บทที่ 420 ความปลื้มปีติของเมืองฮู่เป่ย
บทที่ 420 ความปลื้มปีติของเมืองฮู่เป่ย
การปรากฏตัวของเตียงเตานำความยินดีมายังเมืองฮู่เป่ย
ในระยะแรก คนชราไร้ครอบครัวที่อาศัยอยู่เพียงลำพังจะได้รับสิทธิ์ก่อน จากนั้นจึงมีคนเริ่มจ่ายเงินเพื่อทำเตียงเตามากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนผู้ที่ไม่มีเงินทำเตียงเตา แค่แจ้งต่อศาลาว่าการ บอกกล่าวสถานการณ์ของตนเอง ศาลาว่าการจะส่งคนไปตรวจสอบ ไม่นานพวกเขาก็จะนำคนไปแก้ปัญหาให้
ศาลาว่าการของเมืองฮู่เป่ยทำให้ราษฎรได้เข้าใจความหมายของ ‘ทางการและราษฎรคือครอบครัวเดียวกัน’
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานผืนฟ้าก็ขุ่นมัว
เหล่าชาวบ้านที่มีเตียงเตา ชีวิตต่างดียิ่งกว่าเดิม ทว่าหิมะตกลงมาอย่างหนัก ภัยธรรมชาตินานารูปแบบย่อมต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือหิมะถล่มที่สามารถถล่มลงมาอย่างง่ายดายได้ทุกเมื่อ
“ใต้เท้า ภูเขาบริเวณหมู่บ้านไป่หลี่ถล่มลงมาแล้วขอรับ ด้านล่างภูเขามีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ ตอนนี้พวกเขาล้วนถูกกลบอยู่ข้างใต้ เป็นตายไม่อาจรู้ได้”
นักการเกาเดินเข้ามาจากข้างนอก มือไม้ปัดหิมะบนร่างกายออกพลางกล่าวรายงาน “ตอนนี้จะทำอย่างไรกับเส้นทางจากที่นี่ไปยังหมู่บ้านไป่หลี่ ถึงแม้บุรุษฝีมือดีของพวกเรารีบรุดไปยังที่นั่นก็ต้องใช้เวลาถึงสามชั่วยาม รถม้าไม่อาจไปได้ ไปถึงที่นั่นจะยังมีคนเหลือรอดสักกี่คนกัน”
ไม่ว่าลู่อี้จะสติปัญญาล้ำเลิศเพียงใด ในยามนี้อย่างไรเขาก็ไร้ซึ่งหนทาง
ระยะนี้มู่ซืออวี่ว่างเว้นจากกิจการ นางจึงให้คนงานหยุดพักผ่อน จะได้อยู่ที่บ้านใช้เวลากับครอบครัว นางยังถือโอกาสนี้ใช้เวลากับลูก ๆ และสามีของตนด้วย
นางกำลังยกน้ำชาเข้ามาพอดี
“ข้ามีวิธีแก้” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “เพียงแค่ต้องเลือกมือดีที่คล่องแคล่วเสียหน่อย”
“ฮูหยิน เจ้ารีบกล่าวมา”
“จื่อซู เจ้าไปนำของที่ข้าทำให้ฉาวอวี่และอวิ๋นเอ๋อร์เล่นเมื่อวานนี้มา”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
ของที่มู่ซืออวี่กล่าวถึงคืออุปกรณ์เล่นสกีชุดหนึ่ง
ไม่นานมานี้หิมะทับถมหนาเป็นอย่างมาก จะออกจากบ้านสักเที่ยวนั้นไม่ง่ายดายเลย นางจึงทำอุปกรณ์เล่นสกีอย่างง่าย ๆ ขึ้นมาแล้วออกไปหาความสนุกหลากหลายแบบกับเด็กทั้งสองคน ให้พวกเขาได้เล่นสมวัยเด็กของตนอีกครั้ง
นึกไม่ถึงว่าของที่เดิมทีใช้เล่นกับเด็ก ๆ วันนี้กลับได้ใช้ประโยชน์ขึ้นมาจริง ๆ
มู่ซืออวี่ใช้อุปกรณ์สกีไถลไปมาอย่างปราดเปรียวบนพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
ทุกคนต่างอึ้งตะลึงงัน
“ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ?”
“หิมะมีแรงต้านทาน แต่เราไถลไปได้” มู่ซืออวี่กล่าว “ของสิ่งนี้ทำง่าย ข้าจะให้คนงานเร่งทำออกมาสักหลายสิบชุด พวกท่านจะได้ใช้งาน สิ่งที่พวกท่านต้องทำในตอนนี้คือเรียนรู้ทักษะวิธีใช้ให้เร็วที่สุด คนในหมู่บ้านไป่หลี่อยู่ในสถานการณ์คับขัน ชาวบ้านในพื้นที่ย่อมต้องหาวิธีช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน ฉะนั้น พวกท่านอย่าได้กังวลมากไป เดี๋ยวจะกระสับกระส่ายจนไม่สามารถเรียนรู้ได้”
“ฮูหยินเติบโตมาอย่างไรกันนะ” นักการเกาแตะแขนเซี่ยคุน “พี่เซี่ย ข้ายอมรับนับถือคนไม่มาก ใต้เท้านับเป็นหนึ่งคน ฮูหยินพวกเรานับเป็นอีกหนึ่งคน”
เซี่ยคุนพยักหน้าน้อย ๆ “เป็นสตรีที่ชาญฉลาดจริง ๆ”
“นางจึงได้ให้กำเนิดเด็กอย่างฉาวอวี่ออกมาอย่างไรเล่า” เวินเหวินซงเอ่ย “ดูท่าทีราวกับผู้ใหญ่ของเด็กอย่างฉาวอวี่สิ นั่นคือใต้เท้าคนที่สองเชียวนะ อนาคตของเขาย่อมไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน!”
การเล่นสกีถือเป็นทักษะอย่างหนึ่ง สำหรับยอดฝีมืออย่างนักการเกาและลู่อี้แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเรียนรู้ได้เข้าใจ
ลู่อี้เลือกนักการที่เรียนรู้ได้ไม่เลวมาจำนวนสามสิบคนด้วยตนเอง จากนั้นนำนักการเกา เซี่ยคุน และคนอื่น ๆ รุดไปยังหมู่บ้านไป่หลี่
ส่วนมู่ซืออวี่พาลู่จื่ออวิ๋นไปเล่นสกีท่ามกลางหิมะ
“อวิ๋นเอ๋อร์” ฟ่านเหยี่ยนโบกมือให้นาง “นี่มีอะไรสนุกหรือ? ข้าเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นสวมชุดฤดูหนาวสีแดง ห่อหุ้มร่างกายเสียกลมราวกับลูกหมีน้อย นางมีหน้าตาเฉลียวฉลาดน่ารักน่ามอง ไม่ว่ามองอย่างไรก็ยังดูสวยงาม
ปิ่นปักผมรูปทรงเขาเล็ก ๆ สองชิ้นบนศีรษะนางมีมุกดอกไม้ดูนุ่มฟู ทำให้นางดูประหนึ่งเป็นเทพธิดาน้อยผู้หนึ่งขึ้นมาจริง ๆ
“สำนักศึกษาของพวกท่านก็หยุดพักเช่นกันหรือ?”
“ใช่แล้ว” ฟ่านเหยี่ยนตอบ “ถึงแม้สำนักศึกษาจะได้รับการซ่อมแซมใหม่แล้ว ทว่าหิมะทำให้ทุกคนไม่อยู่ในอารมณ์จะเรียนหนังสือ ท่านอาจารย์จึงให้วันหยุดพวกเรา”
ลู่ฉาวอวี่เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าอยากเรียนหรือ? ไปเถอะ!”
ฟ่านเหยี่ยนโน้มตัวเข้ามา “อวิ๋นเอ๋อร์ พวกเรามาเดิมพันกันเป็นอย่างไร?”
“เดิมพันอะไร?” ลู่จื่ออวิ๋นถามเสียงเจื้อยแจ้ว
“เดิมพันว่าข้าจะเรียนรู้ได้เมื่อไหร่” ฟ่านเหยี่ยนกล่าว “หากเจ้าชนะแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าหนึ่งอย่าง หากเจ้าแพ้ เช่นนั้นเจ้าต้องเล่นกับข้า”
“ได้ เช่นนั้นมาเดิมพันกันเถิด!”
มู่ซืออวี่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง มองเด็ก ๆ เล่นกันอยู่ในสวน จากนั้นเหลือบมองฟ่านเหยี่ยน ก่อนจะละสายตาไปอีกครั้ง
จื่อซูส่งชาดอกไม้มาให้นาง “ฮูหยิน คุณชายฟ่านผู้นี้เป็นองค์ชายห้าจริง ๆ หรือเจ้าคะ เขาไม่มีท่าทีวางอำนาจแม้แต่น้อย”
“ตอนนี้เขายังเล็ก เป็นองค์ชายเรื่อยเปื่อยผู้หนึ่ง ไม่มีท่าทีวางอำนาจก็ไม่แปลก”
อนาคตไม่แน่นอน นางไม่อยากตั้งตนขัดขวางอีกต่อไปแล้ว อย่างไรเสียนอกจากคอยขัดขวาง ‘ผู้กระทำผิด’ ไม่สู้สอนทักษะป้องกันตนเองให้ลู่จื่ออวิ๋นเสียดีกว่า
ณ จวนตระกูลโจว
โจวฟู่กุ้ยย่ำเท้าไปมาอย่างกระวนกระวายใจ
ฮูหยินโจวที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ท่านเป็นอะไรหรือ?”
