บทที่ 462 เขาไม่มีทางตกหลุมพราง
บทที่ 462 เขาไม่มีทางตกหลุมพราง
“เขาไม่มีทางตกหลุมพราง!”
มู่ซืออวี่มองชายใส่หน้ากากตรงหน้า
จากรูปร่างและดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขาอายุไม่มากนัก อายุประมาณยี่สิบต้น ๆ ดูจากท่าทีที่สง่างามและสูงศักดิ์แล้ว พื้นเพของเขาย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ชายผู้นี้พยายามดัดแปลงเสียงตนเอง ทว่าบางอย่างก็แสดงออกมาจากกระดูกดำ หากมาจากจิตใต้สำนึก ใช่ว่าอยากจะปลอมแปลงอย่างไรก็สามารถปลอมแปลงได้
สถานที่แห่งนี้เป็นเรือนหลังเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ห่างไกล ยามกลางวันเต็มไปด้วยเสียงนกร้อง ยามกลางคืนคลอเคล้าไปด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไร ดังนั้นจะต้องเป็นชนบท ไม่ใช่ในเมือง
ชายสวมหน้ากากที่นั่งอยู่ตรงหน้ามู่ซื่ออวี่มองนางนิ่ง ๆ
“หากเจ้าอายุน้อยกว่านี้สักสองสามปีและยังไม่ได้แต่งงาน คุณชายผู้นี้อาจตกหลุมรักเจ้าไปแล้ว เจ้าเป็นสตรีที่น่าสนใจยิ่งนัก น่าสนใจยิ่งกว่าสตรีอื่นใดที่เคยได้พบ”
มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยความสงบ “ข้าไม่สนใจคนวิปริต เจ้าขังข้าไว้ที่นี่ คิดจะทำอะไรกันแน่!?”
“คุณชายผู้นี้อยากรู้นักว่าใต้เท้าลู่ที่เก่งกาจถึงเพียงนั้นจะหาฮูหยินของเขาพบหรือไม่ หรือเมื่อเขาเห็นศพนั่นแล้ว คงจะจำไม่ได้แล้วฝังนางเพราะคิดว่าเป็นเจ้า”
“สามีของข้าฉลาดกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า เขาย่อมไม่ทำผิดพลาดโง่ ๆ เช่นนั้น เอาอย่างนี้ เจ้ามาทำข้อตกลงกับข้าดีหรือไม่?”
“เจ้าเป็นนักโทษของข้า ยังอยากทำการค้ากับข้าอีกหรือ? ลองว่ามาดูสิ หากคุณชายผู้นี้สนใจ บางทีอาจตกลงรับปากเจ้า”
“เจ้าขาดเงินอยู่กระมัง? ที่เจ้าวางแผนหลอกลวงคนพวกนั้น ก็เพื่อเก็บรวบรวมเงินจำนวนมหาศาล ในเมื่อเจ้าขาดเงิน ไม่สู้ปล่อยข้าไปเล่า ข้ารับรองว่าจะให้เงินเจ้าเท่าที่ต้องการ”
“ถึงคุณชายผู้นี้จะโง่งมเพียงใดก็รู้ว่าการเก็บแม่ไก่ออกไข่ทองคำมีประโยชน์กว่าเก็บไข่ทองไว้ ไม่ต้องรีบร้อนไป อีกไม่กี่วัน ข้าจะพาแม่ไก่ออกไข่ทองคำอย่างเจ้าไปจากที่นี่ เจ้าจะได้ทำงานหาเงินให้ข้าอย่างซื่อสัตย์ภักดีแน่ ไม่ต้องห่วง”
สายตาของมู่ซืออวี่จับจ้องอยู่ที่เท้าของเขา
คนเราสามารถสวมใส่หน้ากากเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ทว่ารองเท้าเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักจะถูกละเลยมากที่สุด
เมื่อมู่ซืออวี่เห็นรองเท้าของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าพวกมันมาจากที่ไหน และคนเช่นใดที่จะสามารถซื้อพวกมันได้
นางต้องหาทางหลบหนีออกไป
คนผู้นี้ไม่อยู่ที่นี่ในตอนกลางวัน เขาจะมาปรากฏตัวเพียงกลางคืนเท่านั้น
ดังนั้นช่วงเวลาเดียวที่นางจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ได้มีเพียงตอนกลางวันเท่านั้น
ณ จวนหลีอ๋อง ฟ่านหยวนซีนั่งอยู่ตรงข้ามลู่อี้ ส่วนลู่อี้ยืนอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง เบื้องหน้าเขามีศิลปะภาพอักษรมากมาย และมีสองสามคำที่ชายหนุ่มเพิ่งเขียนลงไป
“ท่านคิดว่าคนผู้นั้นและคนที่เขียนศิลปะภาพอักษรเหล่านี้เป็นคนเดียวกันหรือไม่?” ลู่อี้เอ่ยถามฟ่านหยวนซี
ฟ่านหยวนซีโน้มตัวไปใกล้ ๆ เทียบตัวอักษรที่แตกต่างกัน
“ดูเหมือนจะเป็นคนคนเดียวกันเขียน”
“ภาพอักษรเหล่านี้เป็นของซูถิงเจิ้ง ข้าพบคำเหล่านี้บนผนังคุกน้ำ สิ่งที่พบบนผนังด้านนอกคุกน้ำ เป็นข้อความท้าทายข้า ซึ่งเขียนโดยคนที่จับตัวมู่ซืออวี่ไป”
“ดังนั้น คนที่เขียนตัวอักษรเหล่านี้คือซูถิงเจิ้งหรือ?”
“มิใช่” ลู่อี้เอ่ย “ถึงแม้จะเลียนแบบได้คล้ายคลึงกันมาก ทว่าแต่ละคนมีความเคยชินในการเขียนไม่เหมือนกัน แม้จะพยายามเลียนแบบอีกคนมากเพียงใด อย่างไรก็ยังคงหลงเหลือความแตกต่าง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าตรวจสอบพบอะไรหรือไม่?”
“อักษรนี้ไม่เลว ทั่วทั้งเมืองหลีมีคนที่เขียนตัวอักษรได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไม่มาก ข้ารู้มาว่าซูถิงเจิ้งในวัยเยาว์โดดเด่นไม่น้อย สหายที่คบหาล้วนแล้วแต่มีความสามารถ ข้าให้คนไปตรวจสอบคนเหล่านั้นและสั่งให้พวกเขาเขียนคำเดียวกัน กลายเป็นว่าไม่มีแม้แต่เพียงผู้เดียวที่เข้าข่ายคนที่ข้ากำลังตามหา”
“คนผู้นี้ต้องการเงิน แต่เขาจะนำเงินมากมายเพียงนั้นไปทำอะไร?” ฟ่านหยวนซีกล่าว “หากเขียนอักษรเช่นนี้ออกมาได้ คนอย่างนี้ต้องไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงในเมืองหลีอย่างแน่นอน ทั่วทั้งเมืองหลี เจ้าล้วนตรวจสอบคนเหล่านั้นหมดแล้ว ยังจะมีผู้ใดที่มีความสามารถเช่นนี้อีก?”
“ยังมีอีกคน…” ลู่อี้เอ่ย “คนผู้นั้น… มีความสามารถยิ่งกว่าคนเหล่านี้ ทว่าจะต้องไม่มีผู้ใดสงสัยเขาแน่นอน”
“ท่านชายโม่” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “สกุลจ้าวไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง”
“ใช่! สกุลจ้าวมีหน้ามีตาในเมืองหลี แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดแคลนเงินทอง ทว่าจิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ผู้ใดจะรู้ว่า ‘ท่านชาย’ ผู้หนึ่งกำลังทำสิ่งใดลับหลัง? ครั้งแรกที่ข้าพบคนผู้นี้ก็รู้สึกว่าเขาไร้ที่ติเกินไป ไร้ที่ติถึงขนาดไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียวในเมืองหลีเอ่ยถึงเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเขา ราวกับยกย่องบูชาท่านชายผู้นี้เป็นพระเจ้า ทั้งหมดดูจงใจเกินไป”
ลู่อี้ไปหาหลีหวางเฟย เอ่ยถึงเรื่องที่ตนต้องการตรวจสอบท่านชายโม่
“เหตุใดจึงต้องการตรวจสอบโม่เอ๋อร์?” หลีหวางเฟยเอ่ยขึ้นด้วยความขุ่นเคือง “โม่เอ๋อร์เป็นเด็กที่ดีผู้หนึ่ง เรื่องเช่นนี้เขาไม่มีทางเกี่ยวข้องเป็นอันขาด”
ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ “ฮูหยินของข้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่สอบถามทั่วไปเท่านั้น คงไม่มากเกินไปกระมัง?”
“เหตุใดจะไม่มากเกินไป? ร่างของฮูหยินหาพบแล้วไม่ใช่หรือ? ในเมื่อพบแล้ว เช่นนั้นก็หาวิธีจับตัวคนสังหาร เด็กอย่างโม่เอ๋อร์ผู้ใดกล้าบอกว่าไม่ดีบ้าง ไยท่านต้องตรวจสอบเขา? อีกไม่นานเขาก็ต้องเข้าเมืองหลวงไปสอบขุนนางแล้ว การสุ่มตรวจสอบของเจ้าจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิต มันส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเขา”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่อี้เอ่ยลา “ในเมื่อหวางเฟยเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอีก”
ลู่อี้ไปพบหลีอ๋องอีกครั้ง
หลีอ๋องไม่ได้ร้อนรนเท่าหลีหวางเฟย ทว่ากลับเต็มไปด้วยคำชื่นชมที่มีต่อท่านชายโม่
ลู่อี้เพียงแค่มาทดสอบปฏิกิริยาของจวนหลี เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลีหวางเฟยและหลีอ๋อง ในใจเขาก็พอมีข้อสรุป
“ท่านอาหวัง ยานี้ช่วยรักษาอาการปวดขาของท่านได้ ใช้มันก่อนเถอะ หากใช้ได้ผล ครั้งหน้าข้าจะนำมาให้ท่านอีก”
เอ่ยถึงโจโฉ โจโฉก็มา ‘ท่านชายโม่’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือปรากฏตัวขึ้นในจวนหลีอ๋อง
คนผู้นี้แต่งกายด้วยชุดขาว บรรยากาศรอบกายโดดเด่น รูปโฉมสง่างาม แผ่ประกาย ‘อยู่เหนือเรื่องทางโลกทั้งปวง’ อันสูงส่งออกมา
พ่อบ้านหวังได้รับยาจากท่านชายโม่ น้ำตาไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ “คุณชายช่างดีต่อข้ายิ่งนัก บ่าวเฒ่าคนนี้ไม่รู้ว่าควรตอบแทนท่านอย่างไรดี”
“ท่านอาหวังไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ท่านเห็นข้ามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ก็นับว่าเป็นผู้อาวุโสของข้าคนหนึ่ง ข้ารู้ว่าท่านหลงเหลืออาการปวดขาเพราะช่วยท่านน้าหญิงเมื่อหลายปีก่อน ข้ารำลึกถึงอยู่เสมอ ครั้งนี้ผู้น้อยบังเอิญได้ยาดีรักษาโรคปวดขามา จึงนำมาให้ท่าน”
“ขอบคุณคุณชาย”
ท่านชายโม่สังเกตเห็นว่ามีคนกำลังมองตน จึงมองไปทางสายตานั้น เมื่อเห็นลู่อี้ก็พยักหน้าให้เขาอย่างเป็นมิตร
“คุณชายจ้าว” ลู่อี้เรียกจ้าวจื่อโม่ที่กำลังจะจากไปเอาไว้
จ้าวจื่อโม่หยุดฝีเท้า ประกบมือทักทายแล้วเอ่ยถาม “ใต้เท้าลู่ มีเรื่องอะไรหรือ?”
“คุณชายจ้าวมาพบจวิ้นจู่หรือ?”
“ใช่แล้ว! ได้ยินว่าน้องหญิงได้รับความตระหนก ดังนั้น…” สีหน้าของจ้าวจื่อโม่เต็มไปด้วยความรัก “น้องหญิงถูกประคบประหงมตั้งแต่ยังเล็ก เคยเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหนกัน? หวังว่าภายหน้านางจะจดจำบทเรียนครานี้ได้”
“ได้ยินว่าหวางเฟยตั้งใจจะหมั้นหมายให้จวิ้นจู่กับท่าน เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นแล้ว คุณชายจ้าวยังยินดีมาเยี่ยมนาง ช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง”
“น้องหญิงไม่มีความรู้สึกระหว่างบุรุษสตรีต่อข้า ข้าก็เห็นนางเป็นน้องสาว หากนางยินดี แน่นอนว่าข้าย่อมรักคอยดูแลนาง หากนางไม่ยินดี เช่นนั้นข้าก็จะหาสามีที่เหมาะสมให้”
“อย่างเช่นซูถิงเจิ้งหรือ?”
จ้าวจื่อโม่มีท่าทีประหลาดใจ “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
“ได้ยินว่าซูถิงเจิ้งและคุณชายจ้าวเป็นสหายร่วมเรียนกัน” ลู่อี้เอ่ย “ข้าคิดว่าพวกท่านคงคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างดี”