บทที่ 434 หากจะให้ยอมสยบ ข้าต้องการเขา
บทที่ 434 หากจะให้ยอมสยบ ข้าต้องการเขา
หลายชั่วยามต่อมา คนที่ส่งไปสอบถามข่าวคราวกลับมาแล้ว เขารายงานกับซูเซิ่งสองสามคำ
ซูเซิ่งไปหาฟ่านหยวนซี เล่าเรื่องที่ผู้ประสบภัยคนนั้นบอกให้ฟัง
“หัวหน้าโจรคนนั้นมีฝีมือและเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก ใต้เท้าลู่ไปที่นั่นเพียงลำพังนานแล้วยังไม่กลับมา ควรตระเตรียมคนไปดูสถานการณ์สักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“แม่ทัพซู แทนที่จะเป็นห่วงเขา ไปทุ่มเทจิตใจวางแผนเดินทางที่กำลังจะมาถึงไม่ดีกว่าหรือ” ฟ่านหยวนซีลูบหัวเสือดาว
ยามนี้เสือดาวตัวนั้นดูเชื่องมาก ราวกับว่ามันไม่ใช่สัตว์ป่าที่เหี้ยมโหด ทว่าเป็นลูกแมวลูกหมาที่คนเลี้ยงดูมา
“ท่านอ๋องอาศัยอยู่ที่เมืองซูโจวมานานหลายปี เมืองซูโจวใกล้กับเมืองฮู่เป่ยมาก ท่านอ๋องรู้จักกับใต้เท้าลู่มาก่อนหรือ?”
หรือว่าลู่อี้ไปล่วงเกินจงอ๋องไว้ ทำให้เขาลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้?
ซูเซิ่งรู้สึกว่าฟ่านหยวนซีจงใจปล่อยให้ลู่อี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น นี่มันเห็นคนกำลังตายแล้วไม่ช่วยชัด ๆ เหตุใดต้องออกคำสั่งที่โหดร้ายเช่นนี้ด้วย?
ถึงแม้ว่าลู่อี้จะแข็งแกร่งกว่าปัญญาชนทั่วไป แต่เขาก็ยังเป็นเพียงปัญญาชนร่างกายอ่อนแอ ให้เขาเผชิญหน้ากับโจรภูเขานับพันเพียงลำพัง นั่นไม่เท่าเอาไข่ไปกะเทาะหิน ถวายร่างกายให้ปีศาจหรอกหรือ?
“มีคนมาแล้ว” รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
ซูเซิ่งหันหน้ากลับไป เห็นเพียงลู่อี้เดินนำชายร่างกายกำยำ แต่งกายเหมือนโจรภูเขาคนหนึ่งลงมาจากภูเขา
“ท่านอ๋อง” ลู่อี้เอ่ยกับฟ่านหยวนซี “หัวหน้าโม่เชิญพวกเราขึ้นเขาไปหารือข้อตกลงในการยอมสวามิภักดิ์พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ ในเมื่อหัวหน้าโม่เชิญชวนอย่างใจกว้าง เช่นนั้นข้าก็จะไปพบนางก็แล้วกัน!” ฟ่านหยวนซีเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งขรึม “ขึ้นเขา”
หนึ่งเค่อ*[1] ต่อมา ฟ่านหยวนซีนั่งอยู่ในโถงรับรองของที่มั่นโจรภูเขา ข้าง ๆ เขาเป็นสตรีเยาว์วัยหน้าตางดงาม รูปร่างเย้ายวน ดวงตาเปล่งประกายคู่หนึ่ง
นางก็คือหัวหน้าโม่ โม่อู๋เว่ย
เดิมทีนางไม่ได้ชื่อโม่อู๋เว่ย นางเคยเป็นแม่นางจากครอบครัวคนธรรมดาครอบครัวหนึ่ง ทว่าด้วยรูปโฉมที่งดงามของนาง จึงถูกอันธพาลเจ้าถิ่นฉุดมาแต่งงาน ทั้งครอบครัวถูกฆ่าตาย โม่อู๋เว่ยหลบหนีมาได้ และได้มาพบกับหัวหน้าโจรภูเขาในตอนนั้น เขารับนางเป็นบุตรบุญธรรม จากนั้นนางก็ติดตามพ่อเลี้ยง ฝึกฝนวรยุทธ์และร่ำเรียนเขียนอ่าน หลังจากพ่อบุญธรรมของนางตาย นางจึงขึ้นเป็นหัวหน้าต่อ
โม่อู๋เว่ยเป็นหัวหน้าได้ห้าปี ตอนนี้ยังไม่ได้แต่งงาน นางต้องการจับผู้ชายสักคนมาเป็นสามีนานแล้ว เมื่อได้เห็นลู่อี้วันนี้ ในใจของนางพลันคันยุบยิบขึ้นมา
“อยากให้กองโจรซวงเฟิงของข้าติดตามพวกท่าน ขอแค่เพียงเขา…” โม่อู๋เว่ยชี้ไปที่ลู่อี้แล้วกล่าวต่อ “เป็นสามีของข้า ทุกสิ่งล้วนต่อรองกันได้”
ฟ่านหยวนซีเคาะโต๊ะเบา ๆ มองลู่อี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ใต้เท้าลู่ ภรรยาที่รักของเจ้าไม่อยู่ข้างกายพอดี มีหัวหน้าโม่เป็นบุปผารู้ภาษาของท่าน*[2] เช่นนี้จะไม่เป็นเรื่องราวที่งดงามมากหรือ”
สายตาของลู่อี้มืดครึ้มลง ดวงตาเย็นชาคู่นั้นเหลือบมองโม่อู๋เว่ย “หัวหน้าโม่ไม่ลองพิจารณาจงอ๋องดูหรือ? ท่านอ๋องเป็นมังกรหงส์ในฝูงชน ยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง กล่าวได้ว่าเป็นบุรุษที่ดียิ่งกว่า”
“ท่านอ๋องดีเพียงใดก็ไม่ใช่อย่างที่ข้าชอบ ข้าชมชอบท่าน พวกท่านอยากให้ข้ายอมสวามิภักดิ์ เช่นนั้นก็ต้องจริงใจเสียหน่อย ไม่อย่างนั้น พวกท่านอย่าได้คิดจะลงจากเขา”
โม่อู๋เว่ยไม่แยแส ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดอย่างแท้จริง
นางกล้าพูดจาอุกอาจทั้งที่จงอ๋องยังอยู่ที่นี่
ถึงกระนั้นโจรภูเขาคนอื่น ๆ ใช่ว่าจะแข็งกร้าวเช่นนาง
โชคไม่ดีที่นางมาพบกับลู่อี้
“ขอบคุณความชมชอบของหัวหน้าโม่ ทว่าชั่วชีวิตนี้ข้ามีเพียงภรรยาเดียว จะไม่แต่งอนุใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าทำให้ภรรยาผิดหวัง ข้ายอมตกนรกหมกไหม้เป็นการลงโทษเสียดีกว่า”
“ภรรยาของท่านดีเพียงนั้นหรือ? หรือว่าข้าไม่งดงามพอ คนที่ลุ่มหลงข้ามีมากมายเพียงนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พวกบุรุษเฝ้าฝันถึงหรือไร”
“นางเป็นสตรีที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้” สายตาของลู่อี้หนักแน่นมั่นคง “ในสายตาของข้า สตรีคนอื่น ๆ ล้วนไม่แตกต่างกัน มีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น”
“ดูเหมือนการยื่นข้อเสนอสวามิภักดิ์ไม่ได้ข้อสรุปอะไร เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้หารือแล้ว” โม่อู๋เว่ยพลันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเพราะความอับอาย
“ไม่มีสิ่งใดให้หารือจริง ๆ” ฟ่านหยวนซีกล่าวนิ่ง ๆ “ข้าไม่อาจกดคอใต้เท้าลู่ ให้เขาแต่งงานกับเจ้าได้”
“จงอ๋องอยากสู้กันงั้นหรือ?”
“สัตว์เลี้ยงของข้าหิวแล้ว” ฟ่านหยวนซีปรายตามองอย่างเย็นชา “ถึงเวลากินแล้ว”
เกิดเสียงดังเอะอะขึ้นมาจากด้านนอก
จากนั้นรองหัวหน้าโจรก็วิ่งเข้ามา ตะโกนบอกโม่อู๋เว่ยว่า “ท่านหัวหน้า! ข้างนอกมีเสือดาวกินพี่น้องของเราลงไปหลายคนแล้ว ตอนนี้จะทำอย่างไรขอรับ?”
โม่อู๋เว่ยชักกระบี่ออกมา
ซูเซิ่งกวัดแกว่งกระบี่ออกไป ทั้งสองเริ่มโรมรันพันตูอยู่ในห้องโถง
ฟังเสียงจากด้านนอก ทหารและโจรภูเขาก็เริ่มต่อสู้กันแล้วเช่นกัน
“หัวหน้าโม่ ข้าแนะนำให้ท่านลองไตร่ตรองดูอีกครั้ง ฝีมือท่านไม่เลว ทว่าพี่น้องของท่านมีฝีมือแค่นี้หรือ?” ลู่อี้เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ในเมืองมีบุรุษมากมายถึงเพียงนั้น ย่อมมีสักคนที่หัวหน้าโม่ชมชอบ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน*[3] หัวหน้าโม่คิดว่าอย่างไร?”
โม่อู๋เว่ยหยุดมือ
“ท่านโกหกข้า!”
“ข้าไม่เคยสัญญาว่าจะแลกเปลี่ยนตนเองเพื่อให้ท่านสวามิภักดิ์ เหตุใดจึงกล่าวว่าโกหกเล่า?”
“ท่านกล่าวว่าขอแค่เพียงข้ายอมจำนน ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรล้วนต่อรองได้”
“ต่อรองได้ ไม่ได้หมายความว่าจะตอบรับ ข้ามีภรรยาและบุตรแล้ว ไม่มีทางแต่งงานกับสตรีอื่น” ลู่อี้กล่าวอย่างเฉยเมย “หัวหน้าโม่เป็นวีรสตรีในหมู่สตรี ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มเพียงนั้น หากวันนี้ข้ายอมรับข้อเสนอของท่าน ละทิ้งภรรยาที่รักได้ ในอนาคตย่อมสามารถนำท่านไปเป็นเงื่อนไขต่อรองได้เช่นกัน”
“ได้ เช่นนั้นพวกเรามาคุยกัน” โม่อู๋เว่ยเอ่ยกับจงอ๋อง “ท่านอ๋อง โปรดควบคุมคนและสัตว์เลี้ยงของท่านเถิด”
รังโจรซวงเฟิงเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ ทว่าบัดนี้เป็นช่วงเวลาของภัยธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ เหล่าราษฎรแทบไม่อาจเอาชีวิตรอด โจรเหล่านี้จะฉกฉวยสิ่งใดได้?
ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักไม่อนุญาตให้พวกเขาออกอาละวาด ไม่ช้าก็เร็วทหารย่อมมากวาดล้างรังโจรที่นี่ แทนที่จะกลายเป็นวิญญาณภายใต้คมดาบ ไม่สู้ฉวยโอกาสช่วงเวลานี้ไปพึ่งพิงราชสำนักดีกว่า
หลังจากปรึกษาหารือแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำข้อตกลงกัน
โม่อู๋เว่ยนำพวกลู่อี้ไปปราบโจรภูเขาบริเวณรอบ ๆ นี้ โจมตีพวกโจรอย่างหนักจนปราชัย ในเวลาเพียงไม่กี่วัน โจรภูเขาในบริเวณนี้ก็กลายมาเป็นกลุ่มกำลังหลักของราชสำนัก
แน่นอนว่าขณะที่ปราบโจรภูเขา ลู่อี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขาสั่งทหารครึ่งหนึ่งนำเสบียงและเงินบรรเทาทุกข์ไปให้ผู้ประสบภัยในเมืองรอบ ๆ
ขบวนบรรเทาทุกข์เดินทางไปจรดตะวันตก แก้ปัญหาเรื่องผู้ประสบภัยไปกว่าครึ่ง เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองฮู่เป่ย ก็พบว่าสถานการณ์ของผู้ประสบภัยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ได้ยินว่ามีผู้ประสบภัยจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังเมืองฮู่เป่ย”
“เมืองฮู่เป่ย? ถึงแม้จะไปถึงที่นั่น ส่วนปกครองของที่นั่นจะควบคุมพวกเขาได้หรือ?”
“ได้ยินว่าควบคุมได้แล้วจริง ๆ”
“เรื่องจริงหรือนี่?”
“ข่าวของข้าเชื่อถือได้มาก จะเป็นความเท็จได้หรือ? นายอำเภอคนปัจจุบันแซ่เวิน ไม่เพียงแต่แจกจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์ ทว่ายังหาหลักแหล่งให้ผู้ลี้ภัยรับพวกเขาเข้าไป พวกเขาบุกเบิกที่ดินรกร้างแล้วอาศัยอยู่ที่นั่น ข้าตั้งใจว่าจะไปเมืองฮู่เป่ย ดูภาพความคึกคักของเมืองฮู่เป่ยสักหน่อย”
“เจ้าไม่ใช่ผู้ประสบภัย เหตุใดต้องวิ่งโร่ไปไกลถึงเพียงนั้น?”
“ข้าอยากพบเถ้าแก่เนี้ยมู่ในตำนาน สตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
“สตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่ง?”
“ไม่ผิด นางเป็นสตรีที่แปลกประหลาดคนหนึ่ง ว่ากันว่านางเป็นคนแนะนำเรื่องบรรเทาทุกข์ให้ใต้เท้าเวิน และผู้ประสบภัยกว่าครึ่งของที่นั่น นางเป็นคนหาหลักแหล่งให้ นางเป็นสตรีที่เปี่ยมไปด้วยรักอันยิ่งใหญ่ในหัวใจ กล่าวกันว่ามีสมบัติล้ำค่าสามสิ่งในเมืองฮู่เป่ย หนึ่งคือลานหรรษา สองคือสะพาน และสามคือเถ้าแก่เนี้ยมู่”
[1] 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาที
[2] บุปผารู้ภาษา เปรียบเปรยถึงสตรีที่งดงามชาญฉลาด
[3] แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน หมายถึง ฝืนใจไปก็ไร้ผลดี