สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 361 ปัญหาเรื่องภาษี

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 361 ปัญหาเรื่องภาษี

บทที่ 361 ปัญหาเรื่องภาษี

บ่ายนั้น ศาลาว่าการออกประกาศสองฉบับ

ฉบับหนึ่งเป็นประกาศนำจับ

อีกฉบับหนึ่งเป็นประกาศรับสมัครแรงงานสร้าง ‘ลานหรรษา’ โดยผู้ที่สมัครจะได้รับการยกเว้นภาษี เพราะถือว่าได้จ่ายด้วยการเป็นแรงงานแทนแล้ว

ผู้คนจำนวนมากต่างมามุงดูป้ายประกาศ

“เขียนว่าอะไรน่ะ?”

“ใช่ ท่านใดรู้หนังสือโปรดอ่านเร็วเข้า”

“ข้างบนบอกไว้ว่า…”

เมื่อราษฎรได้ยินข่าวนี้ แต่ละคนล้วนดีอกดีใจ

“บ้านข้ามีลูกชายสามคน ล้วนอยู่ในวัยมังกรผยอง เสือผงาด*[1] หากพวกเรารับงานนี้ เช่นนั้นก็จัดการปัญหาเรื่องภาษีได้แล้ว”

“บ้านข้าก็มีลูกชายเช่นกัน”

“ลูกชายบ้านข้ายังเล็ก แต่ข้ายังแข็งแรง!”

“ข้ายังกังวลอยู่เลยว่าจะไม่สามารถจ่ายภาษีได้ นึกไม่ถึงว่าใต้เท้าลู่จะประกาศข่าวนี้ออกมา ใต้เท้าลู่ช่างเป็นขุนนางที่ดีกับราษฎรและบ้านเมืองจริง ๆ!”

เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงเอาแต่พูดคุยกันเรื่องภาษีและไม่ได้ให้ความสนใจกับประกาศจับที่อยู่ข้าง ๆ

ชายลึกลับสวมหมวกไม้ไผ่สานผู้หนึ่ง ใบหน้าส่วนใหญ่ของเขาถูกบดบัง เขายืนอยู่หน้าประกาศจับ หลังจากมองมันอยู่เป็นเวลานานจึงฉีกมันทิ้งไป

เจ้าหน้าที่ที่จับตาดูความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดจึงหยุดเขาไว้ “ลอบปลดประกาศจับของทางการ เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ไปบอกใต้เท้าลู่ของพวกเจ้า ในเมื่อเขาสร้างคุณงามความดีช่วยเหลือราษฎรและบ้านเมือง ข้าก็จะช่วยเขาจับเจ้าโจรชั่วที่ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาผู้นี้เอง”

เจ้าหน้าที่ทางการได้ยินเช่นนั้นจึงลดดาบในมือลงแล้วปล่อยเขาไป

“จะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือขอรับ?”

“อย่างไรก็สามารถติดอีกใบได้ หากคนผู้นี้มีความสามารถจริง ๆ จะได้ลดภาระใต้เท้าของเราไปบ้าง เหตุใดจะไม่ทำเล่า?”

ปัญหาเรื่องภาษีและปัญหาเรื่องแรงงานสร้างลานหรรษาล้วนได้รับการแก้ไขแล้ว

จนถึงตอนนี้ บททดสอบตำแหน่งนายอำเภอของลู่อี้ก็ควรผ่านแล้วเช่นกัน

“อันอวี้ เจ้าไปดูหน่อยว่าน้ำแกงตับหมูใส่เก๋ากี้ของเราเสร็จแล้วหรือยัง?”

ภายในห้องครัว มู่ซืออวี่กำลังรับหน้าที่ทำอาหาร สาวใช้สองคนเป็นลูกมือ ส่วนอันอวี้รับหน้าที่ในการจัดเตรียมวัตถุดิบ

ระยะนี้อันอวี้พยายามขอให้มู่ซืออวี่สอนเคล็ดลับในการทำอาหารให้นาง มู่ซืออวี่มอบหมายงานที่อยู่ในมือส่งต่อให้เฟิงเจิงดูแล เพื่อใช้เวลาช่วงนี้เตรียมอาหารกลางวันและอาหารเย็นให้ถงซื่อ จึงใช้โอกาสนี้สอนอันอวี้ไปด้วย

อันอวี้เปิดฝาหม้อออก จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ตับหมูสุกแล้วเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเจ้าช่วยใส่เกลือกับผงไก่*[2]ลงไปเพิ่มรสชาติสักหน่อย” มู่ซืออวี่บอกพลางผัดเต้าหู้ “ใส่น้อย ๆ รสชาติจะได้ไม่หนักมาก”

เมื่อลู่เซวียนกลับมา ลู่อี้ก็ถูกเจียงเหล่าเรียกตัวไปแล้ว เขาถามว่ามู่ซืออวี่อยู่ที่ใด ถึงได้รู้ว่านางอยู่ในห้องครัว เขาเดินนำจือเซียนเข้าไปในห้องครัวจึงได้เห็นฉากที่วุ่นวายทว่าอบอุ่นนี้

“นายท่านรอง ท่านอยาก…” จือเซียนอยากถามอีกฝ่ายว่าต้องการเรียกฮูหยินหรือไม่ ทว่าเมื่อเห็นลู่เซวียนทำท่าทางให้เงียบ เขาจึงไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ

“พวกเราไปสำนักบัณฑิต” เมื่อออกมาห่างจากห้องครัวแล้ว ลู่เซวียนจึงเอ่ยขึ้น “เชิญท่านอาจารย์มารับประทานอาหารที่บ้านกัน”

เดิมทีเขาอยากเชิญท่านอาจารย์ไปทานอาหารที่ภัตตาคาร ทว่าเมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้เตรียมอาหารไว้มากมายเพียงนี้จึงปัดความคิดนั้นตกไป

พ่อครัวข้างนอกฝีมือไม่ดีเท่าพี่สะใภ้ และดูเหมือนว่าพี่สะใภ้จะง่วนทำอาหารอยู่นานแล้ว เขาจะทำให้นางผิดหวังได้อย่างไร?

ลู่เซวียนกลับไปยังสำนักบัณฑิตเพื่อทักทายท่านเจ้าสำนักเสียก่อน ระหว่างนั้นก็แจ้งข่าวแก่สหายในสำนักบัณฑิตด้วย

ท่านเจ้าสำนักมองลู่เซวียนที่อยู่เบื้องหน้า เขาใช้มือลูบเคราพลางเอ่ยด้วยความรักความเมตตา “ทำได้ดียิ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

“ได้อันดับพอถูไถเท่านั้น ทำให้อาจารย์ผิดหวังแล้ว” ลู่เซวียนกล่าว

“อะไรกัน เจ้าสามารถสอบติดในสิบอันดับ นี่ก็ดีมากแล้ว” ท่านเจ้าสำนักกล่าว “อี้หางเพิ่งไป ครั้งนี้เขาก็ทำได้ดีเช่นกัน พวกเจ้าสองคนนำพาเกียรติยศมาให้สำนักบัณทิตนี้มากพอแล้ว”

“วันนี้ข้าอยากเชิญท่านอาจารย์ไปทานอาหารที่บ้านสักมื้อ พี่สะใภ้ข้าลงมือทำครัวเอง ฝีมือดียิ่งกว่าพ่อครัวข้างนอกเสียอีก ท่านอาจารย์ก็ไม่ได้พบพี่ใหญ่ของข้านานแล้ว คิดว่าคงมีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกับเขาไม่น้อย”

ท่านเจ้าสำนักไม่ปฏิเสธ

สองพี่น้องตระกูลลู่เป็นศิษย์ที่พวกเขาภาคภูมิใจ เขาย่อมมีความรู้สึกพิเศษด้วย อีกอย่างมันก็สักพักแล้วที่ไม่ได้พบลู่อี้ จึงรู้สึกคิดถึงอีกฝ่ายอยู่บ้าง

ลู่เซวียนไม่ได้เชิญท่านอาจารย์คนอื่น ๆ

เขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้จึงจะเชิญเหล่าอาจารย์ไปทานอาหารที่ภัตตาคาร

“ลู่เซวียน…” ฉู่หลิงกระโดดออกมาจากมุมหนึ่ง “ได้ยินพวกเขาบอกว่าเจ้ากลับมาแล้ว ข้ายังไม่เชื่ออยู่เลย! ที่แท้เป็นความจริง”

ลู่เซวียนเอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าไม่อยู่ เจ้าได้เรียนอย่างเคร่งครัดหรือไม่? คงมิได้ไปโต้เถียงกับอาจารย์กระมัง?”

“ข้าเป็นคนไม่น่าเชื่อถือถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” ฉู่หลิงยิ้มกว้าง “จริงสิ เจ้าสอบผ่านหรือไม่?”

“เจ้าลองเดาดูสิ”

“จะต้องสอบผ่านแล้วเป็นแน่” ฉู่หลิงกล่าว “หากเจ้าสอบไม่ผ่าน เจ้าจะหน้าบานเป็นกระด้งถึงเพียงนี้หรือ?”

ลู่เซวียนเอ่ยถาม “คืนนี้มีแผนการจะทำอะไรหรือไม่?”

“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”

“เช่นนั้นเจ้าก็ตามข้ากลับไปทานอาหารเถอะ” ลู่เซวียนเอ่ยชวน “พี่สะใภ้ข้าลงมือทำอาหารรสเลิศหลายอย่าง คืนนี้คงจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับข้า หากเจ้าไม่มีอย่างอื่นต้องทำก็ไปทานด้วยกัน”

“เยี่ยมเลย!” ฉู่หลิงเอ่ย “แต่อีกเดี๋ยวข้าจะตามไปทีหลัง ไม่ไปพร้อมกับเจ้าแล้ว”

“ได้”

ลู่เซวียนเชิญอาจารย์และสหาย จากนั้นก็ไปยังสำนักศึกษาเหวินชาง รับลู่ฉาวอวี่กับมู่เจิ้งหาน แล้วจึงไปรับลู่จื่ออวิ๋นที่ร้านสาวทอผ้า

เมื่อผ่านโรงหมอถงตั๋ว เขาเห็นท่านหมอจูกำลังยุ่งจึงเอ่ยทักทาย พร้อมกันนั้นก็บอกเรื่องรับประทานอาหารเย็นที่บ้านด้วย

“ได้ หลังจากข้าจัดการเรื่องที่นี่เสร็จแล้วจะตามไป”

หลังจากลู่เซวียนจากไปแล้ว คนไข้จึงเอ่ยถามท่านหมอจู ” คุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นเป็นใครหรือ?”

“น้องชายของลูกเขยข้า”

“ลูกเขยท่านคือใต้เท้าลู่ เช่นนั้นก็คือน้องชายของใต้เท้าลู่ บุคคลที่มีความสามารถและยังหน้าตาดีเช่นเขาเคยเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานหรือไม่?”

“ไม่ต้องคิดเลย เด็กที่เพียบพร้อมเช่นนั้น แม้จะไม่เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานก็วนมาไม่ถึงลูกสาวบ้านเจ้าหรอก”

เหล่าคนไข้ซุบซิบกัน พวกเขาจะกล้าฝันถึงคุณชายเช่นนั้นได้อย่างไร?

ท่านหมอจูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาเพิ่งกลับมาจากการสอบฤดูใบไม้ผลิน่ะ ดูเหมือนจะสอบผ่านและได้เป็นจวี่เหรินแล้ว”

หากเขาสอบไม่ผ่าน สีหน้าคงไม่ผ่อนคลายเช่นนี้

“นั่นเป็นข่าวใหญ่เชียวนะ! โถ ๆ เหตุใดลูกหลานบ้านอื่นจึงดีเช่นนี้นะ?”

ลู่จื่ออวิ๋นดึงแขนเสื้อของลู่เซวียนไว้ “ท่านอา ข้าจะบอกเรื่องหนึ่งกับท่าน”

“เรื่องอะไรหรือ?”

“ท่านไปสอบขุนนางก็เลยยังไม่รู้ ท่านยายของข้ามีท่านน้าเล็กในท้องของนางล่ะ”

“จริงหรือ?” ลู่เซวียนประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ตกใจมากใช่หรือไม่? ทุกคนล้วนดีใจมาก!” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่มู่เจิ้งหาน “ท่านน้าคนนี้ปกป้องข้า ส่วนท่านน้าในท้องท่านยายยกให้ข้าปกป้อง”

เมื่อกลับมาที่เรือนด้านหลังศาลาว่าการแล้ว ลู่เซวียนจึงเดินไปหามู่ซืออวี่ในห้องครัวก่อน

เขาเอ่ยถึงเรื่องที่เชิญท่านเจ้าสำนักและฉู่หลิงมารับประทานอาหาร

“เหตุใดไม่เชิญท่านอาจารย์คนอื่น ๆ มาด้วยเล่า?” มู่ซืออวี่ถาม

“ในสำนักบัณฑิตมีอาจารย์ราว ๆ สามสิบคน หากเชิญพวกเขามาทั้งหมด พี่สะใภ้จะยุ่งมากเกินไป ข้าตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเชิญพวกเขาไปดื่มสุราข้างนอก” ลู่เซวียนกล่าว

“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ! คุณชายอันคงกลับมาพร้อมเจ้ากระมัง? เขาสอบผ่านหรือไม่?”

“สอบผ่านแล้ว” ลู่เซวียนกล่าว “ทว่าไม่ได้ติดอยู่ในสามสิบอันดับแรก”

“นั่นไม่สำคัญ ตราบใดที่สอบผ่านก็ใช้ได้” มู่ซืออวี่กล่าว “เช่นนั้น เจ้าอยากเชิญเขามาทานอาหารด้วยหรือไม่?”

ลู่เซวียนลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงส่ายหัว “พวกเราล้วนมีแต่คนในครอบครัว หากเขามาเกรงว่าจะอึดอัดใจ อีกอย่างที่บ้านเขาก็ยังมีแม่อยู่ ข้าคิดว่าพวกเขาสองแม่ลูกคงอยากเฉลิมฉลองกันส่วนตัว”

มู่ซืออวี่ก็คิดเช่นเดียวกัน เพียงแต่อยากถามความคิดเห็นของลู่เซวียนก่อน

เมื่อรู้ว่าท่านเจ้าสำนักจะมา มู่ซืออวี่จึงทำอาหารเพิ่มอีกสามอย่าง

“เจ้าไปดูหน่อยว่าพี่ชายของเจ้าทำงานเสร็จหรือยัง เขายังไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าเชิญท่านเจ้าสำนักมาด้วย เจ้าไปบอกให้เขากลับมาเร็วหน่อยเถิด จะได้มาสนทนากับท่านเจ้าสำนักด้วย” มู่ซืออวี่เตือน

[1] มังกรผยอง เสือผงาด หมายถึง วัยที่เหมาะสมแก่การทำงาน

[2] ผงไก่ เป็นเครื่องปรุงรสรสไก่ มีสีเหลืองอ่อน ใส่เพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท