บทที่ 426 โจวฟู่กุ้ยเปิดปากแล้ว
บทที่ 426 โจวฟู่กุ้ยเปิดปากแล้ว
“ท่านอยากฟังเรื่องของข้าหรือไม่?” ฟ่านอวี๋มองจั่วอวิ๋นหู่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง “หากฟังแล้ว บางทีท่านอาจรู้ว่าสตรีเช่นข้าไม่คู่ควรกับวีรบุรุษอย่างท่าน”
“ได้ ข้าจะฟัง” จั่วอวิ๋นหู่กล่าว “ดูว่าท่านมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ข้ากลัวจนหนีไป”
“ตอนที่ข้าอายุสิบกว่าปี ข้าเข้าร่วมงานปักปิ่นของลูกพี่ลูกน้องของข้า ที่นั่นข้าได้พบกับพี่ใหญ่เหวิน” ขณะที่ฟ่านอวี๋กำลังเล่าเรื่องราวในอดีต บางครั้งนางดูเศร้าใจ บางครั้งกลับแย้มยิ้มออกมา
ทว่าเรื่องราวกลับเจิ่งนองไปด้วยโลหิต
เห็นเช่นนั้นก็พลันหวนนึกถึงอดีตของตน
ลูกพี่ลูกน้องของฟ่านอวี๋และเหวินอวี่เซวียนเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่*[1] งานแต่งถูกทั้งสองตระกูลกำหนดตระเตรียมเอาไว้แล้ว
ฟ่านอวี๋อาศัยอยู่ที่บ้านของลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นมานานหลายปี เล่นด้วยกันบ่อยครั้ง นางจึงได้มีโอกาสพบหน้าเหวินอวี่เซวียนอยู่เสมอ
หนุ่มสาวย่อมโหยหาฤดูใบไม้ผลิของตน หลังจากได้คบหากันเป็นเวลานาน ความรักจึงหยั่งรากลึกในจิตใจของพวกเขา
ทันใดนั้นในวันหนึ่ง บุตรชายของขุนนางขั้นสูงในเมืองหลวงเกิดชอบพอลูกพี่ลูกน้องของนาง พยายามทุกวิถีทางที่จะส่งของกำนัลและบทกลอนสื่อรักมาให้ ทุกครั้งที่ลูกพี่ลูกน้องของนางออกไปข้างนอก อีกฝ่ายก็จะได้รับข่าวอยู่เสมอ
ลูกพี่ลูกน้องของนางถูกอีกฝ่ายตามตื้อไม่ว่างเว้น จิตใจพลันเริ่มคลอนแคลนขึ้นมา
ขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของนางหาวิธีที่จะแต่งกับเขา คนผู้นั้นกลับไปแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางขั้นสูงอีกผู้หนึ่ง สุขภาพของลูกพี่ลูกน้องนางไม่สู้ดีนัก ทว่ายังสู้อุตส่าห์ออกไปพบเขาท่ามกลางสายฝน เพื่อทวงถามคำอธิบายจากปากเขา
วันนั้นลูกพี่ลูกน้องของนางออกไปเพียงลำพัง แต่กลับถูกเหวินอวี่เซวียนอุ้มกลับมา จากนั้นนางก็ล้มป่วยอย่างหนัก เมื่อกลับมาจากประตูยมโลกแล้ว ทั้งสองตระกูลจึงวางแผนที่จะจัดงานแต่งให้พวกเขาอีกครั้ง
ฟ่านอวี๋ไม่ยินยอม เห็นได้ชัดว่าลูกพี่ลูกน้องของนางเป็นอย่างนั้นแล้ว เหวินอวี่เซวียนกลับยังต้องการแต่งงานด้วยอีกหรือ มีสิทธิ์อะไร?
ความรักของฟ่านอวี๋ที่มีต่อเขาบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น นางจะปล่อยให้เขาได้รับความอยุติธรรมได้อย่างไร นางรู้สึกว่าในเมื่อบุรุษสุภาพอ่อนโยนอย่างเหวินอวี่เซวียนไม่ชมชอบนาง เช่นนั้นก็ไม่ควรชอบสตรีที่มีข้อบกพร่องอย่างลูกพี่ลูกน้องของนาง
ด้วยเหตุนี้ นางจึงสารภาพรักกับเขา
ทว่าบังเอิญถูกลูกพี่ลูกน้องของนางที่ป่วยหนักได้ยินเข้าพอดี
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าฆ่าตัวตายในห้องของนางเอง ในคืนก่อนวันแต่งงาน เมื่อข้าเข้าไปหานางในห้องตอนเช้าตรู่ ร่างของนางเย็นเฉียบไปแล้ว พี่ใหญ่เวินจึงออกจากเมืองหลวงท่องไปทั่วใต้หล้านับแต่นั้นเป็นต้นมา สุดท้ายเขาจึงมาหยุดอยู่ที่เมืองฮู่เป่ย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาต้องตาบุตรชายสุดรักของใต้เท้าลู่” ฟ่านอวี๋เอ่ยต่อ “ตระกูลข้าเดิมทีมาจากตระกูลเย็บปักถักร้อย ฝีมือข้าก็ไม่เลวนัก ดังนั้นข้าจึงออกจากตระกูลมาเปิดรับลูกศิษย์ไปทุกหนแห่ง”
จั่วอวิ๋นหู่เป็นคนหยาบกระด้างผู้หนึ่ง เขาจึงไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดปลอบโยนฟ่านอวี๋ ทว่ามองนางด้วยสายตาเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
“หลายปีมานี้ท่านคงรู้สึกผิดมากกระมัง?”
“เป็นข้าที่ฆ่านาง”
ฟ่านอวี๋เงยหน้าขึ้นดื่มสุราอึกสุดท้ายลงไป
“ขอบคุณท่านที่อยู่เป็นเพื่อนข้า พาข้าลงไปได้หรือไม่? ข้าอยากกลับบ้านแล้ว”
ความผิดที่ได้กระทำยามเยาว์วัย นางไม่อาจชดเชยได้ ทำได้เพียงใช้ชั่วชีวิตนี้ของนางชดใช้กลับคืน
“ข้าจะส่งท่านกลับ”
แม้ทุกคนจะไม่อยากแยกจากเพียงใด ช่วงเวลาดี ๆ ก็จบลงภายในเวลาสั้น ๆ วันที่เปี่ยมไปด้วยรสชาติของปีใหม่เคลื่อนผ่านไป ก่อนจะเริ่มศักราชใหม่อย่างเป็นทางการ
วัดต่อมา ลู่อี้มายังที่คุมขัง
โจวฟู่กุ้ยที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ “ใต้เท้าลู่ ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว”
“ได้ยินว่าท่านกำลังหาข้า อยากจะกล่าวอะไรหรือ?”
นักการนำเก้าอี้มาให้แล้วเชิญลู่อี้นั่งลง
ลู่อี้นั่งอยู่นอกประตูห้องขัง มองเงาร่างแก่เฒ่าของโจวฟู่กุ้ย
“ใต้เท้าช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก!” โจวฟู่กุ้ยเงยหน้าขึ้นมา “ข้าครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนาน สุดท้ายจึงได้เข้าใจว่าทั้งหมดล้วนเป็นใต้เท้าที่คิดคำนวณมาเป็นอย่างดี เจ้าลูกหมานั่นพบกับใต้เท้าเวิน ถูกใต้เท้าเวินชักจูงไปใกล้ปากเหวทีละก้าว ควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือ ทุกสิ่งก็เพื่อเรื่องในวันนี้”
“หากท่านเรียกข้ามาเพื่อกล่าวเรื่องไร้สาระเหล่านี้ ข้าคงไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนท่านแล้ว”
“ใต้เท้า เรื่องบิดามารดาท่านไม่เกี่ยวกับตาเฒ่าอย่างข้า”
“ถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังคงปากแข็งอีก” นักการเกาที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “พวกเราตรวจสอบพบว่าในตอนนั้นท่านโกหกเรื่องส่วนผสมของท่านผู้เฒ่าลู่ ทำให้กิจการของท่านผู้เฒ่าลู่ล้มเหลว จากนั้นท่านยังไปพบท่านผู้เฒ่าลู่ที่ชนบทอีกหลายครั้งหลายครา ไหนจะเรื่องทะเลาะกับท่านผู้เฒ่าลู่ หลังจากกลับมาที่บ้านแล้ว ท่านก็เผยต่อหน้าลูกน้องว่าท่านอยากกำจัดใต้เท้าลู่ ลูกน้องของท่านยืนยันได้”
“นั่นเป็นคำพูดยามโมโห” โจวฟู่กุ้ยเอ่ย “ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่ง ถึงแม้ข้าจะรักเงิน อย่างไรก็ไม่กล้าฆ่าคน!”
“ไม่กล้าฆ่าคนงั้นหรือ? สิ่งที่ท่านทำยังเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าฆ่าคนเสียอีก” นักการเกาเอ่ย
“พวกเราตรวจสอบพบแล้วว่าหลายปีมานี้ท่านทำสิ่งใด เดิมทีท่านเป็นเพียงคนงานเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่ท่านกลับขโมยสูตรลับจากบรรพบุรุษของผู้เฒ่าลู่จนได้รับเงินกองโตก้อนแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านนายกล่าวโทษ ท่านจงใจกล่าวหาผู้เฒ่าลู่ ทั้งยังสมคบคิดกับนายอำเภอในตอนนั้นเพื่อทำลายตระกูลของผู้เฒ่าลู่ แบ่งทรัพย์สินของผู้อื่นเท่า ๆ กัน ภายหลังท่านสงบเสงี่ยมเป็นเวลานาน ทว่าไม่กี่ปีต่อมา ตัวตนที่แท้จริงของท่านก็เผยออกมาอีกครั้ง ความมั่งคั่งกว่าครึ่งของตระกูลโจวล้วนมาจากการเหยียบย่ำศพของผู้อื่น”
“ข้ายอมรับ ทว่า…ข้าไม่ได้ฆ่าพี่ลู่และพี่สะใภ้” โจวฟู่กุ้ยกล่าว “เหตุผลที่พวกเขาตาย เป็นเพราะพวกเขาไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน”
“ผู้ใด?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“ท่านปล่อยข้าก่อน ข้าจึงจะบอกว่าเป็นผู้ใด” โจวฟู่กุ้ยต่อรอง “มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้ หากข้าไม่บอกท่านก็ไม่มีผู้ใดรู้ อย่างไรก็ตรวจสอบออกมาไม่ได้”
“เช่นนั้นท่านอยู่ที่นี่อย่างสงบเถอะ เมื่อใดที่อยากพูดก็ค่อยพูด” ลู่อี้ลุกขึ้น
“เจ้า!… ลู่อี้…” โจวฟู่กุ้ยคลานเค้ามาคว้ากรงเหล็ก แล้วตะโกนไล่หลังลู่อี้ไป “ข้าพูดแล้ว! ข้าจะบอกท่าน”
ชิ้ง!
อาวุธลับพุ่งออกมา
“ระวัง!” นักการเกากวัดแกว่งดาบของเขาป้องอาวุธลับเหล่านั้นออกไป
“ตามไป” นักการคนอื่น ๆ ไล่ตามเงาร่างนั้นออกไป
“ใต้เท้า โจวฟู่กุ้ย…” นักการเกามองเข้าไปในห้องขังด้วยความตกตะลึง
โจวฟู่กุ้ยถูกลูกดอกปักเข้าที่ลำคอ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกกว้าง สิ้นลมหายใจไปแล้ว
“ดูเหมือนการตายของท่านพ่อท่านแม่ของท่านซับซ้อนขึ้นมาแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ตายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้” นักการเกาเอ่ย “ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
“ไปที่บ้านตระกูลโจวเดี๋ยวนี้”
บ้านตระกูลโจวเต็มไปด้วยร่างไร้ลมหายใจ
โลหิตสีแดงเข้มสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น แม้กระทั่งดอกไม้สีอื่นในสวนยังแปดเปื้อนด้วยสีแดงของโลหิต ดอกไม้ที่เดิมทีแดงอยู่แล้วกลับกลายเป็นแดงสดยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
“ไม่รอดแม้แต่ชีวิตเดียวขอรับ” ต้าหนิวและเอ้อร์หนิวที่นำนักการค้นหาไปทั่วบริเวณกลับมารายงานลู่อี้
นักการเกาออกมาจากห้องตำรา “ข้าตรวจค้นทั่วแล้ว โจวป๋อเหวินหายตัวไป บางทีเขาอาจยังมีชีวิตอยู่”
“ค้นหาทั่วทั้งเมือง”
“ขอรับ”
ลู่อี้หยิบลูกดอกที่อยู่บนพื้นขึ้นมา
“วัสดุที่ใช้ทำมีลักษณะพิเศษ” เซี่ยคุนเอ่ย “ข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้”
“ดี” ลู่อี้กล่าวเสียงเรียบ “คนตายมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นกลางวันแสก ๆ ลองสอบถามดูว่ารอบ ๆ นี้มีผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือไม่”
สมาชิกนับร้อยของตระกูลโจวถูกกวาดล้างในคราวเดียว ทำให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลไปทั้งเมืองฮู่เป่ย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของตระกูลโจวไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นแม้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทุกคนกลับไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร
“เวรกรรมแท้ ๆ ยังมีเด็กสามขวบด้วย ได้ยินว่าอนุของโจวป๋อเหวินที่ให้กำเนิดเขากลับมาตายเช่นนี้แล้ว”
ชาวบ้านล้วนโจษจันกันเรื่องนี้
เงาร่างหนึ่งเดินผ่านชาวบ้านเหล่านั้นไป
จั่วอวิ๋นหู่เดินถือไหสุราไหหนึ่งมา จู่ ๆ ก็ชนเข้ากับคนผู้นั้นกะทันหัน
ตุ้บ!
ทั้งสองคนปะทะกัน
จั่วอวิ๋นหู่คว้าไหสุราไว้ได้ทัน ส่วนคนผู้นั้นก็รีบกลับมาทรงตัวให้มั่นคง
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?” จั่วอวิ๋นหู่กำลังถามคนผู้นั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับเดินจากไปแล้ว เหลือไว้เพียงท้ายทอยในลานสายตา “เมืองฮู่เป่ยมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง สหายในวัยเด็กที่เติบโตมาเป็นคู่รักกัน