สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 277 เจ้าบ้าแล้วหรือ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 277 เจ้าบ้าแล้วหรือ?

บทที่ 277 เจ้าบ้าแล้วหรือ?

มู่ซืออวี่อยากทำกระต่ายตุ๋นน้ำแดง แต่กลับขาดเครื่องปรุง นางจึงตั้งใจจะขึ้นไปหาบนภูเขา

ดูเหมือนครั้งก่อนจะเห็นอยู่บนภูเขา

จื่อซูบอกว่าตนจะตามไปปกป้องนาง มู่ซืออวี่ไม่มีทางเลือกนอกจากพาไปด้วย

“จื่อซู อยู่ที่นี่คุ้นชินแล้วหรือยัง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

จื่อซูพยักหน้าซ้ำ ๆ “ฮูหยิน อยู่ที่นี่ได้กินอิ่มสวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ ไม่มีใครตบตีข้าด่าทอข้า ข้านึกว่าตนเองฝันไปเสียอีก”

“หากต้องการสิ่งใดเพียงแค่บอกข้า” มู่ซือวี่กล่าว “คนในครอบครัวเราไม่ได้มีอะไรมาก อีกทั้งยังง่าย ๆ สบาย ๆ ปกติข้ามักจะทำทุกอย่างด้วยตนเอง เจ้ากับจื่อเยวี่ยนแค่ดูแลเด็ก ๆ สองสามคนนั้นก็พอแล้ว”

“จื่อเยวี่ยนเก่งกาจมากเลยนะเจ้าคะ ทำอาหารได้ เย็บปักถักร้อยได้ อีกทั้งยังเขียนบัญชีได้ ตอนนี้จื่อเยวี่ยนดูแลบัญชีที่ร้านแล้ว มีเพียงข้าที่ทำอะไรไม่ได้ ใช้ได้แค่กำลังเท่านั้น”

“สิ่งที่ต้องการก็คือกำลังของเจ้า” มู่ซืออวี่หันกลับไปมองอีกฝ่าย “ปกติแล้วข้ายุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาดูอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าแค่คอยจับตามองนาง ดูแลนางให้ดีก็พอแล้ว”

ถึงแม้จื่อซูจะไม่เคยอ่านหนังสือ ทว่าตั้งแต่ยังเล็ก นางใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวที่ต้องอาศัยการสังเกตสีหน้า นางจึงสังเกตเก่ง หลังจากอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง นางก็มองออกว่าคนในครอบครัวของเจ้านายล้วนเป็นคนใจดี ด้วยเหตุนี้นางจึงกล้าเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา

“ฮูหยิน ท่านดูนั่น…” จื่อซูอุทานขึ้น

มู่ซืออวี่มองไปยังทิศทางที่นางชี้ไป

มู่ซือเจียวยืนอยู่ข้างริมแม่น้ำ กำลังยกทารกที่กำลังร้องไห้โยเยขึ้นสูง ราวกับอยากจะโยนลงไปในแม่น้ำ

ม่านตาของมู่ซืออวี่หดเกร็งทันที นางวิ่งเข้าไปหามู่ซือเจียวอย่างรวดเร็ว

จื่อซูกลับเร็วยิ่งกว่า นางพุ่งตัวเข้าไปถึงมู่ซือเจียวแล้วรีบฉวยเด็กออกมาจากมืออีกฝ่าย

มู่ซือเจียวผงะถอยหลัง ล้มลงกับพื้นทันที

นางมองทารกที่อยู่ในมือจื่อซูด้วยความรังเกียจ เอ่ยออกมาอย่างโหดเหี้ยมว่า “เหตุใดต้องมาขวางข้า? เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า? นี่เป็นเรื่องของข้า!”

มู่ซืออวี่ง้างมือขึ้นมา แล้วตบลงไปบนใบหน้าของมู่ซือเจียวหนึ่งฉาด

เพียะ!

เสียงก้องกังวานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบในชนบท

“มู่ซือเจียว เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นี่ชีวิตเด็กคนหนึ่ง คนเป็น ๆ มีเลือดมีเนื้อนะ!” เสียงของมู่ซืออวี่กำลังสั่น

“ข้าไม่ได้บ้า! หากข้าไม่กำจัดมารหัวขนนี่ ข้าถึงบ้าแล้วจริง ๆ!” มู่ซือเจียวร้องลั่น “เจ้าตั้งใจมาดูสภาพน่าขบขันของข้าใช่หรือไม่? ตอนนี้เจ้าสะใจแล้วหรือยัง เจ้าเห็นแล้ว เจ้าคงดีใจแล้วสินะ!”

“นังคนเสียสติ!” สีหน้าของมู่ซืออวี่ไม่น่ามองขึ้นมาทันที “หากเจ้ายังบ้าไม่เลิก ข้าจะไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านเดี๋ยวนี้ หมู่บ้านของพวกเราไม่อาจทนคนใจไม้ไส้ระกำเช่นเจ้า”

“หากเจ้าทนไม่ไหวนัก เช่นนั้นก็นำมารหัวขนนี่ไป ข้ายกให้เจ้า เอาหรือไม่ล่ะ?” แววตาของมู่ซือเจียวเป็นประกายขึ้นมา

“บ้าหรือไง!” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “จื่อซู ส่งคืนให้นาง!”

จื่อซูยัดทารกที่กำลังร้องไห้ใส่อ้อมแขนมู่ซือเจียว

มู่ซือเจียวคิดจะโยนลูกทิ้งอีกครั้ง

“มู่ซือเจียว! เจ้าได้ยินข้าชัดแล้วหรือยัง หากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ ข้าจะไปแจ้งทางการ บอกว่าเจ้าฆ่าคนแล้ว” มู่ซืออวี่มองมู่ซือเจียวอย่างเยือกเย็น “เจ้าอยากให้กำเนิดนาง เจ้าก็ต้องดูแลนาง เลี้ยงดูนางให้เติบใหญ่ เสือร้ายยังไม่กินลูกของมันเลย เจ้าเทียบไม่ได้แม้แต่เดรัจฉานเชียวหรือ?”

“เหตุใดข้าต้องเก็บนางไว้?”

“เจ้าเป็นแม่ของนาง ในเมื่อไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเอง ทำเรื่องผิดพลาดขึ้นมาเอง เช่นนั้นก็ควรแบกรับไว้”

มู่ซืออวี่กล่าวแล้วหันไปเอ่ยกับจื่อซู “เจ้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ให้เขาฟัง”

“เจ้าค่ะ” จื่อซูรับคำ

มู่ซือเจียวมองมู่ซืออวี่ที่อยู่ตรงหน้านางอย่างเคียดแค้น

ก่อนหน้านี้มู่ซืออวี่ทั้งอ้วนทั้งอัปลักษณ์ อยู่ข้างนางก็ควรค่าเป็นเพียงสุนัขเท่านั้น บัดนี้อีกฝ่ายกลับสวมใส่เสื้อผ้างดงาม ปักปิ่นระย้าทองบนศีรษะ บนใบหน้าประทินโฉมได้อย่างเหมาะเจาะ ทั่วทั้งร่างกายดูราวกับบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ผู้อ่อนโยน

มู่ซือเจียวหันกลับมามองตนเอง นางเคยเป็นบุปผาเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้าน บัดนี้กลับทรุดโทรมเสียจนไม่มีใครอยากหันมามอง บุรุษในหมู่บ้านเห็นนางต่างหลีกหนี กลัวว่าจะได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับนาง

หัวหน้าหมู่บ้านรีบรุดมาพร้อมกับคนนับสิบในเวลาต่อมา

ในสิบกว่าคนนี้มีแม่เฒ่าเจียงรวมอยู่ด้วย

แม่เฒ่าเจียงเห็นมู่ซือเจียว ดวงตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความโกรธทันที

“เจ้านึกบ้าอะไรขึ้นมา? วันนี้เป็นวันมงคลของอาเล็กเจ้า เจ้ายังคิดจะก่อปัญหาอีกหรือ?”

“ข้าแค่เพียงอยากจะตาย หรือแม้แต่ตายข้าก็ทำไม่ได้งั้นหรือ?”

มู่ซือเจียวไม่เอ่ยถึงเรื่องที่นางคิดจะฆ่าลูก เพียงแต่กล่าวว่าคิดจะฆ่าตัวตาย กลุ่มคนที่เดิมทีกำลังโกรธย่อมคลายความโกรธลง พวกเขามองนางด้วยความสงสารเห็นใจแทน

มู่ซืออวี่แค่นเสียงหึขึ้นจมูกหนึ่งที “จื่อซู พวกเราไปเถอะ”

จื่อซูและมู่ซืออวี่จากไปแล้ว

หัวหน้าหมู่บ้านอยู่ตรงนี้แล้ว ถึงแม้ว่ามู่ซือเจียวจะไม่เต็มใจเพียงใด แต่นางก็ต้องเลี้ยงเด็กคนนั้นไว้

ทว่าเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เกรงว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นมู่ซืออวี่คนที่สอง

ลูอี้เพิ่งออกมาจากโรงสุรา เจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งก็ขวางทางเขาไว้

“นายท่านลู่ใช่หรือไม่? ใต้เท้านายอำเภอเชิญให้ไปหาขอรับ”

เจ้าหน้าที่ทางการผู้นี้ไม่คุ้นหน้านัก ไม่ใช่คนที่ลู่อี้รู้จัก คงจะถูกแต่งตั้งในภายหลัง

“ได้”

ณ ศาลาว่าการ ทันทีที่เข้าไปในลาน สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือบรรยากาศอันหรูหรา

นายอำเภอฉินไม่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ในห้องย่อมไม่มีของล้ำค่า นายอำเภอโจวผู้นี้เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน ยามนี้บรรยากาศของทั้งศาลาว่าการจึงเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

“ใต้เท้า ลู่อี้มาแล้วขอรับ”

“เชิญเขาเข้ามา”

ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้น

เชิญ?

ดูเหมือนว่าระยะนี้เขาจะต้องปวดหัวอย่างหนักแล้ว!

“นายท่านลู่ เชิญข้างในขอรับ”

ลู่อี้พยักหน้าเบา ๆ ให้เจ้าหน้าที่คนนั้น “ขอบคุณ”

เขาเข้าไปในห้อง กำลังจะค้อมคำนับนายอำเภอโจว ก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

“ขนบธรรมเนียมไม่อาจละเลยได้ขอรับ” ลู่อี้ยังคงค้อมคำนับหนึ่งครั้ง

“จู่ปู้ลู่ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” นายอำเภอโจวหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วเอ่ยถาม

“ขอบคุณใต้เท้าที่เป็นห่วงขอรับ ค่อนข้างดีขอรับ” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ

“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นายอำเภอโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนี้ ระยะนี้ศาลาว่าการมีเรื่องมากมาย นับวันยิ่งยุ่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ข้าอยากให้เจ้ากลับมาทำงาน เจ้าว่า…”

“ขอบพระคุณที่ใต้เท้ายังคงนึกถึง ข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก” ลู่อี้ประกบมือเอ่ยต่อไปว่า “เพียงแต่ข้าน้อยไม่เหมาะที่จะเป็นขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้น ที่บ้านยังมีภรรยาและบุตรที่ต้องการการดูแลจากข้าน้อย ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ ข้าน้อยทำใต้เท้าผิดหวังแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของนายอำเภอโจวเลือนหายไปในบัดดล

“จู่ปู้ลู่ เหตุใดต้องดูแคลนตนเองเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ทำได้ดีมากไม่ใช่หรือ? เพียงแค่กลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น”

“หลายวันมานี้ร่างกายของข้าน้อยยิ่งอ่อนแอลงเรื่อย ๆ แล้ว เกรงว่าข้าน้อยคงจะไม่สามารถรับใช้ใต้เท้าได้อีก หากใต้เท้าไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าน้อยขอตัว”

นายอำเภอโจวมองลู่อี้หมุนตัวเดินออกไป

บุรุษหนุ่มหล่อเหลา ร่างกายแข็งแรงกำยำตรงหน้าดูเหมือน ‘นับวันยิ่งอ่อนแอลง’ อย่างที่พูดอย่างไรกัน?

ข้ออ้างไร้ความจริงใจเช่นนี้ ราวกับตบลงบนใบหน้าของนายอำเภอโจวอย่างหนัก ทำให้เขาได้รู้ว่าลู่อี้แค่ไม่อยากทำงานให้

“คนแซ่โจวผู้นั้นมองหาเจ้าหรือ?” นักการเกาเดินมาจากทางเดินข้าง ๆ

“อืม”

“อยากให้เจ้ากลับมา?”

“ช่วงนี้ศาลาว่าการมีเรื่องยุ่งยากหรือไม่?”

“ไม่ใช่ปัญหาธรรมดา” นักการเกาเย้ยหยัน “เพียงแต่คิดจะลากเจ้ากลับมาเป็นแพะรับบาป”

“แล้วเจียงเหล่า…”

“นับตั้งแต่เจ้าไป ทางเจียงเหล่าไม่เคยส่งผู้ใดมา คนแซ่โจวนั่นไปหาเขาหลายครั้ง ทว่าเจียงเหล่าไม่เคยพบเขาสักครั้ง” นักการเกากล่าว “เรื่องที่เจียงเหล่ามอบหมายให้เจ้าก่อนหน้านั้น ตอนนี้ก็หยุดดำเนินการแล้ว”

“ลำบากท่านแล้ว” ลู่อี้ตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ

“อีกนานแค่ไหนเจ้าจึงจะกลับมา? ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวน่าเบื่อยิ่งนัก” นักการเกาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“ใกล้แล้ว”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท