บทที่ 324 หัวใจของหวงเฉิงเฟิง
บทที่ 324 หัวใจของหวงเฉิงเฟิง
“ร่างกายของข้า ข้ารู้ดี คิดจะลุกจากเตียงก็ยากแล้ว เหตุใดต้องเอาเงินไปผลาญด้วย” หวงเฉิงเฟิงกล่าว “หากข้าใช้เงินไปหมด แล้วทิ้งแม่เด็ก ๆ กับลูกสาวสองคนไว้ข้างหลัง พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร?”
ท่านหมอจูส่ายหัวเบา ๆ
เขาเป็นหมอ มีคนไข้ประเภทใดบ้างเล่าที่เขาไม่เคยพบเห็น?
มีทั้งเห็นแก่ตัว ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว คิดไปเองฝ่ายเดียว ยึดตนเองเป็นที่ตั้ง มองเพียงแวบเดียวก็เห็นความคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
“ท่านฟังข้า ตราบใดที่ท่านรักษาตนเองให้ดี ถึงแม้ท่านจะไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ท่านก็จะดีกว่าตอนนี้ หากท่านดูแลร่างกายของท่านให้ดี ท่านยังสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ นั่นไม่ง่ายกว่ายอมปล่อยวางตนเองไปเช่นนี้หรือ?”
หูโม่ลี่จ้องมองหวงเฉิงเฟิง “ฟังท่านหมอเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าจะพาลูกสองคนจากไปเดี๋ยวนี้ จะไม่อยู่ขวางหูขวางตาท่านอีก”
หลังจากงานเลี้ยงงานแต่ง มู่ซืออวี่รั้งอยู่สองวันเพื่อสอนหูโม่ลี่และลูกสาวของอีกฝ่ายทำของทานเล่นที่เรียนรู้และทำได้ง่าย ๆ ภายหน้าพวกนางจะได้มีฝีมือในการหาเลี้ยงชีพ
ถึงแม้สตรีครอบครัวหวงจะไม่ฉลาดมากนัก ทว่าพวกนางอาศัยความขยันหมั่นเพียร ทำของทานเล่นออกมาได้สำเร็จ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ สองพี่น้องสามารถตั้งแผงหน้าเรือนกรุ่นฝันได้ เช่นนี้จะได้ประหยัดค่าเช่าที่ไปอีกทาง กิจการดำเนินไปได้ไม่เลว อย่างไรเสียเรือนกรุ่นฝันก็เป็นแหล่งลูกค้าชั้นดี ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนแต่เป็นคนมั่งมี ขอแค่เพียงรสชาติดีพอ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ากิจการจะดำเนินต่อไปไม่ได้
หลังจากท่านหมอจูพาถงซื่อกลับมาแล้ว เตาซานเหนียงก็ไม่โผล่มาอีก ถังจิ้งอยากอยู่ต่อ ทว่าสุดท้ายแล้วท่านหมอจูก็แนะนำให้เขาไปเป็นลูกศิษย์ของหมอคนอื่น ส่วนเขาเลือกลูกศิษย์ใหม่อีกครั้ง
ลูกศิษย์ถือว่าเป็นลูกชายครึ่งหนึ่ง เขาต้องการลูกศิษย์ที่เคารพอาจารย์ ถังจิ้งฉลาดหลักแหลมมาก อีกทั้งยังปากหวาน แต่เป็นเพราะเตาซานเหนียง ท่านหมอจูไม่วางใจที่จะใช้เขาอีก เขาไม่อยากตัดเส้นทางต้นกล้าที่ดีคนนี้ ฉะนั้นจึงได้แต่จัดการเช่นนี้
มู่ซืออวี่จัดการเรื่องราวที่บ้านเสร็จก็พาเหวินอี้และเซี่ยคุนไปยังเมืองซูโจว
ไม่กี่วันต่อมา เจิ้งซูอวี้ก็มารอทักทายนางอยู่ที่ประตู
“ข้าล่ะหวังว่าท่านจะมาสักที” เจิ้งซูอวี้บ่นกระปอดกระแปด “หากท่านยังไม่มา ข้าคงไปเมืองฮู่เป่ยเพื่อไปหาท่านแล้ว พวกเราตกลงเวลากันไว้แล้ว ท่านกลับเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ทำให้ข้าทำงานลำบากมากท่านรู้หรือไม่?”
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ขอโทษพันครั้งหมื่นครั้ง เถ้าแก่เนี้ยเจิ้งจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล อย่าได้ถือสาหาความคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างข้าเลย” มู่ซืออวี่แย้มยิ้มอย่างขอโทษขอโพย “พวกเราเดินทางไกลมาคราวนี้ เหนื่อยล้าแล้วจริง ๆ ไม่เช่นนั้นให้พวกเราไปพักผ่อนก่อนเป็นอย่างไร?”
