บทที่ 431 พบหน้ากัน
บทที่ 431 พบหน้ากัน
“เจ้าคนนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? คุณหนูของเราต้องการ…”
สาวใช้เพิ่งเปิดปากก็ถูกฉู่หนิงจูห้ามเอาไว้แล้ว
ฉู่หนิงจูได้ยินเสียงของลู่เซวียน จึงหันหน้ากลับมา เมื่อพบว่าเป็นเขา สายตาของนางก็วูบไหวอย่างร้อนรุ่มใจ
เท่านั้นเองลู่เซวียนจึงได้พบฉู่หนิงจู
“แม่นางฉู่” ลู่เซวียนค้อมตัวคำนับ “ขออภัย ข้าเพียงแต่คิดว่าเครื่องประดับนี้เหมาะกับพี่สะใภ้ข้า ไม่ได้คิดจะแย่งเจ้า หากเจ้าชอบก็เลือกเถิด ข้าจะมองหาอย่างอื่น”
“พี่หญิงมู่ยังไม่มาที่เมืองหลวงหรือ?” ฉู่หนิงจูเอ่ยถาม
“ข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากฉาวอวี่ เขากล่าวว่ามีน้องสาวคนใหม่อีกหนึ่งคน ข้าจึงมาที่นี่ ว่าจะเลือกสร้อยอายุยืนให้หลานสาวของข้า เห็นว่าอันนั้นไม่เลว คิดจะนำไปเป็นของขวัญให้พี่สะใภ้สักหน่อย”
“พี่หญิงมู่คลอดลูกแล้วหรือ? ดียิ่งนัก” ฉู่หนิงจูกล่าวด้วยความยินดี “อันที่จริงแล้วข้าชอบทับทิมที่อยู่ข้าง ๆ มากกว่า หากท่านคิดว่าของสิ่งนี้ไม่เลว เช่นนั้นก็ซื้อก่อนเถิด!”
“ได้” ลู่เซวียนเอ่ย “ขอบคุณแม่นางที่ยอมตัดใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” ฉู่หนิงจูมองลู่เซวียน หัวใจพลันเจ็บแปลบขึ้นมา
นึกไม่ถึงว่าเขาจะจำนางไม่ได้จริง ๆ
ถึงแม้นางตั้งใจจะแปลงโฉม ทำให้ผิวคล้ำลง วาดคิ้วให้หนาขึ้น อีกทั้งยังจงใจบีบน้ำเสียงให้ทุ้มต่ำ แต่นางก็ไม่ใช่บุรุษที่แท้จริง จะแยบยลเพียงนั้นได้อย่างไร?
“เช่นนั้น… ข้าต้องไปแล้ว” ฉู่หนิงจูเอ่ย
“แม่นางฉู่ ข้ามีหนึ่งคำถาม” ลู่เซวียนรั้งนางเอาไว้
ฉู่หนิงจูหันมาอย่างรวดเร็ว “ท่านว่ามาเถอะ”
แม้กระทั่งสาวใช้ยังจับความตื่นเต้นในน้ำเสียงของนางได้
ลู่เซวียนรู้สึกเพียงสตรีตรงหน้าช่างน่ารัก สายตาของเขาพลันอบอุ่นขึ้น
“ท่านคล้ายคลึงกับสหายร่วมชั้นผู้หนึ่งของข้าเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอันใดกับเขาหรือไม่ เขาก็แซ่ฉู่เช่นกัน นามหลิง” ลู่เซวียนมองฉู่หนิงจูอย่างคาดหวัง
ฉู่หนิงจูนิ่งเงียบไป
เขาจำไม่ได้จริง ๆ…
ทว่าก็ถูกแล้ว หากเขาจะจำได้ คงจำได้ไปนานแล้ว เขาเพียงแค่ ‘โง่งม’ จนคิดไม่ออกเท่านั้นเอง
“ข้า…” ฉู่หนิงจูไม่รู้ว่าต้องตอบคำถามลู่เซวียนอย่างไร
หากปฏิเสธ นั่นจะไม่เท่ากับว่าหลอกลวงหนักยิ่งกว่าเดิมอีกหรือ? ภายหน้าเรื่องเปิดเผยขึ้นมา เขาจะไม่ยิ่งโมโหกว่าเดิมหรือไร
แต่ถ้ายอมรับ นั่นก็เท่ากับว่าโป้ปดเช่นกัน
นอกเสียจากว่าจะบอกความจริงกับเขา ทว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะแก่การสารภาพแม้แต่น้อย
“คุณหนู พวกเรากำลังรีบนะเจ้าคะ” สาวใช้ช่วยฉู่หนิงจูไว้ได้ทัน
ฉู่หนิงจูจึงเอ่ยกับลู่เซวียน “คุณชายลู่ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ วันนี้ต้องขอตัวก่อนแล้ว”
ลู่เซวียนมองฉู่หนิงจูเดินจากไป
เขารู้สึกว่าคุณหนูฉู่ผู้นี้คลับคล้ายว่ากำลังวิ่งหนีเขา ตาฝาดไปเองหรือ?
…
ปีที่แล้วหิมะตกลงมาอย่างหนัก พืชผลปีนี้ราวกับถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งจริง ๆ ในหลาย ๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหญ้างอกขึ้นมาแม้เพียงกอเดียว ถึงแม้จะงอกขึ้นมาแล้ว ก็ราวกับถูกแม่เลี้ยงเลี้ยงดูมา ล้วนแต่แห้งเหี่ยวแคระแกร็นทั้งสิ้น
หลังจากเผชิญภัยพิบัติจากหิมะ บัดนี้ทั่วทุกหัวระแหงจึงเกิดวิกฤตการขาดแคลนอาหาร
ในท้องพระโรง ลู่อี้ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนาง ฟังขุนนางเอ่ยถึงภัยพิบัติในหลายสถานที่
หัวข้อของวันนี้เป็นภัยธรรมชาติ
“ทุกที่ล้วนไม่สามารถจ่ายภาษีได้ มีเพียงพืชผลของของเมืองฮู่เป่ยเท่านั้น ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” เสนาบดีกรมพระคลังอธิบายสถานการณ์
“เมืองฮู่เป่ย…” ฮ่องเต้ชราที่นั่งอยู่เบื้องบนมองขุนนางอาวุโสเบื้องล่างด้วยสายตาครึ้มทะมึน “สองปีมานี้เรามักจะได้ยินชื่อนี้อยู่บ่อยครั้ง ผู้ใดเป็นนายอำเภอคนก่อนของเมืองฮู่เป่ย?”
จงอ๋องเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ “ทูลเสด็จพ่อ นายอำเภอคนก่อนของเมืองฮู่เป่ยบัดนี้คือใต้เท้าลู่ของศาลต้าหลี่”
“ลู่อี้?” เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ชราพอจะจดจำลู่อี้ที่ถูกเรียกตัวออกมาได้บ้าง “เราจำได้แล้ว ในตอนนั้นได้ยินว่าการจัดการของเมืองฮู่เป่ยดีมาก เราจึงทลายกฎ เลื่อนขั้นใต้เท้าลู่ให้เป็นผู้ช่วยศาลต้าหลี่ ใต้เท้าลู่ หรือว่าดินน้ำในเมืองฮู่เป่ยของท่านแตกต่างจากที่อื่น เหตุใดที่อื่นล้วนประสบภัยพิบัติ มีเพียงเมืองฮู่เป่ยของพวกท่านที่จ่ายภาษีได้ตามปกติ ไม่ได้รับผลกระทบหรือ? ไหนว่ามา”
“ทูลฝ่าบาท…” จากนั้นลู่อี้จึงเอ่ยถึงเรือนปลูกผักในเมืองฮู่เป่ยออกมา
“เรือนปลูกผัก?” ฮ่องเต้รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา “ผู้ใดคิดค้นขึ้น? สามารถเปลี่ยนวิธีการปลูกพืชผลได้จริงหรือ?”
“ปีที่แล้วอากาศเย็นมากเป็นพิเศษ อีกทั้งหิมะนำภัยพิบัติมาให้ราษฎร หากไม่คิดหาวิธี เหล่าราษฎรอาจจะแข็งตายหรือหิวโหยตายได้ พวกเราเลยสร้างเตียงเตา จัดการความหนาวเย็นจากหิมะเสียก่อน จากนั้นจึงใช้เรือนปลูกผักหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติ เพียงแต่นี่เป็นเพียงการทำขึ้นมาครั้งแรกเท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่เคยทดลองทำมาก่อน ไม่ทราบว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร จึงไม่กล้ารายงานเบื้องบนพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดคิดค้นขึ้นมา?”
“นี่เป็นความคิดที่กระหม่อมกับใต้เท้าเวินนายอำเภอคนปัจจุบันปรึกษากันพ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่อาจเอ่ยถึงมู่ซืออวี่ ไม่เช่นนั้นจะสร้างความลำบากให้นาง
ตอนนี้สิ่งที่ฮ่องเต้คนปัจจุบันเกลียดชังที่สุดคือสตรีที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบ้านการเมือง แม้กระทั่งในการปกครองท้องถิ่น
“ไม่เลว หากขุนนางเบื้องล่างเราใช้สมองได้อย่างขุนนางลู่ เราคงกลัดกลุ้มน้อยลงหน่อย” ฮ่องเต้เอ่ย “ขุนนางลู่ ท่านไปสอนวิธีการทำเตียงเตาและเรือนปลูกผักให้กับกรมพระคลัง ให้กรมพระคลังไปจัดการเรื่องนี้ ส่วนเรื่องจัดสรรปันส่วนเงินบรรเทาทุกข์ ให้จงอ๋องไปจัดการเถอะ!”
การจัดสรรเงินบรรเทาทุกข์เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าข้าราชการ ผู้ใดได้รับหน้าที่นี้ล้วนได้รับเงินถุงเงินถัง
หลังออกมาจากท้องพระโรงแล้ว เสนาบดีกรมพระคลังก็รั้งลู่อี้ไว้
“ใต้เท้าลู่”
“ใต้เท้าฟาง”
“ใต้เท้าลู่เป็นผู้มีทักษะในการปกครองท้องถิ่นที่ยอดเยี่ยม เหตุใดจึงไปที่ศาลต้าหลี่เล่า? คนเช่นท่านควรมาที่กรมพระคลังของเราจึงจะถูก” เสนาบดีกรมพระคลังฟางหยวนเจิ้งทอดถอนใจ
“ใต้เท้าลู่ไม่เพียงเยี่ยมยอดในการปกครองท้องถิ่นเท่านั้น เขายังเก่งกาจด้านตรวจสอบคดีต่าง ๆ เป็นที่สุด” หลินอี้เจี๋ยโผล่มาจากข้างหลัง “ใต้เท้าลู่ รีบเร่งเข้าล่ะ วันนี้ยังมีอีกหนึ่งคดีที่ท่านต้องติดตาม”
ลู่อี้ประกบมือแล้วกล่าวขอรับ
ฟางหยวนเจิ้งแค่นเสียงหึ “ศาลต้าหลี่ทั้งวันล้วนเต็มไปด้วยคดีมากมาย ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนตายมากมายเพียงนั้นมาจากที่ใด กล่าวแล้วยังเป็นศาลต้าหลี่ที่ไร้ความสามารถ ถึงได้ทำให้เจ้าฆาตกรมั่นใจถึงเพียงนี้”
“หากใต้เท้าฟางคิดว่าศาลต้าหลี่ไร้ความสามารถ ไม่สู้ข้าไปขอคำแนะนำจากฮ่องเต้ ให้ใต้เท้าฟางมาดูแลศาลต้าหลี่เป็นอย่างไร?” หลินอี้เจี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านคิดว่าข้าเกรงกลัวท่านงั้นรึ?”
“แน่นอนว่าใต้เท้าฟางไม่เกรงกลัว” สิ้นคำนั้น หลินอี้เจี๋ยจึงหันไปกล่าวกับลู่อี้ “ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งชั่วยาม หากภายในหนึ่งชั่วยามยังไม่กลับมา ข้าจะถือว่าเจ้าละเลยต่อหน้าที่”
ลู่อี้ “…”
ดูเหมือนศาลต้าหลี่จะไม่ค่อยกลมเกลียวกับกรมพระคลังนัก
อย่างน้อยขุนนางอาวุโสสองท่านนี้ก็ไม่ค่อยลงรอยกัน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ใต้เท้าทั้งสองท่านไม่กระดากอายใต้เท้าลู่หรือ? ใต้เท้าลู่รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้สอนกรมพระคลังเชียวนะ”
“องค์ชายรอง…” ใต้เท้าทั้งสองค้อมคำนัก
องค์ชายรองสะบัดมือ “ไม่ต้องมากพิธี”
ลู่อี้ค้อมคำนับองค์ชายรอง
“ข้ามักจะได้ยินท่านพ่อตาเอ่ยถึงใต้เท้าลู่บ่อยครั้ง” องค์ชายรองเอ่ยกับลู่อี้ “ใต้เท้าลู่น่าสนใจยิ่งกว่าที่คาดไว้เสียอีก”
“องค์ชายชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ลู่อี้รู้ว่าพ่อตาขององค์ชายรองคือเจียงเก๋อเหล่า
“ข้ามีโรงม้าอยู่นอกเมือง ปกติมักจะไปขี่ม้าที่นั่น หากใต้เท้าลู่มีเวลาว่างก็แวะมา” องค์ชายรองหัวเราะ “ข้าเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก ทว่าข้าชมชอบบรรยากาศที่อบอวลด้วยความรัก ฝีมือบรรเลงผีผาของแม่นางหลี่ว์ซู่จากหอร้อยบุปผาเยี่ยมยอดนัก ค่ำคืนนี้นางจะขึ้นทำการแสดง ใต้เท้าลู่อยากไปชมด้วยกันหรือไม่?”
“องค์ชายกล่าวชวน ข้าน้อยปฏิเสธคงเป็นการไม่เคารพแล้ว”