สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 425 ฟากฟ้าเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 425 ฟากฟ้าเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟ

บทที่ 425 ฟากฟ้าเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟ

ลู่จื่ออวิ๋นหันหน้าไปมองลู่อี้ แววตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

ลู่อี้กอดลู่จื่ออวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “ไปเถอะ พ่อจะพาเจ้าไปดู”

“เยี่ยมไปเลย!” ลู่จื่ออวิ๋นรับคำอย่างดีอกดีใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของมู่ซืออวี่แล้ว ในใจพลันกังวลขึ้นมา “ท่านแม่ไม่อาจไปในสถานที่คนพลุกพล่าน”

“ไม่ใช่ว่านางไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้ถูกคนอื่นเบียดเอาได้” ลู่อี้เอ่ย “พวกเรานำคนไปมากหน่อย กันท่านแม่ของเจ้าไว้ตรงกลาง ขอแค่เพียงคนอื่นไม่เบียดนางก็พอแล้ว”

“ดีเจ้าค่ะ!” ลู่จื่ออวิ๋นกอดลู่อี้อย่างดีใจ

ผู้คุ้มกันสิบสองคนนำโดยฉานอีเดินแหวกทางไป พร้อมกับนักการเจ็ดแปดคนที่ลู่อี้นำมา รวมถึงจื่อซูและจื่อเยวี่ยน คนกลุ่มใหญ่ปกป้องมู่ซืออวี่อย่างหนาแน่น

ฟ่านเหยี่ยนเบียดเข้ามา

“อวิ๋นเอ๋อร์ ลงมาเล่นเถอะ!”

“ก็เห็นอยู่ว่าท่านพ่ออุ้มข้าไว้” ลู่จื่ออวิ๋นตอบ “ท่านก็ไปเล่นกับพี่ชายข้าเถอะ ไฉนต้องมาสนใจข้า?”

ฟ่านเหยี่ยนเหลือบมอง ‘ลู่อี้น้อย’ แล้วบ่นพึมพำ “เห็นหน้าบึ้งตึงของพี่ชายเจ้า ข้ารู้สึกราวกับเห็นอาจารย์ในห้องตำรา ลมหายใจถัดไปอาจถูกจับกลับไปอ่านตำราหาความรู้ก็เป็นได้”

ลู่ฉาวอวี่ปรายตามองฟ่านเหยี่ยนแวบหนึ่ง

“จริงสิ ท่านน้าเล็กของเจ้าคนนั้นเล่า?” ฟ่านเหยี่ยนโอบแขนรอบบ่าลู่ฉาวอวี่ “เหตุใดไม่เห็นเขาอยู่ด้วยกันกับเจ้า?”

“เขาถูกสหายชักชวนไปเที่ยวเล่นตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว”

มู่เจิ้งหานมีสหายค่อนข้างมาก ไม่เหมือนลู่ฉาวอวี่ที่ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์นัก

นั่นก็เพราะลู่ฉาวอวี่เย็นชาเกินไป อีกทั้งเป็นบุตรชายของนายอำเภอ ปกติก็ได้ชื่อว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แตกต่างจากเด็กธรรมดาเกินไปอยู่แล้ว ทุกคนจึงกดดันเมื่อเล่นกับเขา สุดท้ายก็ไม่ได้เรียกเขาไปเล่นด้วย

“ไม่เป็นไร อย่าได้ร้องไห้ไป พี่ชายจะเล่นกับเจ้าเอง” ฟ่านเหยี่ยนลากลู่ฉาวอวี่เข้าไปในกลุ่มคน

ลู่ฉาวอวี่ไม่ทันตั้งตัว ถูกลากเข้าไปในกลุ่มคนเสียดื้อ ๆ

“นี่…” มู่ซืออวี่อยากห้ามปรามไว้

ลู่อี้ดึงนางกลับมา “ไม่ต้องเป็นห่วง ส่งคนติดตามไปสักสองคนก็พอแล้ว ปล่อยให้พวกเขาไปเล่นสนุกเถอะ”

นักแสดงกายกรรมเหล่านั้นมาจากดินแดนทางตะวันตก

เมื่อลู่อี้และคนอื่น ๆ มาถึง ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ จึงแหวกทางให้พวกเขาคนแล้วคนเล่า

“ใต้เท้า…”

ชาวบ้านค้อมคำนับคนแล้วคนเล่า

“ทุกท่านถือว่าพวกเราเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ดูต่อเถิด”

เบื้องหน้าร้านแผงลอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เวินเหวินซงเอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผม ทว่ามีมือหนึ่งเอื้อมมาโดนปลายปิ่นปักผมนั้นพอดี

เวินเหวินซงหันกลับไปเห็นใบหน้างดงามของใครบางคน

“แม่นางฮั่ว”

เมื่อฮั่วอวิ๋นซิ่วเห็นเวินเหวินซง ความขัดเขินพลันแวบผ่านแววตาของนาง “ใต้เท้าเวิน”

“เชิญแม่นาง” เวินเหวินซงส่งปิ่นปักผมชิ้นนั้นให้นาง

ฮั่วอวิ๋นซิ่วเขินอายยิ่งกว่าเดิม “ใต้เท้าชอบมันก่อน เช่นนั้นใต้เท้าซื้อเถิด!”

“ได้” เวินเหวินซงล้วงเงินออกมาส่งให้เถ้าแก่

ฮั่วอวิ๋นซิ่วเหลือบมองปิ่นปักผมชิ้นนั้นด้วยความผิดหวัง จากนั้นนางก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป

“แม่นางฮั่ว”

เวินเหวินซงเรียกฮั่วอวิ๋นซิ่วเอาไว้

ฮั่วอวิ๋นซิ่วหันกลับมามอง “ใต้เท้าเวินยังมีอะไรหรือ?”

“ปิ่นปักผมนี้มอบให้เจ้า” เวินเหวินซงส่งปิ่นปักผมให้ฮั่วอวิ๋นซิ่ว

แก้มของฮั่วอวิ๋นซิ่วร้อนประหนึ่งไฟลุก นางโบกมือปฏิเสธแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้ ไม่มีความชอบไม่อาจรับสิ่งตอบแทน”

“อันที่จริงแล้วเดิมทีข้าก็มาซื้อของขวัญให้เจ้า ในเมื่อวันนี้ได้พบหน้ากันแล้ว เช่นนั้นก็นับว่าเป็นโชคชะตาลิขิต” เวินเหวินซงเอ่ย

“ให้ข้าหรือ? เพราะเหตุใด?”

“ไม่นานมานี้ข้าขอให้เจ้าทำเสื้อผ้าให้มากมาย ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้กล่าวอันใด ข้าก็รู้ว่าข้าล้วนได้รับมาในราคาที่ถูกที่สุด เจ้าใจดีเช่นนี้ ข้าจึงอยากตอบแทนสักหน่อย” เวินเหวินซงรู้สึกอายเล็กน้อย “ปิ่นปักผมนี้เหมาะกับเจ้า ทันทีที่ข้าเห็นมัน ข้าคิดว่าหากเจ้าได้ประดับมันจะต้องสวยงามเป็นแน่”

แก้มฮั่วอวิ๋นซั่วแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม

เวินเหวินซงก้าวออกไปพร้อมกับปิ่นปักผมในมือ “ให้ข้าปักให้เจ้าเถิด”

“ข้า…”

ฮั่วอวิ๋นซั่วบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ

เวินเหวินซงปักปิ่นนั้นลงไปบนผมของฮั่วอวิ๋นซั่ว

“เหมาะกับเจ้าดังคาด” เวินเหวินซงมงผมของฮั่วอวิ๋นซิ่วด้วยสายตาชื่นชม

“ขอบคุณ”

“วันนี้ช่างครึกครื้นเสียจริง เจ้าอยู่เพียงคนเดียวหรือ?”

“ข้ากับพี่สาวน้องสาวแยกกันแล้ว”

“เช่นนั้น… หากไม่รังเกียจ ไม่เช่นนั้นพวกเราไปด้วยกันเป็นอย่างไร ข้าก็อยู่คนเดียวเช่นกัน”

“อืม” ฮั่วอวิ๋นซิ่วหลุบตาลง

เด็กคนหนึ่งจากฝั่งตรงข้ามวิ่งเข้ามา

เวินเหวินซงคว้าแขนของฮั่วอวิ๋นซิ่ว ดึงหลบไปข้าง ๆ “ระวัง”

จังหวะนั้นฮั่วอวิ๋นซิ่วล้มลงในอ้อมแขนของเวินเหวินซง ส่วนเด็กน้อยก็วิ่งผ่านพวกเขาไป

ห้วงเวลานั้นราวกับสรรพสิ่งในโลกล้วนหยุดนิ่งลง ทั้งสองต่างรู้สึกถึงสัมผัสของอีกฝ่าย

“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง” สุ้มเสียงของเวินเหวินซงสะท้อนอยู่ในหูของฮั่วอวิ๋นซิ่ว

นางรีบถอนตัวกลับมาทันทีราวกับร่างกายถูกลวก

“ข้า ข้าไปก่อนล่ะ” สิ้นคำนั้น ฮั่วอวิ๋นซิ่วก็วิ่งจากไปแล้ว

สีหน้าของเวินเหวินซงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ

เมื่อครู่ควรระวังให้มากกว่านี้หน่อย เป็นอย่างไรเล่า ทำนางตกใจกลัวจนหนีไปแล้ว

ฟ่านอวี๋นั่งอยู่บนหลังคา เฝ้ามองผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่บนถนน

ปฏิกิริยาระหว่างเวินเหวินซงและฮั่วอวิ๋นซิ่วอยู่ในสายตานาง

นางถือไหสุราเอาไว้ ดื่มลงไปอึกแล้วอึกเล่า แก้มแดงก่ำราวกับอาทิตย์ยามอัสดง ดูไปแล้วงดงาม ทว่าอึมครึมและเศร้าโศกในคราเดียวกัน

จั่วอวิ๋นหู่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนาง

ยามนี้เขาม้วนแขนเสื้อของตนขึ้น ชายเสื้อคลุมของเขาก็ขึ้นมาถึงรอบเอวแล้ว เขาเคยแต่งกายประหนึ่งปัญญาชน ทว่าเวลานี้สภาพไม่ได้เรื่องได้ราวอีกแล้ว

“เป็นอย่างไร? ที่นี่ดีมากใช่หรือไม่?”

“ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ทุกสิ่งในเมืองฮู่เป่ยล้วนมารวมอยู่ในทิวทัศน์เดียวกัน” ฟ่านอวี๋กล่าว “ขอบคุณความตั้งใจของท่าน”

“ข้าไปมาแล้วหลายที่ เมืองฮู่เป่ยเป็นสถานที่ที่น่าอยู่อาศัยที่สุด” จั่วอวิ๋นหู่กล่าว “ที่นี่ดีจริง ๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ…”

การได้พบนางที่นี่

“ไม่ทันรู้ตัว อวิ๋นซิ่วก็ถึงวัยแต่งงานเสียแล้ว ข้างกายยังมีคุณชายคอยเอาอกเอาใจ ทำให้นางยิ้มได้” ฟ่านอวี๋เอ่ย “ข้ามักจะรู้สึกเสมอว่าเมื่อวานนี้ข้าเพิ่งรับนางมา ตอนนั้นนางเพิ่งสิบขวบ ยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสาอะไร”

“อายุท่านก็ไม่ได้มากมายเพียงนั้น ตอนนั้นท่านเพิ่งอายุเท่าใดกัน?” จั่วอวิ๋นหู่เอ่ยถาม

“ยี่สิบปี” ฟ่านอวี๋ตอบ “ข้าเป็นแม่สาวทึนทึกเสียแล้ว”

“ผู้ใดกล่าวเช่นนั้น? ท่านยังไม่แก่สักนิด” จั่วอวิ๋นหู่กล่าว

“อวิ๋นซิ่วถูกคนในครอบครัวขายมา ในตอนนั้นนางคุกเข่าอยู่ที่นั่น บนศีรษะมีหญ้าใบหนึ่งติดอยู่ ข้าไม่เคยเห็นสายตาที่สงบนิ่งเช่นนั้นมาก่อน ราวกับไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว”

จั่วอวิ๋นหู่มองฟ่านอวี๋เอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต

เมื่อฟ่านอวี๋กล่าวถึงเรื่องของฮั่วอวิ๋นซิ่ว แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความเศร้าใจ เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่นางเอ่ยถึงไม่ใช่ผู้อื่น ทว่าเป็นตัวนางเอง นางพรรณนาถึงตนเองได้อย่างหดหู่ ไร้ซึ่งความหวังใด

“ท่านรออยู่ที่นี่” จั่วอวิ๋นหู่พูดขึ้น

ฟ่านอวี๋มองตามจั่วอวิ๋นหู่ที่กระโดดลงบันใดอย่างปราดเปรียว

หลังดื่มไปอึกแล้วอึกเล่า จั่วอวิ๋นหู่ก็กลับมา ในมือเขาถือชุดคลุมตัวหนึ่งเอาไว้

“ท่านสวมใส่เสื้อผ้าบางเกินไปแล้ว ที่นี่ลมแรง สวมนี่เถิด”

“เหตุใดท่านต้องดีกับข้าเช่นนี้?” ฟ่านอวี๋มองจั่วอวิ๋นหู่

จั่วอวิ๋นหู่ยกมือลูบศีรษะตนเอง “วันนั้นข้าฉวยโอกาสกับท่าน แน่นอนว่าต้องรับผิดชอบท่าน”

“วันนั้นท่านทำเพื่อช่วยคน ไม่ได้ตั้งใจ ข้าบอกแล้วว่าไม่ถือสา” ฟ่านอวี๋เอ่ยเสียงค่อย

“แต่… ข้าเป็นบุรุษ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ตั้งใจ แตะไปแล้วก็คือแตะไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ชมชอบท่านแล้ว อย่างไรท่านก็สะบัดข้าไม่หลุด”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท