บทที่ 367 นี่เป็นสิ่งที่พี่สาวข้าบอก
บทที่ 367 นี่เป็นสิ่งที่พี่สาวข้าบอก
“ไม่นะ พวกเราไม่อยากเข้าคุก”
จั่วซื่อร้อนรนขึ้นมาแล้ว นางกอดเอวของหวงเฉิงเฟิงไว้แน่น
ถึงแม้หวงเชิงเฟิงจะอาการดีขึ้นแล้ว แต่เขาก็ยังคงอ่อนแอกว่าบุรุษทั่วไป เมื่อจู่ ๆ จั่วซื่อเข้ามากอดจึงเกือบจะฉุดเขาให้ล้มลง
หูซื่อพยายามแกะมือของจั่วซื่อ “ท่านปล่อยเขา”
จั่วซื่อกอดแน่นไม่ยอมปล่อย ปากก็พูดกับหวงเฉิงเฟิง “เฟิงเอ๋อร์ ข้าเป็นมารดาของเจ้า เจ้าใจจืดใจดำเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าบอกพวกเขาสิ ข้าไม่อยากเข้าคุก”
“ปล่อยพ่อข้า” หวงอันจิ้งและหวงอันหนิงรีบเข้ามาช่วยแกะมือจั่วซื่อ
จั่วซื่อเคยชินกับการทำงานหนัก แรงของนางประหนึ่งแรงของบุรุษที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ถึงแม้จะมีหลายคนพยายามแกะมือนางออกก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ต้าหนิวชักดาบออกมาจากข้างเอว
“หากยังไม่ปล่อยอีก ข้าจะตัดมือเจ้าซะ”
จั่วซื่อชะงักงัน รีบปล่อยมือเดี๋ยวนั้น
“นำตัวไป” ต้าหนิวหมดความอดทนแล้ว
นักการหลายคนมาลากตัวจั่วซื่อออกไป
นางยังคงร้องโวยวาย “ข้าไม่ไป”
ในขณะที่หวงต้าจงนั้นสงบกว่ามาก พอต้าหนิวมองไปทางเขา หวงต้าจงก็ตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
“หลานชายของข้า…” จั่วซื่อแผดเสียงดังลั่น “ใต้เท้า ใต้เท้า ถือเสียว่าเห็นแก่เด็ก ท่านไว้ชีวิตพวกเราเถอะ พวกเราไม่กล้าทำอีกแล้ว”
ต้าหนิวใช้โอกาสนี้เอ่ยกับฝูงชนโดยรอบ “พวกเราจะคอยตรวจตราแต่ละร้านอย่างสม่ำเสมอ หากผู้ใดจงใจก่อปัญหาจะถูกโยนเข้าคุกและขังเอาไว้ หากพวกท่านมีเรื่องใดแก้ไขไม่ได้ โปรดมาแจ้งทางการ ข้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนและสหายคนอื่น ๆ จะรีบมาทันทีที่ได้รับข่าว ตราบใดที่ใต้เท้าลู่ปกครองอยู่ ที่นี่ย่อมไร้ความโลภ หลับนอนกลางคืนไม่ต้องลงกลอน อย่างไรก็ตาม พวกเราจะไม่ยอมให้ผู้ที่มีจิตคิดร้ายมาสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเด็ดขาด”
“ดี!” คนที่มุงอยู่หน้าประตูปรบมือชื่นชม
“นอกจากนี้ ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่ ข้าขอกล่าวให้ชัดเจนภายในครั้งเดียว ใต้เท้าลู่ไม่อนุญาตให้มีการเก็บค่าคุ้มครองใด ๆ จากกิจการหรือราษฎรทั่วไปเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะได้รับโทษร้ายแรง”
“เยี่ยม!”
