บทที่ 300 ร่างกายปวกเปียกของเหวินอี้
บทที่ 300 ร่างกายปวกเปียกของเหวินอี้
ถงซื่อวางเสื้อผ้าในมือลงพลางถอนหายใจ
จงซื่อที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านยังกังวลเรื่องท่านหมอจูอยู่หรือเจ้าคะ?”
จงซื่อคนนี้เป็นบ่าวรับใช้ที่อายุมากที่สุดในเรือน
“ไม่ใช่หรอก” ถงซื่อกระดากอาย
เรื่องของนางไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด เพียงแต่นางรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
อายุมากถึงเพียงนี้แล้ว ยังมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าผู้อื่นจะพูดถึงนางอย่างไร
“จากความคิดของข้า ท่านไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่ว่าสตรีเราจะแข็งแกร่งอย่างไร เรายังต้องการบุรุษมาปกป้องเรา ท่านหมอจูเป็นคนดี หากท่านอยู่กับเขา ชีวิตที่เหลือย่อมสบายกว่าเดิม”
“ข้ามีลูกชายและลูกสาวแล้ว ข้าละอายใจเหลือเกิน”
“บ่าวเป็นแม่ม่ายตั้งแต่ยังสาว ในตอนนั้นยังมีความรู้สึกต่อผีตายที่บ้าน ชายใดมาคอยเอาอกเอาใจล้วนไม่ชมชอบ แต่พอแก่ก็เริ่มเสียดายแล้ว ตอนนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดดีเสียเลย เหตุใดบ่าวไม่เลือกเอาสักคนนะ?”
“ข้า…”
“นายหญิงเองก็ดูเหมือนจะชอบท่านหมอจูมาก บ่าวเห็นว่านางเห็นดีเห็นงามกับเรื่องของพวกท่านมากเชียว”
“ข้าไม่ได้กังวลกับนางหรอก ลูกสาวของข้าคนนี้น่ะ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างมากที่สุด”
“เช่นนั้นหรือว่าจะเป็นคุณชายน้อยหานสินะเจ้าคะ”
จงซื่อเก็บกวาดห้องแล้วออกไป
ถงซื่ออยู่เพียงลำพัง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“หน้าไม่อาย!” มู่เจิ้งหานเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะ
ถงซื่อได้ยินเสียงของมู่เจิ้งหานก็ลุกขึ้น “หานเอ๋อร์ วันนี้เจ้าหยุดพักผ่อนหรือ?”
“ท่านแม่ ที่บ้านมีอาหารหรือไม่? ข้าอยากกินอะไรสักหน่อย” มู่เจิ้งหานเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองใจ “ตอนนี้มีเพียงของกินเท่านั้นที่จะข่มความสะอิดสะเอียนในใจของข้าได้”
“อาหารน่ะมี ข้าจะให้คนเตรียมให้ แต่เจ้าเป็นอะไรไปหรือ? ผู้ใดทำให้เจ้าโกรธแบบนี้?” ถงซื่อเอ่ยถาม
“ยังจะไม่ใช่คนผู้นั้นหรือไร” มู่เจิ้งหานมองถงซื่อ เขาลังเลไปชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยความจริงออกมา “ข้าเห็นเขาระหว่างที่ข้ากลับมา ท่านลองทายดูสิ เขาอยู่กับสตรีผู้หนึ่ง อีกทั้งพวกเขาสองคนยังใกล้ชิดสนิทสนม น่าสะอิดสะเอียนสิ้นดี”
ถงซื่อถามอย่างไม่แน่ใจ “ท่านพ่อของเจ้าหรือ?”
นอกจากมู่ต้าซานแล้ว คงไม่มีผู้ใดสามารถทำให้มู่เจิ้งหานโกรธถึงเพียงนี้ได้ แม้กระทั่งมู่ต้าไห่และแม่เฒ่าเจียงก็ยังไม่ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ขนาดนี้
“นอกจากเขาแล้วจะมีผู้ใดอีก” มู่เจิ้งหานกล่าว “ท่านแม่ เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่พบว่าเขาน่ารังเกียจเพียงนี้เล่า เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังตามพะเน้าพะนอท่านอยู่เลยไม่ใช่หรือ? บัดนี้กลับหันไปตกลงปลงใจกับผู้อื่นเสียแล้ว”
“ไม่แปลกอะไรหรอก อย่างไรเสียเขาก็หย่าข้าแล้ว พวกเราไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้อีก เขายังไม่แก่เฒ่า จะหาสตรีมาใช้ชีวิตร่วมกันก็ไม่แปลก”
“ไม่แปลกอย่างไร? แก่ปูนนี้แล้ว ยังไม่รู้จักละอายอีก”
ถงซื่อ “…”
เป็นดังคาด หานเอ๋อร์คงไม่ยินยอม
นางและท่านหมอจูคงไม่มีอนาคตร่วมกันแน่แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางควรทำให้ชัดเจนต่อท่านหมอจูตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่อาจถ่วงเวลาของเขาไว้อีกต่อไป เขาเสียเวลากับนางมาหลายปีแล้ว
“ท่านแม่ ท่านโกรธหรือ?” มู่เจิ้งหานถาม “ท่านอย่าโกรธไปเลย คนเช่นนั้นไม่คู่ควรให้โกรธหรอก”
“ระยะนี้เจ้าเล่าเรียนเป็นอย่างไรบ้าง? ตามทันหรือไม่? หากตามไม่ทัน เช่นนั้นก็ขอคำแนะนำจากฉาวอวี่ไม่ก็พี่เขยของเจ้า พวกเขาล้วนแต่เป็นคนเฉลียวฉลาด” ถงซื่อมองมู่เจิ้งหานด้วยสายตารักใคร่
“สำหรับแม่แล้ว บุรุษไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้น อนาคตของเจ้าสำคัญที่สุด แม่หวังว่าเจ้าจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ทำให้ความพยายามของพี่สาวและพี่เขยของเจ้าสูญเปล่า”
“ข้าเข้าใจแล้ว” มู่เจิ้งหานพยักหน้า
มู่ซืออวี่จัดการเรื่องกิจการเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นางกลับเรือนก็ได้ยินว่าท่านหมอจูมาหาถงซื่อแล้วพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน ตอนที่กลับไปดูเหมือนท่านหมอจูจะอารมณ์ไม่ดีนัก ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“อย่าเพิ่งบอกว่าข้ามา” มู่ซืออวี่เอ่ยกับบ่าวรับใช้ในเรือน
เรื่องของท่านหมอจูและถงซื่อให้พวกเขาจัดการด้วยตนเองจะดีที่สุด นางเป็นผู้น้อย เข้าไปก้าวก่ายคงไม่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นถงซื่อต้องคิดเรื่องนี้ให้ออกด้วยตนเอง ผู้อื่นเกลี้ยกล่อมนางไปก็ไร้ประโยชน์
“ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายเหวินรอท่านอยู่ในห้องตำราเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้รายงานมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่เข้าไปในห้องตำรา เห็นเหวินอี้นั่งวาดภาพอยู่จึงโน้มตัวเข้าไปดู
“ภาพนี้ไม่เลวเลยนี่”
เหวินอี้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนาง คำพูดที่เอ่ยขึ้นมากะทันหันของนางทำให้เขาตกใจเสียจนมือสั่น รอยหมึกขนาดใหญ่หยดเลอะเทอะในทันที
ภาพดี ๆ จึงถูกทำลายลงในพริบตาเดียว
มู่ซืออวี่หน้าเสีย “ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรรบกวนเจ้าเลย”
“ไม่เป็นไรขอรับ อย่างไรเสียภาพนี้ก็ใช้ไม่ได้” เหวินอี้ขยำกระดาษเป็นก้อนกลม ๆ “ฮูหยิน ท่านดูภาพแบบนี้สิขอรับ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปตลอดเลย”
เขาผลักภาพแบบที่เตรียมมาไปทางมู่ซืออวี่
“ถึงแม้จะดูล้าสมัยไปหน่อย แต่ก็ใช้ได้ เหมือนกับภาพแบบของกิจการเรา ขายได้ แค่ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม”
“แต่สิ่งที่ข้าต้องการคือการก้าวข้าม”
“ง่ายดายเพียงนั้นที่ใดกัน บางครั้งเพื่อที่จะค้นหาความรู้สึก ข้าต้องเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ตอนนั้นน่ะสมองจะโล่งที่สุด แล้วเราจะก้าวข้ามไปได้ พอแรงบันดาลใจแวบขึ้นมา ความรู้สึกจะแตกต่างออกไปทันทีเลย”
“ฮูหยินกล่าวถูก”
“ช่วงนี้จิตใจเจ้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะคิดภาพแบบใหม่ ๆ ไม่ออกหรือ?”
“ประมาณนั้นกระมัง” เหวินอี้ตอบ จู่ ๆ เขาก็ไอออกมา “ขออภัย ร่างกายนี้ของข้าบอบบางราวกับกระดาษ แต่ไม่เป็นไร ข้าชินแล้ว อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“อากาศร้อน บรรยากาศก็ไม่ดีนัก ช่วงนี้เจ้าก็อย่าโหมงานให้มาก ระวังจะทำร้ายร่างกายเอาได้” เมื่อเห็นเหวินอี้ผ่ายผอมลงไปอีกแล้ว มู่ซืออวี่ก็รู้สึกเป็นห่วง “ข้าจะให้วันหยุดเจ้า เจ้าพักผ่อนสักสองสามวันเถอะ”
“ไม่ต้องหรอกขอรับ”
ไม่นานนัก รถม้าคันหนึ่งก็มาหยุดลงนอกเรือนวสันต์
ในหูของมู่ซืออวี่ยังได้ยินคำว่า ‘ไม่ต้องหรอกขอรับ’ อยู่เลย คนที่กล่าวว่า ‘ไม่จำเป็นต้องหยุดงานสองสามวัน’ บัดนี้กลับเข้าไปในเรือนวสันต์เสียแล้ว
ร่างกายปวกเปียกเช่นนั้นเนี่ยนะ…
เอาเถอะ เขาก็เป็นบุรุษคนหนึ่งนี่
“ฮูหยิน ท่านอยากถามดูหรือไม่เจ้าคะ?” จื่อซูเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ ไม่มีความรู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย
จื่อเยวี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างโมโห “มีอะไรให้ถาม บุรุษคนหนึ่งเข้าไปในสถานที่เช่นนี้จะทำอะไรได้อีก เจ้าโง่หรือไร เหตุใดฮูหยินของเราต้องถามเรื่องพรรค์นี้ด้วย?”
“จริงด้วย” จื่อซูเอ่ยด้วยความอับอาย “ข้าเพียงแต่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”
มู่ซืออวี่เอ่ยกับคนบังคับรถม้าว่า “ไปเถอะ”
ไม่นานมานี้มีคำสั่งทำชุดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารชุดหนึ่ง วันนี้นางจึงจะไปที่หอนานาสมบัติเพื่อรับสินค้า ระหว่างผ่านเรือนวสันต์ มู่ซืออวี่ก็เห็นเหวินอี้เดินเข้าไป ดวงตาของนางแทบถลนออกมา
ทั้งนี้ก็เพราะเหวินอี้ให้ความรู้สึกสะอาดบริสุทธิ์เกินไป ไม่เหมือนคนที่จะมาสถานที่ประเภทนี้
แต่ชายหนุ่มในยุคโบราณไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้นัก หากมีความต้องการในเรื่องเช่นนี้ย่อมไม่แปลกอะไร
“เถ้าแก่ ข้ามารับสินค้า” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น
“ฮูหยินลู่ เชิญทางนี้ขอรับ” เถ้าแก่จำมู่ซืออวี่ได้ในทันที อย่างไรเสีย นางก็เป็นฮูหยินนายอำเภอของที่นี่ หากเขาไม่รู้จักแม้กระทั่งคนสำคัญเช่นนี้ เขาก็ย้ายไปที่อื่นได้เลย
“เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ฮูหยินลู่” เฉินซือจวินเดินนำชิวสุ่ยเข้ามา “บังเอิญจริง ๆ ที่ได้มาพบท่านที่นี่”
มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “ขอแค่เพียงมีใจ ความบังเอิญย่อมเกิดขึ้นได้ทุกที่”