บทที่ 474 คุณหนูตระกูลขุนนางผู้ไม่รู้กฎเกณฑ์
บทที่ 474 คุณหนูตระกูลขุนนางผู้ไม่รู้กฎเกณฑ์
หลังจากจัดแจงเรื่องที่พักแล้ว เจิ้งซูอวี้ก็ตกรางวัลและส่งบ่าวรับใช้สกุลฉินกลับไป
“หิวจะตายอยู่แล้ว” เจิ้งซูอวี้หมุนตัวมาร้องโอดครวญ “เราไปหาอะไรกินหน่อยดีหรือไม่?”
นางอาศัยอยู่ในเมืองซูโจวมาเป็นเวลานาน ต้นไม้พืชผลทุกต้นของที่นี่ล้วนสลักลึกอยู่ในสมอง การจะหาของอร่อยทานไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้นางหิวมากเสียจนสามารถเขมือบทุกอย่างลงไปได้แล้ว แต่ก็ยังเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี
“ทานอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้เถอะ ฝีมือทำอาหารพวกเขาดีทีเดียว กินอิ่มแล้วก็นอนพักผ่อนเร็วเสียหน่อย พรุ่งนี้พวกเรายังต้องไปดูที่ร้านอีก”
เดิมทีพวกนางวางตารางเวลาไว้ดีแล้ว ทว่าถนนที่ใช้ปกติถูกดินถล่มทำให้ต้องใช้เส้นทางที่อ้อมไกลกว่า จึงมาถึงเมืองซูโจวช้ากว่ากำหนดสองวัน โชคยังดีที่ไม่ได้เสียมารยาท มาถึงทันก่อนงานแต่งเริ่มพอดี
ทั้งสองคนสั่งอาหารจานเนื้อมาสองอย่าง จานผักสองอย่าง และน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง
เหล่าสาวใช้ไม่ได้ไปงานแต่งกับพวกนาง ตอนนี้จื่อซูและจื่อเยวี่ยนทานอาหารอยู่กับเหล่าคนงานในสาขาย่อย และพักอยู่ที่นั่น
นี่เป็นความต้องการของมู่ซืออวี่
นางและเจิ้งซูอวี้ไม่ได้มาตรวจดูสาขาย่อยเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง หากเพียงแค่ไปตรวจดูทั้งหมดวันเดียว เกรงว่าคงจะพลาดหลาย ๆ อย่างไป การให้สาวใช้สองคนเข้าไปทานข้าวและอาศัยอยู่กับพวกเขาอย่างกลมกลืนย่อมดีกว่า หากมีข้อบกพร่องใด ๆ จะได้เผยออกมาโดยง่าย
“จะว่าไปแล้วหลายเดือนมานี้ สาขาย่อยส่งกำไรมาน้อยลงกว่าเดิมเรื่อย ๆ ถือโอกาสนี้อยู่นานขึ้นอีกหน่อยเถอะ จะได้ตรวจดูว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่” เจิ้งซูอวี้เอ่ย
“นี่เป็นถิ่นของเจ้า ข้าเพียงแต่มาที่นี่เพื่อร่วมงานแต่งเท่านั้น หากงานแต่งจัดต่อไปไม่ได้ ข้าจะไปเดินเล่นดูสิ่งน่าสนใจ ผ่อนคลายเสียหน่อย เรื่องที่นี่เจ้าก็กังวลไปเถอะ!”
“มีเถ้าแก่เนี้ยที่ใดล้างมือเสร็จก็สะบัดมือทิ้งอย่างเจ้ากัน?”
“เจ้าต้องทำตัวให้ชินเข้าไว้ ถึงอย่างไรอีกไม่นาน ทุกสิ่งที่นี่ก็ต้องมอบให้เจ้าจัดการ ถึงเจ้าจะบ่นข้าไป ข้าก็ไม่ฟังเจ้าหรอกนะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมพรางเจ้า พ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงแล้ว” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “นี่ไม่ได้การ ข้าจะให้เจ้าเอาเปรียบไม่ได้ รอข้าหาคนรับช่วงต่อก่อน ข้าจะตามไปหาเจ้าที่เมืองหลวงแน่”
“ได้สิ เช่นนั้นพวกเรามารับปากกัน” มู่ซืออวี่ตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์ “นำสุราผลไม้มาหนึ่งไห”
พี่สาวน้องสาวสองคนนี้มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนพูดคุยกันได้ นางสนทนาเรื่องการค้า ลามไปถึงเรื่องหลี่หงซูที่ผันตัวไปเป็นแม่ชี ดูเหมือนจะมีหัวข้อให้พวกนางพูดคุยอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นข้าง ๆ “คุณหนู หากนับเวลาดู พวกเขาคงทราบว่าเจ้าสาวถูกสับเปลี่ยนแล้ว ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? ไม่อย่างนั้นพวกเรากลับไปหานายท่านแล้วยอมรับความผิดดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“เหตุใดข้าต้องยอมรับผิด? ข้าผิดอะไร?” เสียงเกรี้ยวกราดดังกังวานขึ้น “งานแต่งนี้เป็นข้าที่ยินยอมหรือ? พวกเขาอยากแต่งข้าให้พ่อค้าโดยที่ข้าไม่สมัครใจ มีสิทธิ์อะไร? อย่างไรเสีย สกุลฉินก็ต้องการแต่งงานกับคุณหนูสกุลจิ้น พี่หญิงใหญ่ก็เป็นคุณหนูสกุลจิ้น ขอแค่เพียงเขาแต่งไป ก็นับว่าได้พึ่งพาร่มเงาของสกุลจิ้นแล้ว จะข้าหรือพี่หญิงใหญ่ก็เหมือนกัน!”
มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้หันมามองหน้ากัน
ที่แท้ผู้ร้ายก็อยู่ที่นี่
หมายความว่าทั้งสกุลจิ้นและสกุลฉินถูกปิดบัง สตรีนางนี้เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
“จะทำอย่างไร?” เจิ้งซูอวี้โน้มตัวมาหานาง เอ่ยกระซิบเสียงเบา “เจ้าจะแจ้งข่าวนี้หรือไม่?”
“พวกเราต้องไปด้วยตนเองหรือ?” มู่ซืออวี่เรียกคนของโรงเตี๊ยมและให้เขานำพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกมาให้ นางเขียนตัวอักษรสองสามตัวลงไป ม้วนมัน จากนั้นจึงเอ่ย “นี่หนึ่งตำลึงเงิน ส่งจดหมายนี้ไปที่สกุลฉิน หลังส่งให้แล้วสกุลฉินจะมอบให้เจ้าอีกห้าตำลึงเงิน ดังนั้นเร่งมือหน่อย เพราะหากทำให้เรื่องล่าช้า เจ้าจะไม่ได้แม้แต่อีแปะเดียว”
“ได้เลยขอรับ!” คนของโรงเตี๊ยมวิ่งออกไปอย่างเบิกบานใจ
นายบ่าวที่อยู่ข้าง ๆ ยังคงบ่นเรื่องบิดามารดาที่บ้านถึงเรื่องการขายนางเพื่อเงินทอง ทั้งยังกล่าวว่าอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง จะแต่งเข้าตระกูลพ่อค้าได้อย่างไร นางบ่นแม้กระทั่งเรื่องที่น้องหญิงเล็กของนางหัวเราะแทบคอหักลับหลัง ตอนนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะไปรวมตัวกับพี่หญิงน้องหญิง ด้วยเกรงว่าตนจะชูคอไม่ขึ้นอะไรเทือก ๆ นั้น
เจิ้งซูอวี้ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
มู่ซืออวี่คว้านางไว้ “จะทำอะไร?”
“น่ารำคาญเสียจริง!” เจิ้งซูอวี้เอ่ย
“ถึงแม้เจ้าจะโกรธ ก็คงไม่ถึงขนาดต้องลงมือเองกระมัง?”
“ข้าก็เป็นคนทำมาค้าขาย เจ้าก็เป็นคนทำมาค้าขาย ได้ยินอย่างนี้แล้วไม่โกรธได้หรือ?” เจิ้งซูอวี้เหลือบมองนาง
“หากใครสักคนที่มีความคิดเช่นนี้ทำให้ข้าโกรธได้ เช่นนั้นข้าคงโกรธไปนานแล้ว เหตุใดจึงจะยังกินดื่มกับเจ้าอยู่ที่นี่?” มู่ซืออวี่กล่าว “เอาเถอะ ระบายโทสะสักเล็กน้อยย่อมไม่เป็นไร”
เจิ้งซูอวี้ข่มความโกรธเอาไว้ นั่งลงข้าง ๆ นางดังเดิม จากนั้นโน้มตัวเข้าไปถามมู่ซืออวี่ “ระบายโทสะอย่างไร?”
มู่ซืออวี่ชี้ไปทางเงามืดข้างถนน
หลังจากจิ้นหวั่นหรงทานอิ่มแล้วและเตรียมจะไปเปิดห้องเพื่อเข้าพัก ขอทานเหม็นโฉ่หลายคนพลันปรากฏตัวขึ้นขวางทางนางไว้
“คุณหนู เมตตาข้าเถอะ เวทนาข้าด้วยเถิด…”
“คุณหนู ข้าไม่ได้ทานข้าวมาหลายวันแล้ว…”
“พวกเจ้าทำอะไร?” สาวใช้ยืนอยู่ข้างหน้าจิ้นหวั่นหรง “เถ้าแก่โรงเตี๊ยม ไยท่านไม่ทำอะไรบ้าง?”
สีหน้าจิ้นหวั่นหรงบิดเบี้ยว นางแทบจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ
เหม็นเกินไปแล้ว!
คนเหล่านี้น่ารังเกียจยิ่งนัก
“โรงเตี๊ยมพวกเจ้านี่ยังไงกัน? เหตุใดจึงปล่อยให้คนพวกนี้เข้ามา?” จิ้นหวั่นหรงโมโหขึ้นมาแล้ว “รีบไล่พวกเขาออกไป! ไม่เช่นนั้น ข้าจะให้ท่านพ่อของข้าลงโทษพวกเจ้า”
ผู้จัดการคิดจะเดินออกมา แต่กลับถูกมู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ขวางเอาไว้
เจิ้งซูอวี้นำเงินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเอ่ยว่า “ผู้จัดการโรงเตี๊ยม พวกเราแค่เพียงอยากทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจเท่านั้น จะไม่ทำร้ายนาง ท่านก็ทำเป็นไม่เห็นแล้วกัน”
ผู้จัดการรับเงินมาแล้วเข้าไปในห้องครัว
ส่วนคุณหนูจิ้นน่ะหรือ ทุกคนที่นี่ล้วนรู้จักนาง นางเป็นคนโมโหร้ายและเหยียดหยามคนทำการค้าเป็นที่สุด
ฉินเหวินหานไม่ได้มาที่นี่ คนที่มาเป็นคนจากศาลาว่าการแทน
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ทางการโผล่มา พวกขอทานก็วิ่งออกไปจนหมด
เสื้อผ้าของจิ้นหวั่นหรงยุ่งเหยิง ใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนดินโคลน คงถูกขอทานเหล่านั้นนำมาป้าย เมื่อเห็นสภาพเปรอะเปื้อนมอมแมมของนางแล้วก็อดสงสารอยู่บ้างไม่ได้
“คุณหนู นายท่านสั่งให้ท่านกลับไปขอรับ” เจ้าหน้าที่ทางการเอ่ย “เชิญขอรับ!”
จิ้นหวั่นหรงและบ่าวตามเจ้าหน้าที่ทางการไปแล้ว
มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้มองหน้ากัน จากนั้นก็แย้มยิ้มออกมา
“เพียงแค่ทำโทษเล็ก ๆ น้อย ก็เพียงพอให้คุณหนูผู้งดงามคนนี้หวาดผวาไปได้หลายวันแล้ว”
“ยังไม่โล่งใจเลย” เจิ้งซูอวี้กล่าว
“คุณหนูเจิ้ง เจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนายน้อยฉินเพียงนี้ คงไม่ได้… ต่อเขาหรอกนะ ก่อนหน้านี้ไยเจ้าไม่ยอมรับ”
“ไม่มีจริง ๆ” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “ถึงแม้เขาจะเป็นตัวเลือกที่ดี ทว่านับแต่เขาให้สกุลของเขาจัดการเรื่องแต่งงานให้ ความคิดของข้าที่มีต่อเขาก็หายไปแล้ว ข้าไม่ได้มีคนหนุนหลัง ไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนั้น ข้าเพียงแค่ต้องการหาบุรุษสักคนที่ห่วงใยข้าจริง ๆ วางข้าไว้ในตำแหน่งสำคัญภายในใจ หากต้องแต่งกับบุรุษผู้หนึ่งที่เห็นผลประโยชน์เหนือสิ่งอื่น เช่นนั้น ไม่สู้ข้าใช้ชีวิตอยู่กับเงินไปตลอดชีวิตดีกว่า! เพียงแต่คุณหนูจิ้นผู้นี้น่ารังเกียจเกินไป เชื่อไหมว่าข้าไม่เคยโมโหถึงเพียงนี้มาก่อน”
“ความคิดกระจ่าง เหตุผลชัดเจน ข้าเชื่อข้อโต้แย้งของเจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปที่ร้านแต่เช้า”