ต้าหนิวมองหวงเอ้อร์โกว่
หวงเอ้อร์โกว่หวาดกลัวจนไม่กล้าร้องไห้
เขาสะอึกสะอื้น น้ำหูน้ำตาไหล สายตาที่มองต้าหนิวเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
“พวกเจ้าสองคนส่งเจ้าเด็กน้ำมูกไหลคนนี้กลับไปที่บ้านสกุลหวง” ต้าหนิวชี้ไปที่ลูกน้องสองคน
“พี่ต้าหนิว ขอบคุณท่านมาก” หวงอันหนิงเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง
ต้าหนิวเปลี่ยนจากท่าทีน่าเกรงขามเมื่อครู่เป็นรอยยิ้มจริงใจ “พวกเจ้าเปิดร้านแล้วไม่ง่ายเลย หากมีเรื่องเช่นเมื่อครู่นี้อีก ให้ส่งคนมาแจ้งทางการทันที อย่าไปตอบโต้ คนประเภทนี้กลัวทางการที่สุด พวกเจ้าจะพูดอะไรเขาย่อมไม่หวั่นเกรง”
“ข้าทราบแล้ว” หวงอันจิ้งจำคำพูดของต้าหนิวไว้เป็นมั่นเหมาะ
“ใต้เท้า นี่เป็นขนมที่พวกเราทำ” หูซื่อใช้ตะเกียบคีบเมี่ยนเปา*[1]ใส่กระดาษห่อขนมและยื่นให้
ต้าหนิวโบกมือ เขาเดินจากไปพร้อมกับบริวาร
“ใต้เท้า ทานสักสองชิ้น…” หูซื่อเห็นพวกเขาจากไปอย่างรวดเร็วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ท่านเจ้าหน้าที่ประพฤติตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
หากเป็นแต่ก่อน อย่าว่าแต่สองชิ้นเลย แค่อีกฝ่ายไม่ทานหมดร้านก็นับว่าดีแล้ว
“นั่นเพราะนายอำเภอคนปัจจุบันเป็นพี่เขยของเราอย่างไรเล่า” หวงอันหนิงเอ่ย “พี่เขยเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ให้พวกเขารังแกราษฎรอย่างเรา”
“ในเมื่อผู้อื่นไปหมดแล้ว แม่จะบอกพวกเจ้าสองคนเอาไว้อย่าง” หูซื่อเก็บเมี่ยนเปากลับเข้าที่ “นับวันพวกเจ้าชักใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
หวงอันหนิงและหวงอันจิ้งมองหน้ากัน
“ท่านแม่ ในหม้อยังมีเมี่ยนเปา พวกเรากลับไปเฝ้าไฟก่อนนะจ๊ะ”
หวงเฉิงเฟิงคว้าหูซื่อไว้แล้วเอ่ยว่า “ลูกสาวเราเป็นเด็กดีมากแล้ว อย่าไปว่าพวกนางเลย”
“ข้ากังวลว่านิสัยแบบนี้จะทำให้พวกนางเสื่อมเสียชื่อเสียง” หูซื่อเอ่ย “พวกนางไม่ใช่เด็ก อีกสองสามปีก็ต้องเตรียมคุยเรื่องแต่งงานแล้ว หากชื่อเสียงเรื่องความใจร้อนของพวกนางเล่าลือออกไป ผู้ใดจะอยากออกเรือนด้วย?”
“เช่นนั้นข้าถามเจ้าหน่อย หากพวกนางสงบเสงี่ยมเอาแต่ถ่อมตัวอย่างที่เคยเป็น เจ้าจะมีความสุขจริง ๆ หรือ?” เมื่อเห็นหูซื่อเงียบไป หวงเฉิงเฟิงจึงเอ่ยต่อ “ได้อย่างจำต้องเสียอย่าง หากเจ้าอยากให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเปล่งประกาย เฉิดฉายใต้ดวงอาทิตย์อย่างญาติผู้น้อง เช่นนั้นก็อย่าสนใจสายตาของผู้อื่น หลายปีมานี้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ภายหน้าเจ้ายังมีใจอยากให้ลูกสาวสองคนไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นตนหรือ?”
“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว อย่างไรเสียข้าก็พูดไม่เก่งเท่าท่านอยู่ดี” หูซื่อพึมพำ
ทว่านางเข้าใจความหมายของสามีอย่างชัดเจน แทนที่จะให้ลูกสาวแต่งงานและใช้ชีวิตเพื่อสามีและลูก สู้ให้พวกนางได้ใช้ชีวิตดั่งดวงตะวันที่ส่องแสงเปล่งประกายไม่ดีกว่าหรือ
ผู้ใดไม่คิดริษยาแสงสว่างบ้าง?
ผู้ใดไม่อยากเป็นแสงสว่างบ้าง?
“อีกประเดี๋ยวพวกเราไปหาน้องหญิงเถอะ” หูซื่อเอ่ย “นางกำลังตั้งครรภ์ เราน่าจะเอาขนมที่นางชอบไปให้สักหน่อย”
ลู่จื่ออวิ๋นตามฮั่วอวิ๋นซิ่วออกไปซื้อผ้าและเส้นไหม
ฮั่วอวิ๋นซิ่วดูแลศิษย์น้องเล็กเป็นพิเศษ นางอธิบายให้ลู่จื่ออวิ๋นฟังว่าเส้นไหมชนิดไหนดีกว่ากัน และผ้าชนิดใดที่เหมาะกับการเย็บปักถักร้อย
“เถ้าแก่ หากร้านของท่านไม่มีของดี ๆ พวกเราจะไปที่ร้านอื่นแล้ว” เห็นได้ชัดว่าฮั่วอวิ๋นซิ่วไม่ชอบของในร้าน
เถ้าแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในร้านยังมีของที่เก็บไว้อยู่ แต่เพราะไม่ได้ใช้บ่อยนัก ข้าจึงไม่ได้นำออกมา แม่นางสายตาแหลมคมยิ่ง ไม่เช่นนั้นไปเลือกดูที่นั่นเป็นอย่างไร”
“ศิษย์น้อง เจ้ารออยู่ที่นี่ประเดี๋ยว” ฮั่วอวิ๋นซิ่วบอกกับลู่จื่ออวิ๋น “ข้าจะเข้าไปดูข้างในสักหน่อย หากมีสิ่งใดที่ชอบ ข้าจะเลือกกลับมาสักสองสามอย่าง หากไม่มีจะได้ไม่เสียทีที่เจ้าตามไป”
“ได้เลย ศิษย์พี่” ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
หลังจากฮั่วอวิ๋นซิ่วตามเถ้าแก่ไปแล้วจึงเดินดูเสื้อผ้าภายในร้าน
คนดูแลร้านนำน้ำชาและขนมมาให้นาง “แม่นางน้อย นั่งลงพักผ่อนเถอะ”
“ท่านไม่จำเป็นต้องดูแลข้า ข้าขอเดินดูของสักหน่อย”
ปกติลู่จื่ออวิ๋นเรียนทุกอย่างจากตำรา หลังจากได้ยินอะไรหลาย ๆ อย่างจากฮั่วอวิ๋นซิ่วเมื่อครู่ นางก็อยากทบทวนความรู้และจำใส่หัวของตน จึงเดินดูของรอบ ๆ ร้าน
“แม่นางน้อย โรงน้ำชาฝั่งตรงข้ามมีขนมชนิดใหม่ รสชาติอร่อยเชียวนะ อยากตามข้าไปดื่มชาหรือไม่?” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้น
คนดูแลร้านเห็นเช่นนี้ก็เข้ามาห้ามเขา “คุณชาย แม่นางน้อยท่านนี้เป็นแขกของเรา ไม่นานครอบครัวของนางก็จะออกมาแล้ว ท่านอย่า…”
“ไม่เป็นไร พี่ใหญ่ผู้ดูแลร้าน ข้ารู้จักเขา” ลู่จื่ออวิ๋นบอกผู้ดูแลร้านให้วางใจ
ผู้ดูแลร้านได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็รู้ว่าตนเข้าใจผิด เขาจึงลูบหัวด้วยความกระดากอาย
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้วขอรับ”
ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมองคนตรงหน้า “คุณชายฉูว่างนักหรือเจ้าคะ?”
“ข้าไม่ได้บอกว่าอย่าเรียกคุณชายฉูหรือ? ข้าและพี่ชายของเจ้าเป็นสหายกัน เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็ได้” ฉูเหยี่ยนมองลู่จื่ออวิ๋นอย่างคาดหวัง “ไหน เรียกให้ข้าฟังหน่อย พี่ใหญ่ฉู”
“ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ไม่มีทางเรียกผู้อื่นว่าพี่ คุณชายฉูชอบนับผู้อื่นเป็นน้องสาวไปทั่ว แต่ข้าไม่มีนิสัยรับพี่ชายไปทั่วเช่นท่าน”
“ข้าไม่ได้มีนิสัยนับผู้อื่นเป็นน้องสาวไปทั่วเสียหน่อย ข้าเพียงแต่คิดว่าเจ้าน่ารัก อีกทั้งยังเข้ากันได้ดีกับพี่ชาย จึงอยากเป็นพี่ชายอีกคนของเจ้าเท่านั้น” ยิ่งฉูเหยี่ยนมองแม่นางน้อยผู้นี้เท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักเท่านั้น เขาอดใจไม่ให้เข้าใกล้และหยอกล้อนางครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหว
เห็นอีกฝ่ายเผยกรงเล็บแหลมคมน้อย ๆ ออกมา เขาไม่เพียงไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ กลับยิ่งรู้สึกว่านางน่ารักยิ่งกว่าเดิม
ฮั่วอวิ๋นซิ่วออกมาแล้ว เมื่อนางเห็นฉูเหยี่ยนจึงเอ่ยขึ้น “ศิษย์น้อง นี่สหายของเจ้าหรือ?”
“สหายของพี่ชายข้าเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ศิษย์พี่ มีผ้าที่เหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ?”
[1] เมี่ยนเปา คือ ขนมปัง