สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 456 คนรักของฟ่านซือโยว

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 456 คนรักของฟ่านซือโยว

บทที่ 456 คนรักของฟ่านซือโยว

“คดีฆ่าพ่อบ้านเฒ่าตรวจสอบได้ความว่าอย่างไรบ้างแล้ว?”

มู่ซืออวี่ดึงลู่อี้ให้นั่งลง บีบนวดไหล่ให้เขาคลายความเมื่อยล้า

“เจ้าหน้าที่อู่จั้ว*[1] ชันสูตรร่างดูแล้ว สาเหตุการตายของพ่อบ้านเฒ่ามาจากดินถล่ม ในตอนแรกหินคงตกลงมาใส่เขาจึงหมดสติไปทันที จากนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนักเป็นเวลา นานร่างกายจึงชุ่มไปด้วยน้ำ เขาตายอยู่ในป่าอย่างน่าเวทนาเพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไม่นานมานี้มีหินถล่มจริง ๆ ทั้งหมดดูเป็นไปตามเหตุตามผล ทว่ามีคนส่งร่างเขามาถึงหน้าประตูจวนหลีอ๋อง นี่จึงทำให้ดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง”

“พ่อบ้านเฒ่าทำงานในจวนหลีอ๋องอย่างขยันขันแข็งมามากกว่าสิบปี บัดนี้เขากลับตายอนาถอยู่ในป่า คงไม่แปลกหากจะมีคนรู้จักเขาแล้วนำมาส่งหน้าประตูจวนหลีอ๋อง ท่านคิดว่ามีอะไรผิดปกติหรือ?”

“บางทีอาจเป็นสัญชาตญาณจากการไขคดี พวกสตรีมักจะเอ่ยถึงสัญชาตญาณของสตรี ข้าก็มีสัญชาตญาณในการไขคดีเช่นกัน ข้ารู้สึกว่าคนที่ส่งร่างเขามามีเป้าหมาย เป้าหมายคือให้ข้าเห็น”

ศพของพ่อบ้านเฒ่าไม่มีจุดใดน่าสงสัยจริง ๆ กล่าวกันตามเหตุผลแล้วสรุปได้ว่าเขาสิ้นชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ ทว่าจวนหลีอ๋องดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับสาเหตุการตายของพ่อบ้านเฒ่าเป็นอย่างยิ่ง หลีอ๋องที่ล้มป่วยอย่างหนักถึงกับส่งคนมาสอบถามความคืบหน้าของการตรวจสอบคดีนี้สามครั้ง คำพูดทั้งโดยตรงและโดยนัยกล่าวว่าอยากให้พ่อบ้านเฒ่าได้ตายตาหลับ ไม่ต้องการสืบหาเรื่องราวไปมากกว่านี้ เขาจะไม่สงสัยได้อย่างไร?

“จริงสิ จงอ๋องมาที่นี่แล้ว” ลู่อี้เอ่ย “คณะบรรเทาทุกข์หยุดอยู่ที่เมืองฉวงอวี้ เขามาที่เมืองหลีเงียบ ๆ หลายวันนี้ข้าต้องไปอยู่กับเขา”

“ข้าทราบแล้ว” มู่ซืออวี่หยุดไปชั่วขณะ “เช่นนั้นงานเลี้ยงวันเกิด…”

“ในเมื่อท่านอ๋องเชิญ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ! สกุลจ้าวเป็นสกุลใหญ่ในเมืองหลี ครอบครองกิจการมากมาย การที่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลจ้าวมีแต่จะเป็นประโยชน์ แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นก็ถือว่าไปทานอาหาร หลังจากทานอาหารแล้วพวกเราก็กลับ ไม่จำเป็นต้องจำใจสนทนาพาทีกับพวกเขา”

งานวันเกิดครบรอบหกสิบปีของฮูหยินจ้าว ผู้มีหน้ามีตาของเมืองหลีเฉิงล้วนมากันทั้งสิ้น

หลีอ๋องผู้ที่ไม่ได้เผยหน้าออกมาเป็นเวลานานก็แบกร่างกายอิดโรยของตนมาต้อนรับถึงประตูเช่นกัน เพียงแต่สีหน้าของเขาไม่น่าดูชมนัก โผล่หน้ามาเพียงแวบเดียวก็กลับไปพักที่เรือนหลังของจวนจ้าวแล้ว

เมื่อหลีหวางเฟยปรากฏตัวพร้อมกับฟ่านซือโยว ญาติฝ่ายสตรีทั้งหลายจึงค้อมคำนับและเอ่ยทักทาย

มู่ซืออวี่ผู้ที่ติดตามหลีหวางเฟยมาก็ดึงดูดความสนใจของคนมากมายเช่นกัน เมื่อรู้ว่านางเป็นฮูหยินของขุนนาง สายตาแต่ละคู่ต่างเปล่งประกายระยิบระยับ หลังจากนั้นเรื่องราวน่าดูชมมากมายก็เกิดขึ้นตามมา

“พี่หญิงมู่” เย่อิงเกอเข้ามาทักทาย “ทางโน้นมีศาลา ค่อนข้างเงียบสงบทีเดียว ให้ข้าพาท่านไปนั่งตรงโน้นเถอะ!”

