สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 460 ช้าไปหนึ่งก้าว

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 460 ช้าไปหนึ่งก้าว

บทที่ 460 ช้าไปหนึ่งก้าว

เมื่อเจี่ยเจี๋ยยอมบอกสถานที่ จือเชียนก็มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที

ครั้นลู่อี้เห็นรอยเท้าบนทางเข้าถ้ำ สีหน้าเขาก็อึมครึมลงยิ่งกว่าเดิม

“ใต้เท้า มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ?” จือเชียนเอ่ยถาม

“เราช้าไปหนึ่งก้าว” หลังเอ่ยจบ เขาก็สาวเท้าเข้าไปข้างใน

หากไม่เห็นด้วยตาตนเองก็ไม่อาจปล่อยให้ความเป็นไปได้หลุดลอยไป

อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงมักโหดร้ายเสมอ เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคาดเดาไว้ พวกเขายังคงช้าไปหนึ่งก้าว

เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมอันย่ำแย่ของที่แห่งนี้และพบต่างหูข้างหนึ่งของมู่ซืออวี่ตกอยู่ที่นั่น ลู่อี้ก็นึกอยากจับคนผู้นั้นมาสับเป็นชิ้น ๆ ทันที

“ท่านแม่…” เจี่ยเจี๋ยร้องไห้ขณะกอดร่างหงซื่อเอาไว้ “ข้าอกตัญญู! ข้ามาช้าไปแล้ว ท่านแม่…”

ลู่อี้มองดูผนัง

บนนั้นมีคำพูดสองสามคำสลักทิ้งไว้ ‘สตรีของเจ้าไม่เลวเลย ข้าชักอยากได้ขึ้นมาแล้ว’

ตัวอักษรที่งดงามดั่งหงส์ร่อนมังกรรำที่ปรากฏราวกับกำลังเยาะเย้ยว่าลู่อี้ไร้ความสามารถ

ใต้เท้าลู่มองถ้อยคำเหล่านั้นอย่างเยือกเย็น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต

คนผู้นี้โอหังยิ่งนัก

อีกทั้งลายมือก็ยอดเยี่ยมยิ่ง

“อยากแก้แค้นให้มารดาของเจ้าหรือไม่?” จือเชียนเอ่ยถามเจี่ยเจี๋ย “ถ้าอยากก็บอกเรื่องที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด!”

“ข้าจะบอก…”

ถึงแม้เจี่ยเจี๋ยจะเป็นสมุนรับใช้ปลายแถว ทว่าเขากลับเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก ชายผู้นี้คอยลอบสังเกตคนที่ติดต่อกับเขามาโดยตลอด

เจี่ยเจี๋ยไม่เคยพบผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง แต่เขารู้ความลับของคนที่ติดต่อด้วย ขอเพียงแค่ทะลวงไปทีละชั้น ย่อมตรวจสอบพบผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดอย่างแน่นอน

“ส่งคนไปทรมานพวกผู้ร้ายหลอกลวงคนที่จับได้ก่อนหน้านี้ หาวิธีเอาข้อมูลมาจากพวกมันให้ได้มากที่สุด” ลู่อี้เอ่ยเสียงเย็น “จำไว้ ข้าต้องการเบาะแส ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีใด! ผู้ที่ล้วงเบาะแสมาได้มากที่สุด หลังจากเรื่องนี้จบลง ข้าจะปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี!”

เจ้าหน้าที่ด้านหลังราวกับถูกฉีดเลือดไก่*[1] ขานรับเสียงดังกึกก้อง

“ใต้เท้า คนเหล่านั้นคงยังไปได้ไม่ไกลนัก พวกเราตามร่องรอยเพื่อไปหา…” จือเชียนเอ่ย “จะต้องพบอะไรบางอย่างเป็นแน่ขอรับ”

“ตามรอยเป็นเรื่องที่เจ้าเชี่ยวชาญ เรื่องนี้ข้ามอบหมายให้เจ้า” ลู่อี้กล่าว

จือเชียนนำคนกลุ่มหนึ่งตามไป แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเจ้าเล่ห์ยิ่ง หากพวกเขากล้าย้ายสถานที่แบบนี้ ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ให้พวกลู่อี้พบ

หลายชั่วยามต่อมา จือเชียนจึงกลับมายังเมืองหลีด้วยมือเปล่า

ลู่อี้ขังตนเองอยู่ภายในห้อง

เมื่อฟ่านหยวนซีมาหาก็พบว่าหน้าประตูมีคนคอยเฝ้าอยู่สองคน สองคนนั้นหยุดเขาไว้

“ใต้เท้าลู่ยอมแพ้แล้วหรือ? ก็ใช่ สตรีน่ะ หากเก่าไม่ไปใหม่คงไม่มา ถึงแม้สตรีเช่นฮูหยินลู่จะหายากก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้”

ประตูเปิดออกมา ลู่อี้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยหน้าตาถมึงทึง “หากจงอ๋องไม่มีเรื่องสำคัญต้องทำ ข้าอาจกระทำความผิดฐานล่วงเกินเบื้องบนแล้ว”

“หากข้าไม่พูดอย่างนี้ เจ้าจะออกมาได้อย่างไร?” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ข้านำเบาะแสใหม่มาให้ อีกประเดี๋ยว เจ้าจะต้องขอบคุณอย่างแน่นอน”

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ลู่อี้และฟ่านหยวนซีก็ออกมาจากข้างใน

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ทางการก็เริ่มปฏิบัติการจับกุมครั้งใหญ่ทั่วทั้งเมืองหลี

การจับกุมครั้งนี้ทำให้เมืองหลีระส่ำระส่ายไปหมด เมื่อพวกเขารู้ว่าจงอ๋องโดนลอบสังหาร จึงต้องไล่ล่านักฆ่า ผู้คนจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น

“นายท่าน คนของพวกเราสูญเสียอย่างหนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าข้อมูลของพวกเราจะรั่วไหลนะขอรับ” ลูกน้องรายงานให้ชายที่นั่งดื่มสุราฟัง

ชายผู้นั้นเล่นกับจอกสุรา “ดูเหมือนว่าจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในหมู่พวกเรา”

“นายท่าน ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี?”

“จะทำอย่างไรน่ะหรือ? แน่นอนว่า…”

ณ จวนหลีอ๋อง เมื่อฟ่านซือโยวได้รับจดหมาย นางพลันเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

ปี้ลวี่มองนาง “จวิ้นจู่ จดหมายมีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ?”

ฟ่านซือโยววางจดหมายไว้แล้วเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหาอะไร พี่หญิงฟางชื่นชอบบทกลอน เจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ นางกำลังทดสอบข้า!”

“คุณหนูฟางช่างน่าสนใจยิ่งนัก นางเขียนบทกลอนมาให้ท่านทุกสองสามวัน ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนางจึงเป็นสตรีมากพรสวรรค์ในเมืองหลี หลายคนกล่าวว่านางและนายน้อย…” ปี้ลวี่เงียบปากไป

จวิ้นจู่ไม่ชอบให้ผู้อื่นเอ่ยถึงนายน้อย ทุกครั้งที่เอ่ยถึงนางล้วนไม่พอใจ สาวใช้ผู้นี้เกือบจะพูดผิดหูแล้ว

ทว่าวันนี้ฟ่านซือโยวเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด นางไม่ได้สนใจสิ่งที่ปี้ลวี่พลั้งปากไปแม้แต่น้อย

“ปี้ลวี่ จู่ ๆ ข้าก็อยากไปวัดฉีซานขึ้นมา” ฟ่านซือโยวเอ่ยขึ้น “ที่จวนมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ข้าอยากไปขอพรจากพระพุทธองค์ให้คุ้มครองฮูหยินลู่ให้ปลอดภัย”

“จวิ้นจู่ดีกับฮูหยินลู่ยิ่งนัก บ่าวจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ ครั้งนี้พวกเราเผากระดาษให้มากหน่อย ขอให้พระพุทธองค์ให้พรฮูหยินลู่”

ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็เคลื่อนออกจากจวนหลี จุดหมายปลายทางของรถม้าคือวัดฉีซาน

ทุกครั้งที่ฟ่านซือโยวไปไหว้พระ นางมักจะอยู่เงียบ ๆ ในสวนกล้วยไม้ด้านหลังภูเขาพักหนึ่งเป็นประจำ ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้อยู่ใกล้ ๆ รวมทั้งปี้ลวี่

“ซูหลาง!” ฟ่านซือโยวร้องเรียกซูถิงเจิ้ง “ข้ามาแล้ว ท่านอยู่หรือไม่?”

ซูถิงเจิ้งเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่

“ข้าอยู่นี่”

“เหตุใดจู่ ๆ ท่านก็ส่งจดหมายมาหาข้า? ครั้งก่อนข้าไม่ได้บอกแล้วหรือ? ระยะนี้พวกเราอย่าเพิ่งติดต่อกันเลย รอพวกใต้เท้าลู่ไปแล้วพวกเราค่อยติดต่อกัน” ฟ่านซือโยวเอ่ยเบา ๆ

“จวิ้นจู่ ข้าคิดถึงท่านแล้ว คิดถึงท่านมากเหลือเกิน หากไม่ได้พบท่าน ข้ารู้สึกราวกับว่าข้ากำลังจะตาย คงห่วงหาอาทรจนต้องล้มป่วยเป็นแน่” ซูถิงเจิ้งคว้ามือฟ่านซือโยวมากุม

“ข้า…” ฟ่านซือโยวอยากจะถอนมือออกมา

“ท่านเป็นอะไรหรือ?”

“เอ๊ะ?”

“นับแต่พบกันที่งานเลี้ยงครานั้น ท่านก็แปลกไป ข้าเขียนจดหมายไปให้ท่านหลายฉบับ ทว่าท่านก็ยังไม่มาพบข้า” ซูถิงเจิ้งมองนางด้วยความรักใคร่ “ท่านรู้สึกเสียใจทีหลังใช่หรือไม่?”

“ข้า…” ฟ่านซือโยวหลุบตาลง “ข้าเพียงคิดว่าวิธีนั้นไม่ค่อยดีนัก ซูหลาง ท่านมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสุดโต่ง ท่านยังสอบขุนนางได้ไม่ใช่หรือ?”

สีหน้าของซูถิงเจิ้งนิ่งงันไปชั่วขณะ

ฟ่านซือโยวจับสังเกตว่าเขามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“ท่านปิดบังอะไรจากข้าไว้ใช่หรือไม่?”

“ไม่” ซูถิงเจิ้งกล่าว “เพียงแต่สอบขุนนางไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น หากข้าสอบตก พ่อแม่ของท่านคง… ท่านไม่ได้เยาว์วัยแล้ว ข้าไม่อยากให้ท่านรอนานมากกว่านี้”

“หากข้ายินดีรอเล่า?” ฟ่านซือโยวเอ่ย “ข้ารับปากท่าน หากท่านไปสอบขุนนาง ข้าจะรอท่านกลับมา ไม่แต่งงานกับผู้อื่น”

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะคุยกันไม่กระจ่าง” แววตาของซูถิงเจิ้งมืดครึ้มลง “ซือโยว ข้าชอบเจ้าจริง ๆ อย่าได้ตำหนิข้า…”

“ท่านจะทำ…”

ฟ่านซือโยวไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค กลิ่นหอมแปลกประหลาดก็ลอยเข้ามาในจมูก จากนั้นนางจึงค่อย ๆ หมดสติไปพร้อมกับศีรษะที่พับลง

ณ จวนหลีอ๋อง

“จวิ้นจู่หายตัวไปงั้นหรือ?” หลีหวางเฟยเกรี้ยวกราด “ปี้ลวี่ บอกทุกอย่างที่เจ้ารู้ให้ข้าฟัง”

“จวิ้นจู่บอกว่านางอยากไปที่วัดฉีซานเพื่อขอพรให้ฮูหยินลู่…” ปี้ลวี่เล่าเรื่องที่นางรู้ทั้งหมดออกมา

ทว่าเพราะนางหวาดกลัว ถ้อยคำที่เอ่ยจึงยุ่งเหยิงปนเป บางครั้งถ้อยคำที่เอ่ยออกมาไม่ปะติดปะต่อกันด้วยซ้ำ

ลู่อี้เดินเข้ามาจากข้างนอก “เจ้าเพิ่งบอกว่าจวิ้นจู่ได้รับจดหมายทุก ๆ สามวันงั้นหรือ?”

“เจ้าค่ะ”

“นางกล่าวว่าเป็นคุณหนูฟางที่ขอให้นางตอบโต้บทกลอน?” ใต้เท้าลู่สงสัย

“ใช่เจ้าค่ะ!”

“จดหมายเล่า?” ลู่อี้เอ่ยถาม

“จดหมายฉบับก่อน ๆ ถูกเผาหมดแล้วเจ้าค่ะ” ปี้ลวี่เอ่ย “แต่เมื่อไม่นานมานี้ จวิ้นจู่ได้รับภาพภาพหนึ่งมา นางชอบภาพนั้นมากจึงเก็บไว้ในช่องลับ นางมักจะนำออกมามองดูครั้งแล้วครั้งเล่า”

[1] ถูกฉีดเลือดไก่ หมายถึง ทำให้ตื่นเต้น ทะเยอทะยาน

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท