บทที่ 443 หมากกระดานใหญ่
บทที่ 443 หมากกระดานใหญ่
“หากเป็นคนใกล้ชิดท่านอ๋อง เช่นนั้นก็วิเคราะห์จากเบาะแสก่อนหน้านี้ได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่างเช่นรูปร่างเตี้ย”
“ผิวหนังเปลี่ยนสีได้ การติดอ่างก็แสร้งทำได้ ทว่าความสูงเป็นสิ่งที่ติดตัวมา ไม่อาจปลอมแปลง” ลู่อี้เอ่ย “ท่านอ๋องดูแลครูฝึกหลายคน มีผู้ใดเข้าข่ายลักษณะที่ว่านี้หรือไม่? หากหาคนเช่นนี้พบ เช่นนั้นก็ค่อยสืบเสาะตามเบาะแสไป ท้ายที่สุดย่อมต้องพบร่องรอยบางอย่างแน่นอน”
“ข้าไม่เคยสนใจครูฝึกเหล่านี้มาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดตัวเตี้ย?” ฟ่านหยวนซีสงสัย
“คนผู้นั้นหลบอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะนิ่งเฉย ขอเพียงเขาขยับตัวทำบางอย่าง ย่อมดึงดูดความสนใจได้แน่ ต่อให้เขาจะพยายามซ่อนตัวจนถึงที่สุดก็เถอะ” ลู่อี้เอ่ย
“ข้าจะลองกลับไปสอบถามดู” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ครูฝึกสัตว์ร้ายเหล่านั้น ผู้ที่ยินดีติดตามข้าล้วนไปยังเมืองหลวงแล้ว ส่วนผู้ที่ไม่ยินดีติดตาม ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ใด”
“ข้าคิดว่าคนผู้นี้จะต้องอยู่ข้างกายท่านเป็นแน่ เขาตามท่านมาทางทิศตะวันตกเพื่อบรรเทาทุกข์ตลอดทาง เมื่อมาถึงเมืองซูโจวจึงเริ่มสร้างปัญหา” ลู่อี้แสดงความคิดเห็น
“เหตุใดต้องก่อกวนการบรรเทาทุกข์?” โม่อู๋เว่ยเอ่ยถาม
“ข้าคิดว่าคนคนนี้ไม่ได้ต้องการก่อกวนการบรรเทาทุกข์ แต่ต้องการก่อความไม่สงบ” มู่ซืออวี่กล่าว “ตลอดทาง ท่านอ๋องไม่ได้ออกหน้ารับความชอบ ถึงแม้จะเป็นแกนนำบรรเทาทุกข์ แต่ราษฎรคนทั่วไปก็แทบจะไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา หลังกลับไปยังเมืองหลวง แม้กษัตริย์จะมอบรางวัลให้ อย่างไรเขาก็ยังคงเป็นท่านอ๋องไร้อำนาจเช่นเคย หากจัดการท่านอ๋อง อีกฝ่ายย่อมไม่ได้ผลประโยชน์อะไร นอกเสียจากว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือการก่อความไม่สงบ”
“เริ่มแรกเขาทำให้คนโกรธแค้นเพราะหินปูนเผา จากนั้นก็อาศัยชื่อเสียงด้านความโหดร้ายของท่านอ๋อง วางแผนให้ท่านอ๋องตายเพราะเวรกรรมจากสัตว์ป่าที่เต็มไปด้วยความแค้น เมื่อท่านอ๋องตาย ขุนนางในเมืองซูโจวย่อมต้องหาคำอธิบายให้กับราชสำนัก ถึงตอนนั้นความไม่พอใจของราษฎรก็จะทบเท่าทวีคูณ สะสมไปเรื่อย ๆ… อีกฝ่ายคิดจะจุดไฟก่อกบฏจากที่นี่”
“นี่เป็นหมากกระดานใหญ่” ลู่อี้สรุป “ท่านอ๋อง เกรงว่าท่านจะเป็นเบี้ยในมือของอีกฝ่ายมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว”
“ข้าเป็นผู้เล่นหมากมาตั้งแต่เกิด นี่ไม่มีอะไรแปลก” แววตาของฟ่านหยวนซีแฝงความเย้ยหยัน “ผู้ที่ควบคุมหมากต้องอยู่ในเมืองหลวงเป็นแน่ เพราะผู้ที่อยู่ข้างนอกล้วนแต่ไม่เอาอ่าว ช่างเถอะ พวกเราไปกันต่อ ไปบรรเทาทุกข์ แล้วทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะได้กลับไปยังเมืองหลวงและหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมา”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยมีบางอย่างอยากกล่าวกับท่านเพียงลำพัง” ลู่อี้เอ่ย
“ได้ พวกเจ้าทั้งหมดออกไปเสีย ข้าจะพูดคุยกับใต้เท้าลู่สักสองสามคำ” ฟ่านหยวนซีหาที่นั่ง แล้วหย่อนตัวลง
มู่ซืออวี่หันกลับไปมองสามี
เขาพยักหน้าให้นางน้อย ๆ
ในห้องเหลือเพียงฟ่านหยวนซีและลู่อี้เพียงสองคน
“อีกฝ่ายอยากสร้างความโกลาหลในเมืองซูโจว ต้องมีแผนการอะไรบางอย่าง เมืองซูโจวที่เป็นศักดินาของท่าน ทางทิศตะวันออกเป็นที่ศักดินาของหลีอ๋อง ท่านอ๋องรู้จักเสด็จอาผู้นี้มากน้อยเพียงใด?”
ฟ่านหยวนซีมองลู่อี้ “เจ้าสงสัยว่าผู้ที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่เพียงอยากนำศักดินาข้ากลับไป แต่ยังจะถือโอกาสนี้นำศักดินาของหลีอ๋องกลับไปด้วยหรือ? แต่เท่าที่ข้ารู้ หลีอ๋องไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักมานานแล้ว”
“ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวก็ไม่ได้หมายความว่าไร้อำนาจ” ลู่อี้เอ่ย “ได้ยินมาว่า หลีอ๋องเป็นโอรสคนโปรดของฮ่องเต้องค์ก่อนตั้งแต่ยังเล็ก เดิมทีแผ่นดินนี้หมายมั่นว่าจะยกให้เขา ทว่าในคืนสิ้นพระชนม์ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงเขียนพระราชโองการมอบบัลลังก์ให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หลังจากนั้นหลีอ๋องจึงได้รับที่ดินศักดินามาส่วนหนึ่งและไม่กลับไปเมืองหลวงอีกเลย ท่านไม่รู้สึกว่าเขาเป็นเสี้ยนหนามตอหนึ่งหรือ?”
“เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เจ้าสงสัยว่าเป็นเขา…” มีความเป็นไปได้ว่า ‘เสด็จพ่อ’ ผู้ไร้เหตุผล ไร้น้ำใจ ไร้คุณธรรมของเขาจะทำเรื่องนี้จริง ๆ
“อาจเป็น ‘เขา’ ท่านอ๋องก็น่าจะทราบ มีผู้คนมากมายอยากแบ่งเบาความกังวลให้เขา หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนผู้นั้นจะต้องยินดีเป็นแน่” ลู่อี้กล่าวต่อ “หลีอ๋องเงียบมานานเกินไปแล้ว ท่านอ๋องเคยคิดจะไปพบท่านอาผู้นี้หรือไม่?”
“ลู่อี้ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ฟ่านหยวนซีถาม “ข้าเป็นเพียงเบี้ยไร้ค่าตัวหนึ่ง เจ้าอยู่กับข้าไปก็ไม่ได้อะไร”
“เป็นเบี้ยไร้ค่าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นเป็นใคร ท่านอ๋องเพียงแค่ใส่ใจกับกระดานหมากของตนเองก็พอ จะกังวลมากมายไปไย?”
“ลู่อี้ ตอนนี้เจ้าไม่กลัวข้าแล้วหรือไร! เมื่อก่อนเจ้ายังไม่อวดดีถึงเพียงนี้”
ลู่อี้ได้รับบาดเจ็บ เขาจึงต้องพักฟื้นสักระยะ ไม่อาจเดินทางกับขบวนได้อีก ฟ่านหยวนซีจึงบอกให้สองสามีภรรยากลับไปยังเมืองฮู่เป่ยเพื่อพักฟื้น หากบาดแผลหายดีแล้วค่อยตามขบวนไป หลังจากนั้นก็กลับเมืองหลวงพร้อมกัน
แน่นอนว่ามู่ซืออวี่ยินดียิ่ง จนถึงตอนนี้ ลู่อี้ก็ยังไม่เห็นเสี่ยวชิงเอ๋อร์ นางไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าในใจกลับผิดหวังมาก นางรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของลู่อี้ เขามีภาระใหญ่หลวง เป็นไปไม่ได้ที่จะผละจากจงอ๋องเพื่อกลับมามีความสุขกับครอบครัว
หลังแยกจากจงอ๋องและคนอื่น ๆ แล้ว มู่ซืออวี่ก็พาลู่อี้กลับไปเมืองฮู่เป่ย
ส่วนเรื่องราวในซูโจว ต่อให้ขาดลู่อี้ไปหนึ่งคน พวกเขาย่อมหาคนมาจัดการได้ นอกจากนี้ คนในเงามืดเหล่านั้นก็เผยเจตนาออกมาแล้ว พวกเขาย่อมไม่รั้งอยู่ในเมืองซูโจวเพื่อสร้างปัญหาอีก สถานการณ์วิกฤตจึงยังไม่เกิดชั่วคราว
ในรถม้า มู่ซืออวี่เห็นสามีขมวดคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่มองออกไปข้างนอก ก็จะหยิบตำรามาขึ้นมาอ่านอยู่เพียงสองหน้าซ้ำ ๆ นางจึงเอ่ยถาม “ปวดแผลหรือ?”
ลู่อี้ส่ายหน้า
“เช่นนั้นกระหายหรือ?” สิ้นคำนั้น นางก็นำกาน้ำชาออกมาจากช่องลับ
“ไม่ใช่” ลู่อี้ชำเลืองมองขนมในช่องลับนั้น “หิวขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ทานอะไรหน่อยเถอะ!”
มู่ซืออวี่จึงนำขนมออกมาแล้วรินชาหนึ่งถ้วย
ลู่อี้ทานด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
“ท่านคิดเรื่องอะไรอยู่? ขนมนี่เป็นขนมที่ท่านไม่ชอบทานเป็นที่สุด แต่ท่านกลับทานลงไปหลายชิ้นแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “คงไม่ใช่เพราะจากบ้านไปนาน กลับมาจึงกระสับกระส่ายกระมัง?”
“ข้ากำลังคิดบางอยู่” ลู่อี้กล่าว “รอเรากลับไปถึงเมืองฮู่เป่ยแล้ว อย่าเพิ่งรีบเข้าบ้าน ข้าต้องไปซื้อของบางอย่าง”
“ท่านจะไปซื้ออะไร?” มู่ซืออวี่สงสัยขึ้นมา “หรือว่าท่านยังไม่ได้ซื้อของให้ลูก จึงต้องไปซื้อของเอาใจพวกเขาก่อน?”
“เอาใจอะไรกัน? ข้าไม่ได้เจอพวกเขานานแล้ว ต้องมอบของขวัญให้เมื่อพบหน้าเสียหน่อย” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ฉาวอวี่และเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เป็นไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบเสี่ยวชิงเอ๋อร์ ข้าที่เป็นพ่อไม่ได้ซื้อแม้แต่สร้อยอายุยืนให้นาง”
ยิ่งลู่อี้คิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา
เป็นดังคาด ไม่ว่าอยู่ข้างนอกเขาจะร้ายกาจเพียงใด เมื่อต้องพบลูกตนเอง ใต้เท้าลู่ก็ยังคงรู้สึกว้าวุ่นใจ
“พวกเขาย่อมไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้” มู่ซืออวี่ปลอบ “แต่หากท่านผู้เป็นพ่อยืนกรานจะซื้อมาให้ได้ พวกเขาต้องมีความสุขอย่างแน่นอน”
หลายวันต่อมา ทั้งคู่ก็มาถึงเมืองฮู่เป่ย
และเพราะลู่อี้ได้รับบาดเจ็บจึงดูซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
ทว่าหลังจากลงจากรถม้า เขาก็มีชีวีตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพามู่ซืออวี่ไปยังหอทองที่เพิ่งเปิดใหม่ในเมืองฮู่เป่ย เพื่อเลือกซื้อเครื่องประดับสวย ๆ ให้นาง รวมถึงซื้อเครื่องประดับเงินเครื่องประดับทองให้เด็ก ๆ มากมาย
หลังออกมาจากหอทอง เขาก็ไปซื้อของอร่อยอีกมากมาย
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์” ฮั่วอวิ๋นซิ่วเรียกลู่จื่ออวิ๋นที่กำลังทำงานเย็บปัก “เจ้ารีบออกไปดูเร็วเข้า มีคนมาหาเจ้า”
ลู่จื่ออวิ๋นเงยหน้าจิ้มลิ้มของนางขึ้นมา “คงไม่ใช่ฉู่เหยี่ยนอีกกระมัง?”
ถึงแม้ลู่จื่ออวิ๋นจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉู่เหยี่ยน แต่เมื่ออยู่ข้างนอกนางก็ยังคงเรียกเขาด้วยชื่อนี้