แล้ว ข้าก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่ชอบวิถีชีวิตชนบท แม้ที่นี่จะมีเรื่องซุบซิบมากมาย แต่เพื่อนบ้านดี ๆ อย่างเหยาซื่อและต้าหนิวเองก็มี
แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของครอบครัวพวกนาง การไปอยู่ในเมืองจะเติบโตพัฒนาได้ดีกว่า ทิ้งบ้านหลังนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นครั้งคราวดีกว่า
“คนบ้านลู่อี้ ข้ามาคืนรถม้า” เสียงของท่านหมอจูดังมาจากข้างนอก
มู่ซืออวี่วางตะเกียบลงแล้วไปเปิดประตู
“ท่านหมอจู ท่านกลับมาแล้ว”
ท่านหมอจูบังคับรถม้ากลับคอก พลางกล่าวขณะผูกเชือกม้าว่า “ระหว่างทางมีเหตุยืดเยื้อนิดหน่อย เจ้าตรวจสอบดูว่ารถม้ามีปัญหาใดหรือไม่”
“จะมีปัญหาได้อย่างไร” มู่ซืออวี่ไม่ได้มองรถม้า แต่ถามเพียงสถานการณ์ของหูซื่อ
“เฮ้อ…” ท่านหมอจูส่ายหัว “ชายสกุลหูผู้นั้นเดิมทีป่วยหนักอยู่แล้ว ยิ่งถูกพวกเขาขังไว้ในห้องมืด ๆ สารพัดกลิ่นไม่น่าอภิรมย์เต็มไปหมด หากไม่ตายก็ถือว่าดวงแข็งเต็มที!”