บทที่ 464 เขาไม่ใช่คนรักของท่าน
บทที่ 464 เขาไม่ใช่คนรักของท่าน
ฟ่านซือโยวรู้สึกว่าความเจ็บปวดทิ่มแทงลงบนอก นางคิดว่าบางทีตนอาจหูฝาดไป มิเช่นนั้นจะได้ยินข่าวที่โหดร้ายและน่ารังเกียจเช่นนี้ได้อย่างไร
“เป็นไปไม่ได้”
ปี้ลวี่พยุงฟ่านซือโยวไว้
ดวงตาของจวิ้นจู่แดงก่ำ เสียงของนางสั่นเครือ “เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“จวิ้นจู่เล่าเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง เช่นนั้นข้าก็จะเล่าเรื่องหนึ่งให้จวิ้นจู่ฟังเช่นกัน” ลู่อี้นั่งลงตรงข้ามนาง ก่อนจะเคาะโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “รินชา”
ปี้ลวี่รีบปล่อยฟ่านซือโยว แล้วก้าวออกไปรินชาให้ลู่อี้
เรื่องเล่าของลู่อี้จึงค่อย ๆ ออกมาจากปากเขา
เมื่อหลายปีก่อน มีแฝดคู่หนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน สองสามีภรรยาทุกข์ใจเพราะครอบครัวของพวกเขาไม่อาจเลี้ยงเด็กได้หลายคนขนาดนั้น พวกเขาจึงขายหนึ่งในนั้นให้ตระกูลผู้มั่งมีจากหมู่บ้านข้าง ๆ เศรษฐีผู้นั้นซื้อเด็กไปในราคาห้าตำลึงเงิน ต่อมาเพราะเขาต้องทำการค้าจึงจากบ้านเกิดไป ออกไปใช้ชีวิตอยู่ภายนอก นับแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กทั้งสองจึงต้องแยกจากกัน
กล่าวไปแล้วก็น่าสนใจยิ่งนัก ไม่นานหลังจากคลอดลูกแล้วสองสามีภรรยาผู้ที่ยากจนถึงขนาดไม่อาจซื้อกางเกงใส่ ดันขึ้นเขาไปเก็บโสมคนมาได้ต้นหนึ่ง โสมคนต้นนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของพวกเขา พวกเขาใช้เงินที่ได้จากการขายโสมคนเริ่มลงมือทำกิจการเล็ก ๆ และเพราะสองสามีภรรยาขยันหมั่นเพียรตรากตรำทำงานหนัก ชีวิตของพวกเขาจึงค่อย ๆ ดีขึ้น ดังนั้นจึงให้ลูกได้เรียนเขียนอ่าน คนผู้นั้นคือซูถิงเจิ้ง
ซูถิงเจิ้งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในตอนแรกเขาสอบผ่านเป็นซิ่วไฉ จากนั้นเขาก็สอบผ่านเป็นจวี่เหริน ในปีที่เขาสอบผ่านเป็นจวี่เหริน พ่อแม่ของเขาก็จากไปทีละคน นับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาจึงเป็นเพียงคนเดียวในครอบครัวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้
เดิมทีวันเวลาก็ผ่านไปอย่างสงบสุข ในตอนนั้นเองซูถิงเจิ้งก็ได้พบกับจวิ้นจู่ เพราะเขาช่วยจวิ้นจู่เอาไว้ จวิ้นจู่จึงส่งของขวัญมาให้หลายครั้ง ตลอดระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้ติดต่อกันนี้ เขารู้ดีว่าสถานะของตนแตกต่างกับจวิ้นจู่ผู้สูงส่ง ทว่าสุดท้ายก็หวั่นไหวและกลายมาเป็นคนรักจวิ้นจู่ แต่อยู่มาวันหนึ่ง ฝาแฝดของเขาก็ปรากฏตัวขึ้น
น้องชายฝาแฝดผู้นี้เป็นผู้ที่ถูกขายไปในตอนแรก ชีวิตของเขาแตกต่างจากซูถิงเจิ้งมาก ไม่นานหลังจากถูกตระกูลผู้มั่งมีซื้อไป ภรรยาของตระกูลนั้นก็ท้องและคลอดลูกชายออกมาหนึ่งคน ในเมื่อเศรษฐีผู้นั้นมีลูกชายของตนแล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเลี้ยงลูกชายให้ผู้อื่นอีกต่อไป เด็กที่ชื่อว่าเซี่ยอวี๋คนนั้นจึงกลายเป็นบ่าวรับใช้ครอบครัวพวกเขา