“เจ้าบอกว่าฮูหยินจ้าวเป็นท่านป้า เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเจ้ากล่าวถึงมาก่อนเล่า?” มู่ซืออวี่ตามเย่อิงเกอไปยังศาลานั้น จากนั้นจึงถามไถ่กันสองสามคำ

“ไม่กลัวท่านขบขัน อันที่จริงแล้วเป็นญาติที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด” เย่อิงเกอกล่าว “ครึ่งปีก่อน กิจการของข้าไม่ค่อยดีนัก อย่างที่ท่านทราบ ข้ากลับบ้านไปเยี่ยมญาติ ขณะที่ผ่านวัดฉีซาน ข้าอยากเข้าไปจุดธูปขอพรกับพระพุทธองค์ให้อวยพรชีวิตของลูกสาวและข้าให้ปลอดภัยราบรื่น นึกไม่ถึงว่าตอนนั้นเองฮูหยินจ้าวจะถูกโจรป่าไล่ตามมา ข้าจึงนำบ่าวรับใช้กว่าสิบคนไปช่วยนาง”

“ดังนั้นพวกเจ้าจึงได้รู้จักกัน และได้นับถือนางเป็นท่านป้า?” มู่ซืออวี่เอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็โชคดีไม่เลว”

“ฮูหยินจ้าวใจดีมาก นางได้ยินว่าข้าใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวเพียงลำพัง รู้สึกสงสารต่อความโชคร้ายของข้า จึงให้ข้ารั้งอยู่เที่ยวเล่นในเมืองหลีสองสามวัน ทั้งยังแนะนำกิจการให้ข้าได้รู้จักไม่น้อย”

“ข้านึกได้แล้ว เป็นตอนนั้นเองที่กิจการของเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานก็กลายเป็นผู้ทำการค้าที่มั่งคั่งโด่งดังในเมืองฮู่เป่ย” สองสามปีมานี้มู่ซืออวี่ยุ่ง ๆ ทว่าสิ่งที่ควรรู้นางก็ยังรู้

“ไม่ผิด” เย่อิงเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ชีวิตของข้ายากลำบาก ทว่าข้าโชคดี มักจะได้พบเจอผู้ชุบชีวิต ก่อนหน้านั้นเป็นท่านและพี่เซวียน ตอนนี้เป็นท่านป้า”

“ข้าไม่นับว่าเป็นผู้ชุบชีวิตอะไรของเจ้า” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ

“เหตุใดจะไม่นับเล่า? หลังจากได้พบกับพี่หญิงมู่ ข้าก็ตระหนักได้ว่าสตรีสามารถใช้ชีวิตที่เจิดจรัสได้เช่นกัน ถึงแม้ข้าจะไม่ได้มีสติปัญญาล้ำเลิศเท่าพี่หญิง ข้าก็อยากเดินตามรอยท่าน ใช้ชีวิตในเส้นทางที่แตกต่างออกไป”

“ฮูหยิน…” สาวใช้ของเย่อิงเกอเข้ามาหา “ฮูหยินจ้าวเรียกหาท่านเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นข้า…” เย่อิงเกอลุกขึ้น “พี่หญิง ข้าไปแล้วจะกลับมา ท่านอยากไปสนทนากับผู้อื่นหรือไม่?”

“ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ สักพัก” มู่ซืออวี่เอ่ย “หมู่นี้ข้ารู้สึกปวดหัวเพราะอากาศหนาวเย็นเล็กน้อย”

“ได้ เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวพี่หญิงค่อยมาหาข้า” เย่อิงเกอเดินนำสาวใช้คนนั้นไป

มู่ซืออวี่นั่งพิงเสาศาลา

ในที่สุดก็สงบเสียที

จื่อซูและจื่อเยวี่ยนต่างก็ถอนหายใจ

“ฮูหยินโหยวผู้นี้เปลี่ยนไปมาก” จื่อเยวี่ยนเอ่ย “นางเคร่งครัดในทุกประโยค มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่านางกำลังคิดสิ่งใด รอยยิ้มของนางงดงามก็จริง แต่ล้วนเสแสร้งแกล้งทำ”

“นี่ไม่ใช่ว่าปกติหรือ? ฮูหยินของพวกเราบางคราก็เสแสร้งเช่นกัน” จื่อซูพึมพำอยู่ข้าง ๆ

มู่ซืออวี่มองจื่อซูด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ระยะนี้เจ้าอ้วนไปแล้วใช่หรือไม่?”

“ไม่นะเจ้าคะ!” จื่อซูลูบท้อง “ร่างกายของบ่าวกินอย่างไรก็ไม่อ้วน นอกจากนี้แล้ว ทุกวันบ่าวติดตามฮูหยินไปมากมายหลายที่ ย่อยของที่ทานหมดแล้วเจ้าค่ะ”

“ใช่หรือ? ข้ารู้สึกว่าเจ้าอ้วนขึ้น ดังนั้นไม่อาจทานของหวานได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเป็นแม่นางน้อยที่ยังไม่ออกเรือน ไม่มีอะไรให้ต้องใช้เงินมากมาย เงินพิเศษเดือนนี้ไม่มีแล้ว”

จื่อซู “…”

นางไร้เดียงสา ไม่ใช่โง่เขลา

นี่ถือว่าถูกฮูหยิน ‘แก้แค้น’ แล้ว

“ฮูหยิน…” จื่อซูดึงชายเสื้อของผู้เป็นนาย

มู่ซืออวี่เอนตัวอยู่ตรงนั้น เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเกียจคร้าน “พูดดีไปก็ไร้ประโยชน์”

“ไม่ใช่ ท่านลองมองไปทางนั้น…” จื่อซูชี้ไม้ชี้มือ

มู่ซืออวี่มองไปทางที่นางชี้

เห็นเพียงฟ่านซือโยวกำลังกอดกับชายสวมชุดบัณฑิตผู้หนึ่ง

มู่ซืออวี่ “…”

จวิ้นจู่น้อยเอ๋ย หาห้องหับสักห้องหน่อยไม่ได้หรือ? นี่จะโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว กลัวว่าผู้อื่นจะไม่เห็นหรือไร?

“ฮูหยิน ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” จื่อซูกระซิบเสียงเบา

“นี่เป็นจวนจ้าว หากทั้งสองคนทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอยู่ที่นี่ เกรงว่า…” มู่ซืออวี่เอ่ย “แต่เราจะมาร้องแรกแหกกระเชออยู่ที่นี่ก็ไม่ดีเช่นกัน พาลจะทำให้คนเกลียดเอาได้ง่าย ๆ มีเพียงต้องทำเช่นนี้แล้ว…”

มู่ซืออวี่ออกไปจากศาลาพร้อมกับสาวใช้เงียบ ๆ เดินผ่านทางด้านข้าง แสร้งทำเป็นมองหาห้องปลดทุกข์ นางมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “จวนจ้าวก็ใหญ่โตออกเพียงนี้ เพียงแค่จะหาห้องปลดทุกข์ยังหาไม่เจอ จื่อซู เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ถามทางสาวใช้ในจวนให้แน่ชัดหรือ?”

“ฮูหยิน ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้หรือว่านางห่วงเพียงเรื่องกินทั้งวี่ทั้งวัน อย่างอื่นล้วนไม่สนใจเสียหน่อย ตอนนางถามสาวใช้ตัวเล็กผู้นั้น สายตาของนางเอาแต่จับจ้องขนมในมืออีกฝ่าย เกรงว่านางคงไม่ได้ยินแม้เพียงคำเดียว” จื่อเยวี่ยนแสร้งบ่น

ฟ่านซือโยวได้ยินเสียงพูด จึงดึงบัณฑิตผู้นั้นไปซ่อนหลังภูเขาเทียม

เมื่อพวกเขาผ่านไปแล้ว ฟ่านซือโยวจึงออกมา “ซูหลาง ตรงนี้ไม่ปลอดภัย พวกเราแยกกันก่อนเถอะ!”

“ซือโยว เจ้ายังอยากติดตามข้าไปหรือไม่?” ซูถิงเจิ้งคว้ามือเล็ก ๆ ของฟ่านซือโยวมากุม “หากยินดี เช่นนั้นก็ตามข้าไปวันนี้เลยเถอะ!”

“วันนี้? ตอนนี้หรือ?” ฟ่านซือโยวตกตะลึง

“ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว” ซูถิงเจิ้งเอ่ย ข้าจะหาศพที่ร่างกายคล้ายคลึงกับเจ้า จากนั้นทำให้เสียโฉมและโยนลงในสระน้ำ ผู้ใดก็คงมองไม่ออกว่าไม่ใช่เจ้า”

[1] อู่จั้ว คือ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพในสมัยจีนโบราณ เป็นเจ้าหน้าที่ทางการผู้ทำหน้าที่ชันสูตรศพเพื่อหาสาเหตุการตาย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท