บทที่ 345 ประหลาดใจที่เจอพระเอก
บทที่ 345 ประหลาดใจที่เจอพระเอก
หร่วนฉีกลับไป ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ด้วยอารมณ์สับสน
ผู้จัดการหูเห็นเขาเหม่อลอยจึงถามว่า “เหยียบตะปู*[1] มาล่ะสิ นางไม่ยอมบอกอยู่แล้ว”
“ไม่ นางบอกข้า” หร่วนฉีพูด “ก็แค่…”
เขาเล่าให้ผู้จัดการหูทราบว่ามู่ซืออวี่พูดว่าอย่างไรบ้าง
ผู้จัดการหูถึงกับตาเป็นประกาย “ความคิดดีนี่ขอรับ! งานใหญ่เช่นนี้จะรวบรวมเพื่อนร่วมงานมาจากทั้งเมือง”
“ประการแรก เราสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาได้ ประการที่สอง เราสามารถขยับขยายกิจการในเมืองซูโจวได้ ประการที่สาม เราสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น”
“ไม่ว่าเมืองซูโจวจะเจริญรุ่งเรืองเพียงใด ลูกค้าก็ยังต้องซื้อเตียงหรือโต๊ะทุกวันไม่ใช่หรือ หากแปะป้ายประกาศ ลูกค้าจากเมืองใกล้เคียงหลายแห่งก็จะมาแน่นอนหลังจากได้ยินข่าว และนั่นจะเป็นโอกาสระยะยาวของกิจการเรา”
“ข้าแค่อยากแข่งกับนางคนเดียว” หร่วนฉีกล่าว
“เถ้าแก่ เหตุใดท่านถึงจ้องแต่เถ้าแก่เนี้ยมู่เล่าขอรับ?” ผู้จัดการหูยกยิ้มอ่อนโยน “นางมีสามีแล้ว ท่านไม่ควร…”
“ท่านอาหู กำลังพูดถึงเรื่องเหลวไหลอะไร” หร่วนฉีขมวดคิ้ว “ข้าแค่สนใจฝีมือของนาง”
ผู้จัดการหูส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
หร่วนฉีเก่งทุกอย่าง แต่เขาหมกมุ่นอยู่กับงานช่างไม้ เมื่อเขาเห็นใครมีฝีมือดี ก็อยากจะเรียนรู้จากคนผู้นั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเผชิญอุปสรรคมามากมาย ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร
ในขณะที่มู่ซืออวี่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานจัดแสดงสินค้า นางก็ยังต้องวางแผนออกแบบตกแต่งเรือนของจงอ๋องไปด้วย นางยุ่งมากทุกวัน แทบไม่มีเวลาว่างทำอย่างอื่น ไม่มีเวลาไปเยี่ยมชมสถานที่ที่ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานเรียนอยู่ด้วยซ้ำ
“ฉาวอวี่” มู่ซืออวี่ที่นั่งอยู่ในรถม้าเห็นลู่ฉาวอวี่และเด็กหนุ่มตัวเล็กกำลังเดินอยู่บนถนน จึงบอกให้คนขับจอด
นางลงจากรถม้า
“ท่านแม่” เมื่อเห็นมู่ซืออวี่ ลู่ฉาวอวี่ก็หยุดเดิน
เด็กคนนั้นหันมามอง เมื่อเขาเห็นมู่ซืออวี่ สายตาของเขาก็เผยความอยากรู้อยากเห็น
“นี่เพื่อนเจ้าหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม “ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ชวนเพื่อนไปกินอาหารเย็นที่บ้านเล่า พอดีว่าวันนี้แม่อยู่บ้าน แม่จะทำอาหารให้พวกเจ้าลองชิมดู”
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ซืออวี่เห็นลู่ฉาวอวี่มีเพื่อน เมื่อเห็นว่าทั้งสองเข้ากันได้ดี นางจึงหยุดเพื่อทักทาย
อันที่จริงมู่ซืออวี่รู้สึกผิดหน่อย ๆ ลู่ฉาวอวี่เป็นคนรักสันโดษ นางควรให้พื้นที่เขา แต่เมื่อเห็นลู่ฉาวอวี่ นางก็เข้าไปทักทันทีโดยไม่ทันได้คิด นับว่านางค่อนข้างหุนหันพลันแล่นเกินไปสักหน่อย
“ท่านป้า สกุลของข้าคือฉู นามของข้าคือเหยี่ยน นามรองคือกวงเฉิง ข้าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของน้องฉาวอวี่ขอรับ” ฉูเหยี่ยนกล่าว
มู่ซืออวี่ “…”
ฉูเหยี่ยน!
ชื่อนี้คุ้นทีเดียว!
เวลาพระเอกปลอมตัวขณะท่องไปทั่วยุทธจักรมักจะใช้ชื่อนี้กันไม่ใช่หรือ?
ฉูเป็นนามสกุลแม่ของเขา เหยี่ยนเป็นชื่อของเขาจริง ๆ ชื่อจริงของเขาจึงไม่ใช่ฉูเหยี่ยน แต่เป็นฟ่านเหยี่ยนต่างหาก
เดี๋ยวนะ อาจจะแค่ชื่อสกุลเดียวกันก็ได้ นางต้องคิดให้ดี
นิยายเรื่องนั้นเขียนขึ้นจากมุมมองของนางเอก และมุมมองที่สองคือมุมมองของพระเอก ตัวละครทั้งสองจึงมีพื้นที่เท่า ๆ กัน
อวิ๋นเอ๋อร์เป็นนางร้าย นางอายุน้อยกว่าพระเอกห้าปี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระเอกน่าจะอายุสิบสามปีแล้ว
อีกทั้งยังมีรอยแผลเป็นที่หว่างคิ้วของพระเอกด้วย ซึ่งว่ากันว่าถูกสุนัขข่วนตอนที่เขายังเด็ก
มู่ซืออวี่มองไปที่คิ้วของฉูเหยี่ยน ก่อนจะพบว่ามีรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ที่หว่างคิ้วด้านขวา
“เสี่ยวฉูมาจากเมืองหลวงหรือเปล่า?” มู่ซืออวี่ถาม
“ท่านป้ารู้ได้อย่างไรขอรับ?”
มู่ซืออวี่ยกยิ้มแล้วตอบว่า “สำเนียงการพูดของเจ้าฟังดูคล้ายคนจากเมืองหลวงน่ะ ข้ามักจะพบปะลูกค้าที่แตกต่างกันเสมอ รวมถึงผู้คนจากเมืองหลวงด้วย”
ดูเหมือนว่าจะเป็นเขาจริง ๆ ด้วย!
ชื่อเหมือนกัน อุปนิสัยเหมือนกัน อายุใกล้เคียงกัน ทั้งยังมีแผลเป็นที่หว่างคิ้วด้วย บังเอิญเสียยิ่งกว่าบังเอิญอีก
“ท่านแม่ กวงเฉิงกับข้ามีเรื่องที่ต้องทำ ไม่อาจกลับบ้านไปกินข้าวเย็นด้วยได้ พวกเรากินข้างนอกดีกว่าขอรับ” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
“ก็ได้ เช่นนั้น…” มู่ซืออวี่ยกยิ้ม “แม่จะกลับไปก่อน”
มู่ซืออวี่นั่งอยู่ในรถม้า พลางนึกถึงเรื่องพระเอกฉูเหยี่ยน
ในหนังสือต้นฉบับ ฉูเหยี่ยนและตระกูลลู่ไม่น่าจะรู้จักกันเร็วถึงเพียงนี้ แสดงว่าชะตากรรมของพวกเขาเปลี่ยนไปนานแล้ว
ฉูเหยี่ยนเป็นองค์ชายที่เป็นน้องชายของจงอ๋อง
ตอนนี้เขาเป็นเพียงองค์ชายผู้ไม่เป็นที่โปรดปราน เขาจึงชอบท่องเที่ยวเดินทางและผูกมิตร ซึ่งเป็นรากฐานให้เขาคว้าตำแหน่งองค์รัชทายาทได้ในอนาคต
ตราบใดที่นางคิดว่าฉูเหยี่ยนคนนี้คือคนที่ทำให้ทุกคนในตระกูลลู่ต้องเดือดร้อน นางก็ไม่ต้องการผูกมิตรกับคนเช่นนี้ ต่อให้นางต้องดูใจแคบก็ตาม
…
ลู่ฉาวอวี่กลับมาตอนค่ำ
มู่ซืออวี่เคาะประตู พร้อมกับอาหารเย็นในมือ
ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านแม่”
“เจ้ารู้ว่าเป็นข้าด้วยหรือ?”
“อืม”
ลู่ฉาวอวี่วางจานในมือลง
“ไปเรียนวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“มันไม่ต่างจากปกติเลยขอรับ” ลู่ฉาวอวี่กินเกี๊ยว “ท่านอยากจะถามว่าวันนี้ข้าพบฉูเหยี่ยนหรือเปล่า ใช่หรือไม่ขอรับ?”
มู่ซืออวี่นั่งลงตรงข้ามเขา “ชัดเจนถึงเพียงนั้นเลยหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่แม่เห็นว่าเจ้ามีเพื่อนสนิท แม่สงสัยก็เลยถามถึง”
“เพิ่งพบกันขอรับ” ลู่ฉาวอวี่พูด “ท่านอาจารย์บอกว่าเขาเป็นลูกของเพื่อนเก่า จึงให้ข้าช่วยดูแล ข้าเพียงพาเขาไปเดินรอบ ๆ ขอรับ”
“โอ้!”
“คนผู้นี้มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าขอรับ?” ลู่ฉาวอวี่ถาม
“ไม่หรอก เหตุใดจึงถามเช่นนี้เล่า?”
“วันนี้ท่านดูแปลกไปหลังจากพบเขาขอรับ”
นางเป็นแม่ของเขา มีหรือจะสามารถปกปิดเขาได้?
เขาสังเกตได้ว่าท่าทางของนางแปลกไป
“แม่แค่คิดว่าเด็กคนนั้นหน้าตาดีจริง ๆ” มู่ซืออวี่พูด “แน่นอนว่าแม่ไม่ได้พยายามขัดขวางมิตรภาพของเจ้า เจ้าฉลาดมาก แม่ย่อมเชื่อความสามารถในการคบเพื่อนของเจ้า”
ลู่ฉาวอวี่กินเกี๊ยวพลางมองหน้านาง
ดูเหมือนนางจะกังวลเรื่องฉูเหยี่ยนคนนี้เป็นพิเศษ
อันที่จริงเขาไม่ค่อยสนใจนัก แต่พี่ชายคนนั้นมักจะมองทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเสแสร้ง
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าไม่ได้ถูกหลอกง่ายถึงเพียงนั้น”
มู่ซืออวี่ถอนหายใจ
นั่นเป็นเรื่องจริง
จากหนังสือต้นฉบับ พ่อลูกสกุลลู่ไต่เต้าขึ้นไปสูงมาก จนแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังหวั่นเกรงพวกเขา และต่อมาก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
พระเอกคนนั้นไม่กลัวอะไร นับประสาอะไรกับพระเอกในช่วงวัยรุ่น
แต่นางคงได้รับอิทธิพลจากต้นฉบับมากเกินไป ตอนนี้มันไม่เป็นไปตามต้นฉบับอีกต่อไป เพราะปีกคู่เล็ก ๆ ของนางได้พัดพาโครงเรื่องให้เปลี่ยนไปนานแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถิด แม่จะกลับก่อนแล้ว”
“ขอรับ”
เมื่อมู่ซืออวี่กลับมาที่ห้อง นางก็ยังไม่ได้พักผ่อน แต่จัดการเขียนโครงเรื่องในความทรงจำไว้
แม้จะรู้ว่ามันต่างออกไป แต่ก็ต้องเขียนมันลงไปก่อน เพื่อรอดูว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหรือไม่ หากกลับไปเป็นเหมือนเดิมจะได้ระวังตัว
“ฮูหยิน…” จื่อซูเปิดประตูเข้ามา “คุณชายเหวินต้องการคุยกับท่านเรื่องสมุดบัญชีเจ้าค่ะ”
“สมุดบัญชีหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้ายังไม่นอน เชิญเขาเข้ามา”
ไม่นานหลังจากที่จื่อซูออกไป เหวินอี้ก็เดินเข้ามา
“ฮูหยิน ข้ามารบกวนท่านดึกนัก ตอนกลางวันท่านมักจะไม่อยู่ที่ร้าน ข้าพยายามแล้วก็หาท่านไม่เจอ ข้าเห็นว่ายังไม่ดึกเกินไป และท่านยังไม่นอน ข้าจึงต้องมารบกวนท่าน”
“คุณชายเหวินไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนั้นหรอก ข้าฝากสมุดบัญชีของร้านไว้ให้เจ้า สิ่งที่เจ้าอยากคุยคือเรื่องกิจการ ไม่ถือว่าเป็นการรบกวน เจ้าแค่บอกว่าจะคุยเรื่องสมุดบัญชีก็เพียงพอแล้ว สมุดบัญชีมีปัญหาอะไรหรือ?”
[1] เหยียบตะปู หมายถึง ถูกปฏิเสธ ถูกตอกกลับมาจนหงายหลัง