ตระกูลผู้มั่งมีตระกูลนั้นกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อจุดธูปสักการะ ระหว่างนั้นก็พาเด็กที่ชื่อว่าเซี่ยอวี๋ไปด้วย เซี่ยอวี๋พบกับซูถิงเจิ้ง เมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกัน เขาก็เข้าใจเหตุและผลของเรื่องนี้ในทันที
เซี่ยอวี๋ไม่เต็มใจยอมรับ เห็นได้ชัดว่าเป็นฝาแฝดกัน เหตุใดเขาจึงต้องมีชีวิตอย่างคนรับใช้? แต่พี่ชายฝาแฝดของเขาไม่เพียงมีความสุขจากรักของพ่อแม่ แต่กลับกลายมาเป็นบัณฑิตชื่อเสียงโด่งดัง เดิมทีเพียงแค่เซี่ยอวี๋บอกซูถิงเจิ้ง ซูถิงเจิ้งย่อมไปหาเศรษฐีผู้นั้นแล้วไถ่ตัวเขากลับมา ทว่าเซี่ยอวี๋ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างซูถิงเจิ้งและจวิ้นจู่ก่อน จึงวางแผนขึ้นมาในใจ
“จวิ้นจู่เฉลียวฉลาดเพียงนี้ คงคาดเดาได้แล้วว่าแผนของเขาคืออะไร แผนของเซี่ยอวี๋คือการแทนที่ซูถิงเจิ้ง มีทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้ และล่อลวงจวิ้นจู่ คอยฉกฉวยผลประโยชน์ ซูถิงเจิ้งตัวจริงตายไปนานแล้ว เซี่ยอวี๋เปลี่ยนเสื้อผ้ากับเขา เขาถูกฝังอยู่ข้างหลุมศพของพ่อแม่ในฐานะเซี่ยอวี๋ เศรษฐีผู้นั้นมองร่างซูถิงเจิ้งเพียงอึดใจเดียวก็สรุปว่าเซี่ยอวี๋ตายแล้ว ไม่เข้ามาข้องเกี่ยวอีก”
“นี่เป็นเหตุผลว่า เหตุใดหลายปีมานี้ซูถิงเจิ้งจึงไม่มีภาพวาดและบทกลอนใหม่ ๆ อีกเลย เพราะแม้เซี่ยอวี๋จะพยายามปลอมแปลงลายมือของซูถิงเจิ้งเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพรสวรรค์เช่นนั้น เซี่ยอวี๋รู้ว่าตนไม่ใช่ซูถิงเจิ้งตัวจริง หากผ่านไปนานเข้าอาจจะถูกเปิดโปงได้ง่าย ๆ เขาจึงออกจากสำนักบัณฑิตและหนีจากสหายสนิททั้งหมด จดจ่อเพียงรักษาความสัมพันธ์กับจวิ้นจู่ให้แน่นแฟ้น”
ฟ่านซือโยวกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น “หมายความว่า คนที่ข้าตกหลุมรักถูกฆ่าไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่หลายปีมานี้ข้าถูกผู้ร้ายฆ่าคนหลอกลวงมาโดยตลอดหรือ? ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเขาจึงฆ่าตัวตาย คงปิดไม่อยู่แล้วกระมัง?”
“เขาไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกผู้อื่นฆ่า” ลู่อี้เอ่ย “คนผู้นั้นต้องการใช้ศพสตรีเพื่อหลอกให้ข้าคิดว่าฮูหยินของข้าตายแล้ว”
“ฮูหยินลู่ยังไม่ตายหรือ?” ฟ่านซือโยวสงบลง “ใต้เท้าลู่ ท่านบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า แสดงว่ายังมีเรื่องอื่นอีกใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อเล่าเรื่องให้จวิ้นจู่ฟัง แต่ข้าอยากให้จวิ้นจู่ช่วยคิดย้อนกลับไปว่าสองสามปีที่ผ่านมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง มีคนผู้หนึ่งกำลังราดน้ำมันบนกองเพลิง อยากให้ท่านและซูถิงเจิ้งตัวปลอมผู้นี้ไปให้ไกลจากที่นี่”
“เรื่องที่ข้ารักกับเขา มีเพียงสาวใช้คนก่อนที่พบเข้าโดยบังเอิญ เพื่อที่จะปิดบังเรื่องนี้ ข้าจึงส่งนางไปอยู่ที่เรือนพักตากอากาศ หลายปีมานี้ข้าระวังเป็นอย่างดี ไม่ให้ใครรู้”
“ไม่มีผู้ใดรู้จริง ๆ หรือ?” ลู่อี้มองนาง “ระหว่างที่พวกท่านลอบพบกัน ไม่พบเห็นคนแปลกหน้าบ้างเลยหรือ?”
“แปลก… แปลก… ข้านึกขึ้นมาได้ว่า เวลาเขาชวนข้าไปพบที่โรงน้ำชาข้างนอกหลายครั้ง ข้ามักจะเจอญาติผู้พี่…” ฟ่านซือโยวเอ่ย “ตอนนั้นเขาดูค่อนข้างกระวนกระวายทีเดียว”
“ท่านชายโม่ จ้าวจื่อโม่” ลู่อี้เอ่ยด้วยความสงบ “ท่านแม่ท่านอยากหมั้นหมายท่านให้เขา ท่านดูเหมือนจะไม่ชมชอบญาติผู้พี่คนนี้นัก เพราะเหตุใด?”
“ข้ามีคนที่ชอบแล้ว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชอบบุรุษอื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นญาติผู้พี่ที่เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่*[1] ก็ตาม” ฟ่านซือโยวหลุบตาลง
“จวิ้นจู่ ในเมื่อข้ามาหาท่าน ท่านคิดว่าข้าไม่พบสิ่งใดหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถามนางด้วยสายตาแหลมคม “เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวลือแพร่สะพัดทั่วทั้งเมืองหลี กล่าวว่าจวนหลีอ๋องให้กำเนิดบุตรชายหลายคนแต่กลับรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้ไม่ได้ บอกว่าพวกเขาตายอย่างแปลกประหลาด ตอนนี้เรือนหลังของจวนหลีอ๋องมีสตรีเสียสตินางหนึ่ง คนผู้นั้นเป็นเช่อเฟยคนโปรดของหลีอ๋อง บุตรชายที่นางคลอดออกมาตายแล้ว”
หลังจากลู่อี้กล่าวเช่นนี้แล้วก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ฟ่านซือโยวกำมือแน่น
นางมองลู่อี้สาวเท้าออกไป รู้สึกราวกับบนหน้าอกมีหินขนาดใหญ่กดทับเอาไว้
“ตอนนี้หวางเฟยทำอะไรอยู่หรือ?”
“ฮูหยินอี๋เชิญนางไปดื่มชาเจ้าค่ะ ตอนนี้นางคงจะอยู่ที่จวนจ้าว” ปี้ลวี่กล่าว “จวิ้นจู่ มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
“เจ้ารีบส่งคนไปพาท่านแม่ของข้ากลับมาเดี๋ยวนี้ บอกว่าข้าป่วยแล้ว” ฟ่านซือโยวเอ่ย “พูดให้ดูร้ายแรงสักหน่อย ให้นางกลับมาให้เร็วที่สุด”
หลีหวางเฟยได้ยินว่าฟ่านซือโยวป่วยจึงรีบรุดกลับมาทันที
“โยวหราน…”
“ท่านแม่…”
“เจ้าเด็กคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้ป่วย เหตุใดต้องจงใจทำให้แม่กลัว?” หลีหวางเฟยเห็นฟ่านซือโยวก็รู้ว่าตนถูกหลอกแล้ว จึงลูบอกแล้วนั่งลง
“ท่านแม่ ใต้เท้าลู่ตรวจสอบญาติผู้พี่แล้ว” ฟ่านซือโยวเอ่ย “เขายังเอ่ยถึงการตายของพี่ชายหลายคนในจวนหลีอ๋องหลายปีมานี้ด้วย”
ถ้วยในมือหลีหวางเฟยร่วงหล่นจากมือ
“เขากำลังหาฮูหยินของเขาไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาตรวจสอบเรื่องเก่า ๆ เหล่านี้ได้?”
“หากเรื่องที่ญาติผู้พี่ทำถูกตรวจสอบออกมา เช่นนั้น คนในวังท่านนั้นคง…”
“โยวหราน เจ้าพูดอะไร?” หลีหวางเฟยมองหน้านาง “เจ้ารู้อะไรมา?”
“ข้ารู้นานแล้ว” ฟ่านซือโยวมองหลีหวางเฟย “ข้ารู้นานแล้วว่าข้าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่าน ญาติผู้พี่ต่างหากที่เป็นลูกแท้ ๆ เพื่อที่จะปกป้องทายาทชายของจวนหลี ท่านจึงปรึกษากับพวกท่านน้าใช้กลยุทธ์หลี่ตายแทนถาว*[3] หลายปีมานี้ สาเหตุที่ท่านต้องการให้ข้าแต่งงานกับญาติผู้พี่เพราะท่านอยากให้เขาสืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างในจวนหลีในฐานะลูกเขย ถูกหรือไม่?”
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง เพื่อนรักในวัยเด็กที่เติบโตมาเป็นคู่รัก
[2] เช่อเฟย คือ ตำแหน่งพระชายาซึ่งอยู่ต่ำกว่าหวางเฟยหนึ่งระดับ
[3] ใช้เปรียบเปรยการแทนที่สิ่งหนึ่งด้วยการรับเคราะห์แทนสิ่งนั้น ยอมเสียสละบางส่วนเพื่อแลกกับชัยชนะส่วนใหญ่