“สินค้าชุดนั้นสูญหายไประหว่างทาง หากมันตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ตระกูลโจวของเราคงจบสิ้นแล้ว!” โจวฟู่กุ้ยตื่นตระหนกจนปากแทบจะพ่นฟองออกมาแล้ว “ฮูหยิน เจ้าติดต่อตระกูลเจ้าเสียหน่อย ให้พวกเขาช่วยตรวจสอบว่าการขนส่งชะงักงันระหว่างทางหรือว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น”
“ตอนนี้หิมะกีดขวางถนน เป็นธรรมดาที่จะต้องมีชะงักระหว่างทางบ้าง ข้าก็อยากส่งจดหมายให้ตระกูลข้าเช่นกัน แต่ต้องดูก่อนว่าจะส่งจดหมายไปได้หรือไม่”
“นายท่าน ฮูหยิน…” พ่อบ้านเดินเข้ามาจากข้างนอก “คนของศาลาว่าการมาแล้วขอรับ ทั้งยัง…”
พ่อบ้านไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กล่าวจนจบประโยค ต้าหนิวพร้อมกับนักการนับสิบก็บุกเข้ามา
“เถ้าแก่โจว ตามพวกเราไปสักเที่ยวเถอะ!”
“นี่พวกท่านจะทำอะไร”
“หากมีอะไรจะกล่าว เช่นนั้นรอจนถึงศาลาว่าการแล้วค่อยกล่าว” ต้าหนิวสะบัดมือ “นำตัวไป”
โจวฟู่กุ้ยไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน มีเจ้าหน้าที่ทางการอยู่มากมายเช่นนี้ เขาดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์
“นายท่าน…” ฮูหยินโจวร้อนรุ่มใจ “ท่านเจ้าหน้าที่ มีอะไรเข้าใจผิดหรือไม่ นายท่านและใต้เท้าเวินของพวกท่านมีสายสัมพันธ์อันดีเพียงนั้น พวกท่านจะจับเขาไปทำอะไร”
“รอเขาไปถึงศาลาว่าการก่อน ย่อมมีคนบอกเขาว่าเพราะเหตุใด”
โจวฟู่กุ้ยส่งสายตาให้ฮูหยินโจว
ฮูหยินโจวและโจวฟู่กุ้ยเป็นสามีภรรยากันมานานปี ย่อมเข้าใจทันทีว่าหมายถึงสิ่งใด
เขาไม่ให้นางเข้ามาพัวพัน นางจะได้ไม่ต้องถูกจับ เช่นนั้นก็จะได้มีผู้คอยคิดหาหนทางอยู่ข้างนอก
โจวฟู่กุ้ยถูกนักการนำตัวไปแล้ว
ฮูหยินโจวรีบเอ่ยกับพ่อบ้าน “นายน้อยเล่า? รีบไปพานายน้อยกลับมา”
พ่อบ้านนำบ่าวรับใช้ไปยังเรือนวสันต์เพื่อหาตัวโจวป๋อเหวิน โจวป๋อเหวินดื่มจนเมามายแล้ว บ่าวรับใช้จึงรินน้ำแกงสร่างเมาในเรือนวสันต์ให้เขา แล้วนำตัวเขากลับไปเมื่อเขาเริ่มสร่างเมา
หลังจากโจวป๋อเหวินกลับมา เขาก็รีบไปยังศาลาว่าการ ตามหาเวินเหวินซงทันที
“ขออภัยคุณชายโจว ใต้เท้าของพวกเราไม่อยู่ขอรับ” นักการสะกัดโจวป๋อเหวินเอาไว้ ไม่ให้เขาเข้าไปในศาลาว่าการ
เวินเหวินซงไม่อยู่ที่นี่จริง ๆ
ตอนนี้เป็นฤดูกาลที่มีเรื่องราวมากมาย ลู่อี้พานักการเกาและคนอื่น ๆ ไปยังหมู่บ้านไป่หลี่ เวินเหวินซงจึงอยู่ที่นี่ คอยเฝ้าระวังสถานการณ์โดยรวม ในเมืองมีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่ว่างเว้น เขาต้องวิ่งไปมาทุกหนแห่ง ไม่ได้อยู่ในศาลาว่าการ
ส่วนจะเป็นเหตุบังเอิญหรือจงใจนั้น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้แล้ว
“สหายโจว” เวินเหวินซงกลับมาจากข้างนอก ครั้นเห็นโจวป๋อเหวินยืนสูดลมหายใจอยู่นอกประตูจึงเอ่ยว่า “ท่านมาทำอะไรที่นี่? รีบเข้าไปข้างในกับข้าเถิด”