บทที่ 468 รีบร้อนที่จะปลีกตัวออกห่าง
บทที่ 468 รีบร้อนที่จะปลีกตัวออกห่าง
หลังจากจ้าวจื่อโม่ถูกจับ ทางสกุลเจ้าก็แทบเสียสติ
ท่านผู้เฒ่าจ้าวรีบรุดไปหาลู่อี้ พูดคุยกับเขาอยู่ในห้องเพียงลำพังเป็นนานสองนาน จากนั้นจึงกลับไปด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ทันทีที่ผู้เฒ่าจ้าวออกไปก็พบกับมู่ซืออวี่ที่กำลังเดินเข้ามาพอดี พอนึกถึงการกระทำของ ‘บุตรชาย’ ผู้นั้น ชายชราก็ได้แต่ทักทายนางด้วยความกระอักกระอ่วน “ฮูหยินลู่ จ้าวจื่อโม่กระทำความผิดร้ายแรงลงไปแล้ว ขอฮูหยินโปรดอภัยให้สกุลจ้าวด้วย ต้องโทษข้า เพราะสถานะที่แท้จริงของจ้าวจื่อโม่ ข้าจึงไม่กล้าห้ามปรามเขาตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยคิดว่าวันหนึ่งหากเขารู้ตัวตนที่แท้จริงจะเกลียดสกุลจ้าว เขาจึงกลายเป็นคนเช่นนี้”
“ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเกลียดสกุลจ้าว” มู่ซืออวี่เข้าใจความกังวลของอีกฝ่าย จึงเผยท่าทีของตนออกมาตามตรง
กรรมใดใครก่อผู้นั้นย่อมต้องชดใช้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไปหาสกุลจ้าวเพื่อชำระหนี้แค้นกับสิ่งที่จ้าวจื่อโม่กระทำ ถึงแม้หัวหน้าสกุลจ้าวจะคิดแต่เรื่องผลประโยชน์เป็นหลักและไม่แยแสผู้อื่น แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปในห้องตำรา
ลู่อี้กำลังเขียนบางอย่าง เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาก็รู้ว่าเป็นนาง
สถานที่สำคัญอย่างห้องตำรา นอกจากฮูหยินลู่แล้ว ผู้อื่นล้วนไม่กล้าล่วงล้ำ
“ท่านรับปากสิ่งใดกับเถ้าแก่จ้าว เหตุใดเขาจึงดูมีความสุขเช่นนั้น ถึงแม้จ้าวจื่อโม่จะไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของเขา อย่างไรก็เลี้ยงดูมาถึงยี่สิบปี เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเขายังยิ้มได้อยู่อีกหรือ ผู้อื่นล้วนกล่าวว่าผู้ทำการค้าให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ ในความคิดข้า คนประเภทนี้ทำให้ชื่อเสียงของคนทำการค้าเช่นเราด่างพร้อย”
“หลายปีมานี้ จ้าวจื่อโม่มีชื่อเสียงดีงาม สกุลจ้าวเติบโตได้อย่างรวดเร็วก็เพราะเขา ถือว่าได้ประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว บัดนี้เกิดเรื่องกับเขา สกุลจ้าวกลับรีบร้อนตัดขาดความสัมพันธ์ กล่าวว่าเขาเป็นเพียงบุตรบุญธรรรม ไม่ได้คุ้นเคยกับสกุลจ้าวแต่อย่างใด อย่าได้ดึงสกุลจ้าวของพวกเขาเข้าไปพัวพันเป็นอันขาด ในเมื่อเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของสกุลจ้าวเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงช่วยเหลือ ให้เขาใช้สมบัติครึ่งหนึ่งของสกุลจ้าวแลกกับความสงบ”
“ครึ่งหนึ่ง? เขารับปากหรือ?”
“เมื่อเทียบกับการยึดทรัพย์ทั้งสกุล การสามารถรักษาสกุลจ้าวครึ่งหนึ่งเอาไว้ได้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก แน่นอนว่าเขาย่อมยินดี”
“แล้วกองกำลังส่วนตัวของจ้าวจื่อโม่เล่า?”
“ขังเอาไว้แล้ว” ลู่อี้ขีดเส้นสุดท้ายลงไป เป่าหมึกบนกระดาษ พับมันแล้วก็สอดเข้าไปในซองจดหมาย “ผู้ใดก็ได้ เข้ามา…”
ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างใน
“นำจดหมายนี้ไปให้เจี๋ยตู้สื่อหลิ่ว”
“ขอรับ”
มู่ซืออวี่ฟังลู่อี้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสองสามวันที่ผ่านมาจึงรู้ว่าเพราะฟ่านหยวนซีและเจี๋ยตู้สื่อหลิ่วนำทหารจำนวนมากไปควบคุมไว้แล้ว จึงสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการกบฏได้
“ครั้งนี้ท่านคิดจะทำอย่างไร?”
“หลีอ๋องเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องดึงเขาเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้” ลู่อี้กล่าวด้วยท่าทีสงบ “จ้าวจื่อโม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของเขาเพียงผู้เดียว กฎหมายว่าไว้อย่างไรก็ต้องเป็นเช่นนั้น”
สกุลจ้าวยินยอมมอบทรัพสินย์ของพวกเขาครึ่งหนึ่งแล้ว ลู่อี้ย่อมต้องปกป้องพวกเขา
หลีอ๋องถูกวางยาพิษ มีเวลาเหลืออยู่ไม่มาก การสาดเกลือใส่บาดแผลไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำ ใต้เท้าลู่ไม่เคยอวดอ้างว่าตนเป็นสุภาพบุรุษ แต่เขาจะไม่สร้างความลำบากใจให้ผู้เฒ่าที่น่าสงสารอย่างแน่นอน
กองทัพส่วนตัว อาวุธ การหลอกลวงผู้คนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจปกปิดคนในวังผู้นั้นได้ ดังนั้นจะเขียนรายงานอย่างไรเล่า จะขอความเมตตาอย่างไรดี ล้วนต้องครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน
มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ นางจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
“ใต้เท้า หลีอ๋องเชิญท่านไปพบที่จวนเพื่อปรึกษาหารือขอรับ” ลูกน้องของเขารายงานจากด้านนอก
“ทราบแล้ว”
ลู่อี้คว้ามือมู่ซืออวี่มากุม “ครั้งนี้หลีอ๋องอาจขอให้ข้าเก็บจ้าวจื่อโม่ไว้ ข้าจะรีบกลับมา แต่หากบ่ายแล้วเจ้ารอข้าไม่ไหวก็ทานก่อนได้เลย ไม่ต้องรอข้า”
“ได้”
ไม่นานหลังจากลู่อี้ไปแล้ว คนจากจวนหลีอ๋องก็มาอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขามาหามู่ซืออวี่โดยเฉพาะ คนที่เชิญนางไปไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฟ่านซือโยว
มู่ซืออวี่ไปยังโรงน้ำชาที่ฟ่านซือโยวบอก เมื่อมาถึงก็เห็นอีกฝ่ายนั่งจ้องคนเล่านิทานนิ่งงัน ดูเหมือนกำลังจดจ่อ ทว่าในความเป็นจริง นางไม่ได้ฟังแม้เพียงคำเดียว
“ฮูหยิน” ปี้ลวี่ค้อมคำนับ
ฟ่านซือโยวหันกลับมามองนาง “มาแล้วหรือ!”
“ฟังสนุกหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามฟ่านซือโยว “เรื่องเกี่ยวกับอะไร?”
“กล่าวกันว่าเป็นบทละครพื้นบ้านชั้นเยี่ยมจากเมืองฮู่เป่ยของพวกท่าน ชื่อว่า ‘คันฉ่องสองด้าน’ ฟังแล้วน่าสนใจจริง ๆ “ฟ่านซือโยวเอ่ย “ท่านชมชอบชาดอกเก๊กฮวย ลองชิมดูสิ นี่เป็นชาดอกเก๊กฮวยที่เพิ่งชงมาใหม่ ๆ หอมยิ่งนัก”
“ขอบคุณ” มู่ซืออวี่นั่งลงข้าง ๆ นาง
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนยืนอยู่ด้านหลัง
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับมู่ซืออวี่ สาวใช้ทั้งสองระแวดระวังขึ้นยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะกับคนจากจวนหลีอ๋อง พวกนางแทบจะเขียนประโยค ‘อยู่ให้ห่างจากฮูหยินของข้า’ ลงไปบนใบหน้าอยู่รอมร่อ
“ข้าน่าขันมากใช่หรือไม่” ฟ่านซือโยวเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ท่านจริงใจต่อข้า แต่ข้ากลับใช้อุบายกับท่านเพื่อเรื่องส่วนตัว ท้ายที่สุด คนรักที่ข้ายอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อเขากลับเป็นตัวปลอม ข้าตกหลุมรักกับชายวิปริตผู้นั้นมาแรมปี ยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งคิดจะหนีไปกับเขา ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนที่ญาติผู้พี่ตัวดีของข้าวางไว้ เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้กับข้า?”
มู่ซืออวี่ฟังอีกฝ่ายรำพึงรำพันอย่างสงบ
หากนางต้องการหาใครสักคนเพื่อระบาย สาวใช้ข้างกายนางเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสาวใช้เข้าใจนางทุกอย่าง พูดแต่สิ่งที่นางต้องการได้ยิน เหมาะแก่การฟื้นฟูสภาพจิตใจมากที่สุด
ดังนั้นการที่ฟ่านซือโยวเรียกนางมาจะต้องไม่ได้อยากพูดคุยปรับทุกข์ธรรมดาแน่
“เรื่องในครั้งนี้ ใต้เท้าลู่จะรายงานเบื้องบนหรือไม่?” ฟ่านซือโยวใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตา
มู่ซืออวี่พยักหน้าเบา ๆ
คนฟังขมวดคิ้ว “หากพระองค์ทราบเรื่องจวนหลีอ๋องหลอกลวงฮ่องเต้ จะเกิดอะไรขึ้น?”
“ความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้มีโทษประหารเก้าชั่วโคตร ทว่าหลีอ๋องเดิมทีก็เป็นพระประยูรญาติของพระองค์ เก้าชั่วโคตรของเขาก็เป็นเก้าชั่วโคตรเดียวกับพระองค์ ดังนั้นอย่างมากก็คงจะยึดทรัพย์สินและประหารทั้งตระกูล”
“ยึดทรัพย์สิน ประหารทั้งตระกูล… เพราะเหตุใด สิ่งที่จ้าวจื่อโม่ทำเหตุใดต้องให้ผู้อื่นชดใช้? ข้าก็เป็นเหยื่อเช่นกัน ไม่ถูกสิ ข้า… ข้าเป็นบุตรสาวสกุลจ้าว ไม่ใช่สกุลฟ่าน” ฟ่านซือโยวลุกขึ้นกะทันหัน “ใช่ ข้าเป็นคนสกุลจ้าว ไม่ใช่สกุลฟ่าน”
ฟ่านซือโยวสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปดื้อ ๆ
ปี้ลวี่รีบตามนางไปทันที
จื่อเยวี่ยนมองตามหลังฟ่านซือโยวแล้วกล่าวว่า “ฮูหยิน เมืองหลีอยู่ห่างไกลเมืองหลวงเพียงนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่น้อยคนนักที่จะรู้ ด้วยนิสัยใจคอของนายท่านแล้ว เขาคงไม่โหดร้ายกับหลีอ๋องเช่นนั้น เหตุใดท่านไม่บอกเรื่องนี้กับโยวหรานจวิ้นจู่หรือเจ้าคะ?”
“ข้าควรบอกอะไรนาง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “นางเชิญข้ามาโรงน้ำชาเพื่อถามเรื่องเหล่านั้น นางถามสิ่งใดข้าก็ตอบไป อย่างอื่นนางไม่ได้ถามข้า ข้าจะพูดได้อย่างไร?”
เมื่อมู่ซืออวี่กลับไปถึงที่พัก ลู่อี้ก็เพิ่งกลับมา
“เหตุใดเจ้าไม่อยู่นิ่งอีกแล้ว?” ลู่อี้เอ่ยถาม “ครั้งนี้เจ้านำคนไปหลายคนหรือไม่?”
“นอกจากจื่อซูและจื่อเยวี่ยนแล้ว ยังมีผู้คุ้มกันลับ ๆ อีกสองคน ท่านวางใจแถอะ ข้าจะระวังตัวให้มาก” มู่ซืออวี่เข้าไปกอดแขนเขา “แต่ว่าวันนี้เกิดเรื่องหนึ่งขึ้นแล้ว”
นางเล่าเรื่องที่ฟ่านซือโยวผิดแปลกไปให้ลู่อี้ฟัง
“ข้าคิดว่าหลีอ๋องและหลีหวางเฟยคงได้ปวดใจอีกครั้ง”
การกระทำของฟ่านซือโยวบ่งบอกชัดเจน นางไม่ใช่คนโง่ มองเพียงแวบเดียวก็ดูออกแล้ว
อันที่จริงนางสามารถปลอบใจและยืนยันให้ฟ่านซือโยวมั่นใจได้ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระตือรือร้นที่จะปลีกตัวออกไป ก็พอจะสรุปได้ว่าจวิ้นจู่ในนามผู้นี้คงไม่ได้มีจิตใจดีนัก