บทที่ 477 ที่อยู่ของเจี่ยงจง
บทที่ 477 ที่อยู่ของเจี่ยงจง
หลังจากดื่มไปได้สองสามจอก ฉินเหวินหานก็เข้าเรื่องทันที
“เมื่อสองเดือนก่อน เจี่ยงจงพบปะกับพ่อค้าวาณิชมากมายและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน กล่าวคือพ่อค้าเหล่านั้นวางคำสั่งซื้อรายการใหญ่กับเจี่ยงจง ไม่นานก็กลายมาเป็นพี่น้องกับเขา เจี่ยงจงถูกชะตากับพวกเขามาก มักจะพากลับไปกินดื่มที่บ้านกระทั่งดึกดื่น จู่ ๆ วันหนึ่งเจี่ยงจงก็กลายเป็นคนล่องลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาส่งต่อเรื่องภายในร้านให้ลูกศิษย์จัดการ จากนั้นจึงหายตัวไป”
“นายน้อยฉินคงพบอะไรบางอย่างแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่ต้องอุบไว้หรอก”
“ข้าพบเจี่ยงจงแล้ว อยากไปดูหน่อยหรือไม่?” ฉินเหวินหานเอ่ย
“เชิญนายน้อยฉินนำทาง”
“รอสักหน่อย ข้าต้องเตรียมการเสียก่อน” ฉินเหวินหานบอก “เอาอย่างนี้ วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่”
“เขาไม่ได้อยู่ในเมืองหรือ?”
“หากเขาอยู่ในเมือง ข้าคงพาเขามาพบฮูหยินทันที”
เจิ้งซูอวี้กระชับเสื้อผ้าของนาง แล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “คืนนี้ลมแรงนัก พวกเรากลับไปพักผ่อนเร็ว ๆ เถอะ! หากมีผู้ใดปวดหัวตัวร้อน เดี๋ยวจะลำบากให้นายน้อยฉินต้องออกเงินซื้อยาอีก”
ฉินเหวินหานหัวเราะเบา ๆ
เจิ้งซูอวี้เลิกคิ้วขึ้น “นายน้อยฉินอนุญาตให้กลับหรือไม่?”
“ให้” ฉินเหวินหานยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไร ข้าไม่เคยเอาเปรียบผู้ดูแลเจิ้ง มิกล้าไม่ให้”
มู่ซืออวี่มองพวกเขาทั้งสองคน “พวกท่านมีความเข้าใจต่อกันดียิ่ง ไม่เสียทีที่ทำการค้าด้วยกัน จริงสิ ครั้งนี้ข้าไม่ได้พาคนมา ดังนั้นต้องรบกวนท่านส่งสักสองสามคนไปจับตาดูคนงานในร้านของข้าแล้ว ครั้งนี้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนักที่งานแต่งของนายน้อยฉินไม่ประสบความสำเร็จ มิเช่นนั้น ข้าคงจับปลาใหญ่เช่นนี้ไม่ได้”
“เถ้าแก่เนี้ยมู่ เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว ข้ายังต้องรักษาหน้าตานะ” ฉินเหวินหานมีสีหน้าอับจน
“อ้อ ขออภัย” มู่ซืออวี่ขอโทษอย่างขอไปที
เมื่อบอกลาฉินเหวินหานแล้ว พี่สาวน้องสาวก็ออกจากหอจรดจันทร์ด้วยการนำทางของบ่าวรับใช้ เจิ้งซูอวี้เงยหน้าขึ้นมองที่ที่เพิ่งจากมา เห็นเพียงฉินเหวินหานยืนอยู่บนนั้นในชุดสีเงิน ในมือเขาถือจอกสุราดื่มเพียงลำพัง บางทีชายหนุ่มอาจสัมผัสได้ถึงสายตาของนางจึงก้มหน้ามองลงมา เจิ้งซูอวี้ไม่รู้ว่าเขาเห็นหรือไม่ ทว่านางยังคงหลบสายตาอย่างไม่สบายใจ
“จิ้งจอกตัวนี้… ดูเหมือนเราจะดูถูกเขาเกินไปแล้ว”
“ดูถูกเขาเกินไปแล้วจริง ๆ พวกเราสงสารเขาเพราะเรื่องงานแต่ง แต่เจ้าดูสิว่าเขาได้รับประโยชน์เพียงใด ในความคิดของข้า คนที่น่าสงสารคือคุณหนูจิ้นผู้นั้น นางไม่ชอบผู้อื่น ผู้อื่นก็อาจจะไม่ได้ชอบนาง ทว่าจิ้งจอกตัวนี้ไม่ยอมเป็นผู้กระทำผิด บัดนี้ทุกคนในเมืองล้วนสงสารเขา ดูคล้ายว่าชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสีย ทว่าในความเป็นจริงเขาล้วนแต่ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น”
“ข้าบอกแล้วอย่างไร เขาดูไม่เหมือนคนโง่งม” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “เขาแฝงเจตนาร้ายเอาไว้จริง ๆ!”
“เช่นนั้น สายตาเจ้าที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่? หากเขาไม่ใช่คนที่เชื่อฟังคำสั่งบิดามารดา เขายังอยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเจ้าหรือ?”
“เอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ ใต้หล้ามีบุรุษหน้าตาดีมากมาย ข้าจะเลือกให้มากหน่อย บางทีอาจมีคนที่ข้าพึงใจ” เจิ้งซูอวี้เอ่ยอย่างทะนงตน
วันต่อมา รถม้าของตระกูลฉินมาหยุดอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยม
พี่สาวน้องสาวออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับจื่อซูและจื่อเยวี่ยน
คนสนิทของฉินเหวินหานเอ่ยกับพวกนาง “เถ้าแก่เนี้ยมู่ ผู้ดูแลเจิ้ง นายน้อยของพวกเราอยู่ในรถม้าด้านหลัง รถม้าคันนี้เป็นของพวกท่าน”
“เช่นนั้น เชิญนายน้อยฉินของพวกเจ้านำทางเถิด”
“ขอรับ!”
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็ผ่านตรอกเงียบสงัดแห่งหนึ่งและหยุดลงที่ตีนเขา จากนั้นก็แล่นผ่านถนนอีกเส้นมาจนถึงวัดแห่งหนึ่ง
“วัดหรือ?” มู่ซืออวี่พึมพำ “เจี่ยงจงอยู่ที่นี่หรือ?”
“ไม่ผิด” ฉินเหวินหานเดินเข้ามา “ตอนที่คนของข้าหาเขาพบ เขาอยู่ที่นี่”
“นายน้อย!” ฉินจู๋ผู้ติดตามหน้าถอดสี “ที่นี่มีกลิ่นคาวเลือด พวกท่านอยู่ที่นี่ก่อนอย่าเพิ่งเข้าไป ข้าจะไปตรวจสอบก่อน”
ฉินเหวินหานสั่งลูกน้องสองคนให้ตามฉินจู๋เข้าไป
คนอื่น ๆ มารวมตัวกัน
ไม่นานคนที่ส่งไปก็กลับมา คนผู้นั้นเอ่ยว่า “นายน้อย มีคนตายแล้ว!”
“เห็นมือสังหารหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ นอกจากศพศพหนึ่งแล้ว ไม่มีผู้อื่น”
ฉินเหวินหานพอคาดเดาในใจได้แล้วจึงหันไปมองมู่ซืออวี่ “ข้าคาดเดาได้เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะถูกหรือไม่ เถ้าแก่เนี้ยมู่ ไม่อย่างนั้นท่านรอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถิด”
“มีสิ่งใดที่ข้าไม่เคยรู้อีกหรือ? ไปเถอะ! ไปดูพร้อมกัน” มู่ซืออวี่ก้าวเข้าไปในวัดเป็นคนแรก
ฉินเหวินหานหันไปมองเจิ้งซูอวี้
เจิ้งซูอวี้ขมวดคิ้ว “ถึงแม้ข้าจะไม่อยากเห็นเรื่องเหล่านี้ แต่ให้ข้ารั้งอยู่นี่ไม่น่ากลัวกว่าหรือ? ข้าจะไปกับพวกท่าน”
“อีกประเดี๋ยวท่านปิดตาไม่ต้องมอง” สิ้นคำนั้น ฉินเหวินหานสั่งให้ลูกน้องหลายคนของเขาดูแลเจิ้งซูอวี้
ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น กลางอกมีกริชเล่มหนึ่งปักอยู่ กริชเล่มนั้นสลักลวดลายเสือดาว ดวงตาของเสือดาวคู่นั้นเป็นสีแดง
เบาะแสที่เห็นชัดแจ้งเช่นนี้ ดูเหมือนว่ากำลังท้าทายเยาะเย้ยนาง
ร่างที่นอนอยู่บนพื้นคือเจี่ยงจง
ร่างกายยังอุ่น ๆ บ่งบอกว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน
ดวงตาของเจี่ยงจงเบิกกว้าง ราวกับตายตาไม่หลับ
“เป็นฝีมือกลุ่มที่หลอกลวงคนเหล่านั้น เขาจงใจแก้แค้นเพราะตกอยู่ในมือพวกข้าคราวนั้นเป็นแน่ จึงแสดงฉากที่เต็มไปด้วยสีสันให้ดูเช่นนี้” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเคยบอกเจี่ยงจงว่าจะช่วยหาเงิน เพื่อให้เขาได้ใช้ชีวิตที่ดี ทว่าท้ายที่สุดเงินนั้นได้รับแล้ว แต่ชีวิตกลับพินาศ!”
เจิ้งซูอวี้กอดแขนของมู่ซืออวี่ “นี่โทษเจ้าไม่ได้ คนเหล่านั้นบ้าไปแล้ว แม้กระทั่งเจ้ายังเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเจ้าและใต้เท้าลู่ จะมีคนมากมายเพียงใดถูกพวกมันควบคุม? พวกมันทำเช่นนี้เพราะเกรงกลัวเจ้าและใต้เท้าลู่”
“รายงานทางการเถอะ!” ฉินเหวินหานเอ่ย “ถึงแม้อาจจะไม่มีประโยชน์นัก ทว่า… ตอนนี้มีทางเลือกเดียวคือรายงานทางการ”
หากเจ้าหน้าที่ทางการทุกคนเป็นแบบลู่อี้ ราษฎรคงไม่สิ้นหวังถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้พบขุนนางที่ฉลาดและเก่งกาจอย่างเขา
คนของทางการมาถึงอย่างรวดเร็ว
พวกเขาตรวจสอบสถานที่ ทั้งยังถามคนของฉินเหวินหานว่าในตอนแรกที่มาถึงพบสิ่งใดหรือไม่
“พระทั้งวัดหายตัวไป นี่นับว่าเป็นการค้นพบหรือไม่?” ฉินเหวินหานเอ่ยด้วยท่าทีสงบ
“วัดนี้ไม่เป็นที่นิยมนัก นอกจากวันที่หนึ่งและวันที่ห้าของเดือน ปกติก็ไม่มีคนมากราบไหว้ขอพร ที่นี้ล้วนมีพระคอยดูแลมาหลายปี แต่ตอนนี้ล้วนหนีหายไปหมด แปลกจริง ๆ”
มู่ซืออวี่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะฟังพวกเขาวิเคราะห์คดี นางจึงเรียกฉินเหวินหานมาแล้วบอกว่าอยากกลับไปที่บ้านเจี่ยงจง เจี่ยงจงถูกฆ่าแล้ว ตอนนี้คนที่ตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดย่อมเป็นครอบครัวของเขา
“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เมื่อข้าพบว่าเจี่ยงจงอยู่ที่ใด ข้าก็ส่งคนไปคุ้มครองแม่และน้องสาวของเขาอย่างลับ ๆ แล้ว หากมีคนคิดร้ายต่อพวกเขา ย่อมจับผู้ร้ายได้ทันที”
คนของทางการตรวจค้นที่นี่อยู่เป็นเวลานาน หลังจากตรวจพบ ‘เบาะแส’ บางอย่าง ก็นำศพกลับไปยังศาลาว่าการ รอรับการชันสูตรจากอู่จั้ว
มู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ ตามคนของทางการกลับเข้าไปในเมือง
ฉินเหวินหานไปยังศาลาว่าการ ส่วนมู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ไปที่บ้านของเจี่ยงจงอีกครั้ง