บทที่ 369 หรงอวี้เป็นโรคฝีดาษแล้ว
บทที่ 369 หรงอวี้เป็นโรคฝีดาษแล้ว
ณ ประตูสำนักบัณฑิตเขาเขียว
บ่าวรับใช้เห็นคนสองคนเดินเข้ามาจึงรีบร้องทักทันที
“คุณชายลู่เซวียน บ่าวรอท่านอยู่ที่นี่นานแล้วเจ้าค่ะ”
ลู่เซวียนและฉู่หลิงที่กำลังพูดคุยกันหยุดลงทันที
ลู่เซวียนมองบ่าวรับใช้คนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าซ้ำไปซ้ำมา เขารู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่าย ทว่านึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใด
บ่าวรับใช้เห็นสีหน้าลู่เซวียนก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายจำตนไม่ได้ “บ่าวเป็นสาวใช้ข้างกายฮูหยินโหยว ชื่อปี้ชิงเจ้าค่ะ”
“เจ้ามีเรื่องอะไรจึงมาหาข้า?” เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นคนสนิทของเย่อิงเกอ ลู่เซวียนจึงพอรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
“ฮูหยิน… ฮูหยินเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” ปี้ชิงเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “คุณชาย มีเพียงท่านที่พอจะโน้มน้าวใจนางได้นะเจ้าคะ”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ลู่เซวียนขมวดคิ้ว
“คุณหนูเป็นโรคฝีดาษเจ้าค่ะ ฮูหยินไม่ยอมฟังคำทัดทาน ยืนกรานจะไปดูแลนางให้ได้ แต่นั่นเป็นโรคฝีดาษนะเจ้าคะ หากฮูหยินไปดูแลจริง ๆ นางจะต้องติดโรคเป็นแน่ ข้าจึงมาขอร้องให้คุณชายช่วยไปโน้มน้าวนาง”
ลู่เซวียนฟังแล้วยังรู้สึกงุนงง ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของปี้ชิงนัก ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจน ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า
“สหายฉู่ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ช่วยแจ้งลาให้ข้าด้วย ข้าต้องไปดูสถานการณ์ทางนั้นเสียหน่อย”
“ข้าจะไปกับท่าน” ฉู่หลิงเอ่ย “ตอนยังเล็กข้าก็เคยเป็นโรคฝีดาษ ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะติดอีกรอบ”
“จริงหรือ? เรื่องเช่นนี้ไม่อาจล้อเล่นได้เป็นอันขาดนะ”
“จริงสิ ข้าไม่โกหกท่าน” ฉู่หลิงกล่าว “ตอนนี้คนที่พวกเจ้าต้องการที่สุดคือคนที่รอดจากโรคฝีดาษเช่นข้า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะทำอย่างไรได้?”
เย่อิงเกอค่อย ๆ ตื่นขึ้น
นางถูกบ่าวรับใช้ทำให้หมดสติ ท้ายทอยยังคงรู้สึกปวดเล็กน้อย
ทว่าเมื่อคิดถึงลูกสาวที่กำลังทรมานจากโรคฝีดาษ ความเจ็บปวดเท่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ฮูหยิน…” ปี้สุ่ยพยุงเย่อิงเกอ “ท่านอย่าร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ”
“ท่านหมอมาแล้วหรือยัง?” เย่อิงเกอถาม
“ท่านหมอผู้นั้นเห็นคุณหนูเข้าก็… หนีไปแล้วเจ้าค่ะ” ปี้สุ่ยตอบ “แต่ข้าได้ไปเชิญท่านหมอจูมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอจูเป็นหมอที่จิตใจดีที่สุดของที่นี่ จะต้องไม่ปล่อยให้คนตายโดยไม่ช่วยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ปี้ชิงเล่า?” เย่อิงเกอจับแขนปี้สุ่ยพยุงตัวลุกขึ้น
“นาง… เดี๋ยวนางก็กลับมาเจ้าค่ะ” ปี้สุ่ยไม่กล้าบอกว่าปี้ชิงไปหาลู่เซวียน
นายท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ ผู้ที่สามารถโน้มน้าวใจเย่อิงเกอได้มีเพียงแค่คุณชายลู่เซวียนเท่านั้น นอกจากไปหาเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“ฮูหยิน” เสียงของปี้ชิงดังขึ้นจากข้างนอก “ท่านดูว่าผู้ใดมาแล้ว?”
เย่อิงเกอที่เพิ่งลุกขึ้นเห็นลู่เซวียนตามหลังปี้ชิงมา ในใจนางพลันตื่นตระหนก รีบหันหลังให้เขา “ท่านออกไป!”
ลู่เซวียนชะงัก “…”
ปี้ชิงประหลาดใจ “ฮูหยิน”
เย่อิงเกอบีบมือของปี้สุ่ยอย่างแรง
ปี้สุ่ยรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
แรงของฮูหยินเยอะยิ่งนัก
ลู่เซวียนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก”
ฉู่หลิงที่รู้สึกแปลก ๆ เดินตามลู่เซวียนออกไป
“รีบปิดประตู” เย่อิงเกอเอ่ยขึ้น
ปี้ชิงปิดประตูท่ามกลางความมึนงง
ฮูหยินเป็นอะไรไป?
ปกตินางมักจะคะนึงหาคุณชายลู่เซวียนอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นเขากลับไล่ออกไปเสียอย่างนั้น
เย่อิงเกอนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางมองใบหน้าทรุดโทรมของตนที่ส่องสะท้อนบนกระจก “รีบจัดการแต่งหน้าแต่งตัวให้ข้าสิ ตอนนี้ข้าน่าเกลียดมากใช่หรือไม่?”
ปี้สุ่ยและปี้ชิงมองหน้ากัน
ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดฮูหยินจึงผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าตอนนี้ควรกังวลกับอาการของคุณหนูมากกว่าหรือ?
“สหายลู่ ฮูหยินโหยวท่านนี้คือผู้ใดหรือ?”
ภายในสวน ฉู่หลิงลังเลใจอยู่นานสองนาน สุดท้ายจึงเอ่ยคำถามออกมา
“พี่ชายของนางคือสหายข้า เขาด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุ ข้าสัญญากับพี่ชายของนางไว้ว่าจะดูแลนางในฐานะพี่ชาย”
“อ้อ”
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“ข้าไม่ได้บอกแล้วหรือ? ข้าเคยเป็นโรคฝีดาษตั้งแต่ยังเล็ก ข้าจะต้องช่วยพวกเจ้าได้แน่”
“แต่นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“เช่นนั้นข้าถามเจ้าบ้าง เจ้ามาทำอะไรที่นี่? นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” ฉู่หลิงจ้องมองเขา
เย่อิงเกอเดินออกมาได้ยินคำพูดของฉู่หลิงเข้าพอดี
นางยืนอยู่ไม่ห่างนัก จากนั้นมองไปยังร่างของลู่เซวียน
ลู่เซวียนไม่ได้ตอบคำถามฉู่หลิง
“พี่ลู่เซวียน” เย่อิงเกอส่งเสียงเรียกเขา
ลู่เซวียนหมุนตัวกลับไป “อิงเกอ ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าอย่าได้บุ่มบ่าม เชื่อฟังคำพูดของท่านหมอก่อนเถิด”
“ท่านหมอได้ยินว่าเป็นโรคฝีดาษจึงวิ่งหนีไปแล้ว เขาไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ” สีหน้าของเย่อิงเกอซีดเผือด “นี่เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้าแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง…”
“ท่านหมอมาแล้วขอรับ” ท่านพ่อบ้านเดินนำท่านหมอจูเข้ามา
เมื่อลู่เซวียนเจอท่านหมอจูก็ไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่คนจิตใจดีอย่างท่านหมอจูแล้วจะเป็นใคร เขารู้ดีว่ามีท่านหมอเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เต็มใจรักษาโรคประเภทนี้
“ท่านอาจู ท่านรู้ว่านี่เป็นโรคประเภทใดกระมัง?” ลู่เซวียนเห็นท่านหมอจูมาพร้อมกับเครื่องมือป้องกัน แต่เขาก็ยังคงย้ำเตือน “โรคนี้รักษาได้ยากนัก ท่านรักษาได้หรือไม่?”
หากรักษาไม่ได้ก็อย่าเสี่ยงเสียจะดีกว่า อย่างมาก… ก็แค่ไปหาท่านหมอจากเมืองอื่น
นี่เป็นพ่อเลี้ยงของพี่สะใภ้ ไม่อาจให้เสี่ยงได้
เมื่อเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ลู่เซวียนก็ชำเลืองมองเย่อิงเกอด้วยความรู้สึกผิด
“ข้าทราบแล้ว” ท่านหมอจูเอ่ย “อันที่จริงข้าเคยพบมันมาก่อน ตอนนั้นข้าใช้เวลาเนิ่นนานศึกษาโรคนี้ แต่กลับรักษาเด็กคนนั้นไว้ไม่ทัน แต่ข้าคิดว่าวิธีของข้ารักษาได้ผล เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ทำการพิสูจน์เท่านั้น หากพวกเจ้าเชื่อข้า ข้าจะพิสูจน์ดู”
“ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นแล้ว” เย่อิงเกอเอ่ย “ท่านมั่นใจกี่ส่วนเจ้าคะ?”
“แปดส่วน”
“แปดส่วนก็เพียงพอแล้ว”
ย่อมดีกว่าไม่มีแม้สักส่วนเดียว
“เพียงแต่ข้าต้องการคนช่วยสักคน” ท่านหมอจูเอ่ย
“ข้า…” เย่อิงเกอเอ่ย “ข้าเป็นแม่ของนาง ครั้งนี้ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนนาง”
“ข้าทำเอง!” ฉู่หลิงเอ่ย “ตอนเด็กข้าเคยเป็นโรคฝีดาษ เทียบกับพวกเจ้าแล้วปลอดภัยกว่า”
“ข้ากับคุณชายท่านนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน…”
“ข้าเป็นสหายของลู่เซวียน ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำ ข้าที่เป็นสหายผู้ที่เสี่ยงน้อยที่สุดย่อมต้องช่วยอยู่แล้ว ฮูหยินไม่จำเป็นต้องรู้สึกติดค้างอะไร หากมีคนต้องตอบแทนน้ำใจก็คงจะเป็นลู่เซวียนที่ติดค้าง”
“เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถอะ!” คำพูดของท่านหมอจูถือเป็นที่สิ้นสุด “ข้าจะคอยดูแลรักษาความปลอดภัยของคุณชายผู้นี้เอง”
ฉู่หลิงเดินตามท่านหมอจูเข้าไปในห้องของโหยวหรงอวี้
อันดับแรกท่านหมอจูให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาดภายในห้องตามที่เขาแนะนำ
“อยู่ดี ๆ เหตุใดจึงได้ติดโรคฝีดาษได้เล่า?”
ลู่เซวียนและคนอื่น ๆ ก็สวมเครื่องป้องกันเช่นกัน
ตอนนี้พวกเขาทุกคนใส่ผ้าปิดหน้า
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ข้าคิดแต่จะหาท่านหมอมารักษาหรงอวี้จึงยังไม่ได้ตรวจหาสาเหตุ” เย่อิงเกอกล่าว
“ตอนนี้คอยสังเกตบ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้คุณหนูโหยวเสียก่อน อย่าปล่อยให้พวกเขาไปเพ่นพ่านข้างนอก ส่วนบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ เพื่อความปลอดภัย การไม่ให้พวกเขาออกไปนอกจวนจะดีที่สุด” ลู่เซวียนเอ่ย “ในเมื่อข้าเข้ามาที่นี่แล้ว จนกว่าที่นี่จะปลอดภัย ข้าก็จะไม่ออกไปเช่นกัน”
“พี่ลู่เซวียน ข้าสร้างความยุ่งยากให้ท่านอีกแล้ว” เย่อิงเกอรู้สึกผิด
“ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้า หากมีคนเจอเรื่องเช่นนี้ ข้าก็จะมาดูเช่นกัน โรคฝีดาษอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่โตได้ จะต้องควบคุมให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายไปทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ย” ลู่เซวียนกล่าว