“จัดเตรียมไว้ตั้งนานแล้ว ไปเถอะ! ข้าจะพาท่านไปทานอาหารรสเผ็ดอร่อย ๆ เสียก่อน ให้ท่านได้รับรู้ถึงความกระตือรือร้นของข้าเสียก่อน อีกประเดี๋ยวจะได้ทารุณท่านได้อย่างสบายใจ”
สายตาของเจิ้งซูอวี้เลื่อนไปหยุดอยู่ที่เหวินอี้
นางเคยพบเหวินอี้มาก่อน เพียงแค่คิดขึ้นมาว่าคนผู้นี้ผอมบางเกินไปแล้ว
นางลดเสียงของตนลงแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ท่านใช้งานคนงานคนนั้นหนักเกินไปหรือไม่? เหตุใดข้ารู้สึกว่าคุณชายเหวินผอมลงอีกแล้ว?”
“ไม่เกี่ยวกับข้า เป็นเขาที่เลือกกินเอง ท่านบอกไม่ใช่หรือว่ามีอาหารโอชะรออยู่? หากยอดเยี่ยมอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะแก้โรคเบื่ออาหารของเขาขึ้นมาบ้างก็ได้”
“โรคเบื่ออาหาร? ยังมีโรคเช่นนี้ด้วยหรือ?”
มู่ซืออวี่หันหน้ากลับไปเอ่ยกับเหวินอี้ “คุณชายเหวิน ท่านอยากกลับไปเยี่ยมบ้านสักหน่อยหรือไม่? อย่างไรเสียพวกเราก็เพิ่งมาถึง ยังไม่มีอะไรให้ทำมากมาย ไม่รีบร้อนถึงเพียงนั้น”
“ไม่จำเป็นล่ะ” เหวินอี้กล่าว “ญาติสนิทข้าตายไปนานแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดให้ต้องอาลัยอาวรณ์ กลับไปรังแต่จะโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิมเสียเปล่า ๆ”
หลังจากพักไปสองวันแล้ว วันที่สามจึงเริ่มลงมือทำงาน
เจิ้งซูอวี้ช่างสมกับเกิดมาเป็นคนทำการค้า นางจัดการสาขาย่อยในเมืองซูโจวที่ใหญ่กว่าสาขาหลักเสียอีก หากไม่ใช่เพราะที่นี่ไม่มีมู่ซืออวี่ เห็นทีรายได้คงมากกว่าหลายเท่าตัว
หลังจากมู่ซืออวี่รับรู้สถานการณ์ของสาขาซูโจวแล้ว นางก็ให้เจิ้งซูอวี้นำภาพแบบที่นางเขียนไปให้จวนจงอ๋อง คนของจวนจงอ๋องจะได้ตัดสินใจ
จากนั้นจึงฝึกฝนคนใหม่ ๆ เพื่อให้ร้านสาขาย่อยได้มีผู้ช่วยเพิ่มมากขึ้น เจี่ยงจงจะได้ไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไป
นอกจากเจิ้งซูอวี้ผู้ที่มีอานาจมากที่สุดของสาขาย่อยแล้ว เจี่ยงจงในฐานะหัวหน้าฝ่ายออกแบบก็เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพมากที่สุด
มู่ซืออวี่ดูสิ่งของที่เจี่ยงจงออกแบบระยะนี้ นับได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าเขาเรียนรู้ได้ครบถ้วนแล้ว
“เซี่ยคุน?” มู่ซืออวี่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองเซี่ยคุนกำลังคุยกับคนที่ท่าทางเหมือนอันธพาลผู้หนึ่ง นางเห็นเขามีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอยู่ แต่คนที่ท่าทางเหมือนอันธพาลผู้นั้นมองเขาด้วยท่าทีเคารพเป็นอย่างมาก
เซี่ยคุนโบกมือ อันธพาลคนนั้นจึงจากไป
เซี่ยคุนราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขาหันกลับมามองทางหน้าต่าง
มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้หลบเช่นกัน นางมองตรงไปยังเขาแล้วกวักมือเรียก
ระหว่างที่มู่ซืออวี่ระดมความคิดอย่างหนักเพื่อกิจการของตนเอง ทำงานหนักจนเหนื่อยล้า สถานการณ์ทางด้านของลู่อี้กลับไม่ค่อยดีนัก
“ผู้บัญชาการเจี่ยงอยู่ที่นี่ปิดฟ้าได้ด้วยฝ่ามือเดียว บัดนี้ตรวจสอบออกมาได้ว่าการหายตัวไปของหญิงสาวเกี่ยวข้องกับเขา ใต้เท้ายังอยากสืบสาวต่อไปอีกหรือขอรับ?” จือเชียนมองลู่อี้อย่างเป็นกังวล
ลู่อี้เคาะลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด
ตึก ตึก ตึก
ทุกครั้งที่นิ้วเรียวเสลานั้นเคาะลงบนโต๊ะ ความคิดยุ่งเหยิงที่กระเจิงกระจายก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นก้อนเดียวกัน ม่านหมอกในความคิดสลายหายไป เหลือไว้เพียงความกระจ่างแจ้งชัดเจน
“ข้าอยากได้ข่าวคราวของขุนนางในเมืองหลวง” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าเซี่ยคุนมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชี่ยวชาญในการรวบรวมข่าวสารทุกประเภท เจ้าออกไปขอฉบับคัดลอกของพวกเขามา ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
“ขอรับ” จือเชียนไม่บ่ายเบี่ยง
ในเมื่อลู่อี้รู้ เช่นนั้นก็เป็นเซี่ยคุนที่ตั้งใจปล่อยให้ไหลรั่วออกไป หากเขาอยากปิดบัง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะขุดออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้
หลังจากที่จือเชียนไปแล้ว ลู่อี้ก็ออกมาจากห้องของนายอำเภอ ตรงไปที่ห้องลู่ฉาวอวี่ที่เรือนด้านหลัง
เสียงเจื้อยแจ้วของลู่จื่ออวิ๋นดังออกมาจากห้องของลู่ฉาวอวี่ “ท่านพี่ ท่านคิดถึงท่านแม่หรือไม่? ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว”
“ไม่คิดถึง” ลู่ฉาวอวี่ตอบเบา ๆ
“โกหก! ค่อนคืนแล้ว ท่านยังไม่พลิกกระดาษแม้แต่หน้าเดียว เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าท่านไม่ได้อ่านสักนิด” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยเปิดโปงลู่ฉาวอวี่
“ไม่ว่าจะคิดถึงหรือไม่คิดถึงนาง อย่างไรนางก็ไม่กลับมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องทำให้ตนไม่สบายใจด้วยเล่า?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยนิ่ง ๆ “แทนที่จะเสียเวลา ไม่สู้หาบางสิ่งมาประเทืองปัญญาตนเอง งานเย็บปักดอกไม้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ใช่อยากเป็นอาจารย์ศิลปะเย็บปักชั้นหนึ่งหรือ? หากเจ้าไม่หมั่นฝึกฝนให้มากพอ คิดหรือว่าสถานะอาจารย์ศิลปะเย็บปักชั้นหนึ่งจะหล่นลงมาจากฟ้าได้”
“เหตุใดท่านพูดจาเหมือนท่านพ่อเลยเล่า” ลู่จื่ออวิ๋นเศร้าใจ “ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว ท่านแม่มักจะปลอบข้าด้วยรอยยิ้ม ไม่มีทางพูดเช่นนี้เป็นอันขาด เมื่อไหร่ท่านแม่จะกลับมา?”
“นางไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย แต่ไปต่อสู้เพื่อสิ่งที่นางชอบ” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “หากเจ้าคิดถึงนางจริง ๆ เจ้าก็เขียนจดหมายแล้วส่งผ่านนกพิราบไปให้นาง เช่นนี้จะเร็วกว่า”
“ส่งอย่างไร?”
“ข้าได้ยินว่าท่านลุงเซี่ยเหลือนกพิราบไว้ให้น้าอันหนึ่งตัว หากนางมีเรื่องอะไรให้ส่งจดหมายไปทางนกพิราบ เจ้าเขียนเสร็จ เพียงแค่ไปขอให้น้าอันช่วยก็ได้แล้ว”
ลู่อี้หมุนตัวจากไป
ผู้บัญชาการเป็นขุนนางขั้นห้าในราชวงศ์นี้ เมื่อเทียบกับขั้นปัจจุบันของเขาแล้วคงโค่นได้ไม่ง่าย
เพียงแต่…
เรื่องนี้อาจขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า หายนะเป็นที่พักของโชคลาภ โชคลาภอาจกองอยู่บนหายนะ*[1]
หากมองอย่างผิวเผิน เรื่องนี้อาจจะนำปัญหามาให้เขา แต่ก็เป็นโอกาสเช่นกันไม่ใช่หรือ ดังเช่นทุกครั้งที่เขาคว้าโอกาสไว้ได้ก่อนหน้านี้ หากไม่ยอมเสี่ยง เขาจะมาถึงจุดที่เขายืนอยู่ทุกวันนี้หรือ?
[1] หายนะเป็นที่พักของโชคลาภ โชคลาภอาจกองอยู่บนหายนะ หมายถึง สิ่งเลวร้ายอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี สิ่งดีงามอาจนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย