บทที่ 479 คุณหนูจิ้น มีหลักฐานหรือไม่
บทที่ 479 คุณหนูจิ้น มีหลักฐานหรือไม่
“ที่แท้เป็นพวกเจ้าที่ทำร้ายข้า”
จิ้นหวั่นหรงจ้องเจิ้งซูอวี้และมู่ซืออวี่เขม็ง สายตาของนางหยุดลงที่เจิ้งซูอวี้
เหตุใดจึงเป็นเจิ้งซูอวี้?
แน่นอนว่าเป็นเพราะนางแต่งกายอย่างสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ขณะที่มู่ซืออวี่แต่งกายแบบสตรีที่ออกเรือนแล้ว
ในแง่ของรูปโฉม เห็นได้ชัดว่าเจิ้งซูอวี้หน้าตางดงาม เมื่อยืนคู่กับฉินเหวินหาน พวกเขาดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
ฉินเหวินหานขวางจิ้นหวั่นหรงไว้แล้วเอ่ยนิ่ง ๆ “คุณหนูจิ้น ท่านมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าพวกนางทำ?”
“พวกนางอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น” จิ้นหวั่นหรงชี้หน้าเจิ้งซูอวี้
“พวกนางมาจากที่อื่นเพื่อร่วมงานแต่งของข้า เป็นข้าที่จัดให้พักที่นั่น มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“เจ้าคนแซ่ฉิน เจ้าคิดจะปกป้องพวกนางใช่หรือไม่?” สีหน้าของจิ้นหวั่นหรงดูเกรี้ยวกราด
“คุณหนูจิ้น พวกนางเป็นเพียงสหาย เป็นคู่ค้าของข้า คุณหนูจิ้นโมโหถึงเพียงนี้คงไม่ใช่เสียดาย อยากแต่งงานกับข้ากระมัง?”
ฉินเหวินหานเอ่ยโดยไม่คำนึงถึงมารยาท อย่างไรเสีย บุรุษที่รักษามารยาทย่อมไม่เอ่ยถึงการแต่งงานของสตรีนางหนึ่งด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระเช่นนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อมู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้เห็นสีหน้าอับอายของจิ้นหวั่นหรงแล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
มารยาทกินได้หรือ? ความโล่งใจต่างหากที่จะทำให้ชีวิตยืนยาวนาน
“เจ้า… เจ้า…” จิ้นหวั่นหรงกระทืบเท้าด้วยความโมโห นางตะคอกสาวใช้อย่างเกรี้ยวกราด “จะยืนอยู่ที่นี่ทำไม? ไยยังไม่ไปอีก!”
หลังจากรถม้าคันนั้นจากไปแล้ว มู่ซืออวี่จึงเอ่ยว่า “นายน้อยฉิน งานแต่งดี ๆ ของท่านพังพินาศแล้ว”
“เดิมทีก็จบเห่ตั้งแต่แรก เหตุการณ์วันนี้ชวนงุนงงเล็กน้อย คงไม่ได้ทำให้พวกท่านเสียอารมณ์กระมัง?” ฉินเหวินหานเอ่ย
คนของทางการกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตูเรือนกรุ่นฝัน พวกเขาบุกเข้ามาจับคนงานและผู้ดูแลทุกคนภายในร้านไป
เหล่าราษฎรเห็นความเคลื่อนไหวนี้ ต่างก็กระซิบกระซาบถามกันว่าเกิดอะไรขึ้น
“ได้ยินว่านายช่างเจี่ยงคนก่อนหน้านี้ตายแล้ว เขาถูกผู้จัดการคนใหม่ทำร้าย เถ้าแก่เนี้ยมู่ตรวจสอบพบจึงรายงานทางการ คนงานในร้านเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ร้ายคดีฆ่าคน!”
“สวรรค์! นี่จะน่ากลัวเกินไปแล้ว” มีคนเอ่ยขึ้น “โชคดีที่ข้าไม่เคยไปร้านพวกเขาเพื่อสั่งเครื่องเรือน มิเช่นนั้น ไม่รู้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้หรือไม่?”
“นายช่างเจี่ยงเป็นคนดีจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เช่นนั้น เรือนกรุ่นฝันจะยังเปิดหรือไม่? เครื่องเรือนของพวกเขาสวยจริง ๆ น่าเสียดายที่คนทั่วไปซื้อไม่ไหว”
ยามนี้เรือนกรุ่นฝันเหลือเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด ไม่นาน คนกลุ่มใหม่ก็เข้ามารับช่วงต่อ เมื่องมองดูผู้นำแล้วก็พบว่าเป็นฉินจี้ คนของนายน้อยฉิน
มู่ซืออวี่มองคนงานชุดใหม่ต้อนรับลูกค้าอย่างเป็นระเบียบ แต่ละคนพูดจาฉะฉานและมีท่าทางน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง
นางหันกลับไปเอ่ยกับฉินเหวินหาน “มีท่านดูแลที่นี่ พวกเราก็วางใจ หากภายหน้ามีเรื่องอะไรท่านก็ติดต่อกับซูอวี้เถิด! ได้ยินว่าสกุลฉินมีวิธีการสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“อันที่จริง สกุลของพวกเรามีผู้ฝึกเหยี่ยวคนหนึ่ง” ฉินเหวินหานเอ่ย “เขาฝึกเหยี่ยวเพื่อช่วยเราส่งสารโดยเฉพาะ ความเร็วในการบินของเหยี่ยว ท่านก็รู้ว่าย่อมเร็วกว่านกพิราบอย่างแน่นอน”
“ส่งสารจากที่นี่ไปยังเมืองหลวงได้หรือไม่?” สายตาของมู่ซืออวี่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ได้ ใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้น” ฉินเหวินหานเอ่ย “อย่างไรก็ตาม การฝึกเหยี่ยวไม่กี่ตัวใช้พลังงานและกำลังทรัพย์มหาศาล ดังนั้นจึงไปไม่ได้ทุกที่ มีเพียงห้าเมืองเท่านั้นที่มีจุดส่งสาร”
มู่ซืออวี่เข้าใจแล้ว
“หากท่านมีจดหมายที่ต้องการส่งไปยังเมืองหลวง ข้าสามารถช่วยได้”
“ไม่ละ ข้ากำลังคิดว่าภายหน้าหากข้าไปเมืองหลวงและซูอวี้มีเรื่องสำคัญต้องติดต่อ เหยี่ยวของสกุลฉินคงสามารถช่วยได้” มู่ซืออวี่กล่าว “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น”
“จริงสิ คนเหล่านั้นปากแข็งยิ่ง ไม่ว่าจะไต่สวนพวกมันเพียงใดล้วนไม่ยอมเปิดปากแม้เพียงคำเดียว จะทำอย่างไรต่อไป? ดูเหมือนจะเค้นสิ่งใดไม่ได้เลย” ฉินเหวินหานเอ่ยถึงจี้เฉี่ยวเหยียนและพรรคพวก
“ไม่ใช่เพราะพวกมันปากแข็ง แต่พวกมันไม่รู้สิ่งใดต่างหาก” มู่ซืออวี่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลีให้ฟัง “อันที่จริงข้าเตรียมใจไว้นานแล้ว คนที่จับมาได้ตอนนี้ล้วนแต่เป็นลูกสมุนตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้น”
“คนที่อยู่เบื้องหลังหลังทำลายสาขาย่อยของท่าน ทั้งยังฆ่าลูกศิษย์ไปหนึ่งคน จะปล่อยไปเช่นนี้หรือ?”
“ย่อมไม่ ต่อให้ข้าจะยอมปล่อยผ่าน แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคงไม่ยอมปล่อยข้าไปง่าย ๆ พวกมันร้อนรนที่จะใช้เงิน ไม่นานต้องโผล่หัวออกมาแน่ พวกมันถูกเราทลายที่แล้วที่เล่า หากมีสมอง ย่อมไม่กล้ากระทำการใดในเร็ว ๆ นี้ ทันทีที่พวกมันโผล่หัวออกมา ถึงแม้ทางการท้องถิ่นจะไม่สนใจ ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่กรมยุติธรรมและศาลต้าหลี่ในเมืองหลวงจะนิ่งเฉย”
มู่ซืออวี่ส่งต่อการจัดการ ‘เรือนกรุ่นฝันสาขาย่อย’ ให้ฉินเหวินหาน มอบส่วนแบ่งให้เขาสองส่วน นับแต่นี้เป็นต้นไป ทุกคนนับว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว
ส่วนจะทำอย่างไรกับเด็กที่พบในชั้นใต้ดินที่วัดเหล่านั้น ตอนนี้ราษฎรทั้งเมืองกำลังจับตามอง ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมืองซูโจวจะโง่งมเพียงใด พวกเขาย่อมไม่กล้าบิดพลิ้ว
พี่สาวน้องสาวทั้งสองคนกลับไปยังเมืองฮู่เป่ย
พวกนางใช้เวลาอยู่ในเมืองซูโจวไม่นาน แต่เมื่อรวมกับเวลาเดินทางแล้ว ทั้งคู่ก็จากบ้านไปนับสิบวัน ทันทีที่กลับมายังเมืองฮู่เป่ย คนของนางจึงมารายงานสถานการณ์ช่วงนี้ให้ทราบ
“เป็นอย่างที่เจ้านายคิด เมื่อลานหรรษาปิดแล้ว พวกเราประกาศว่าจะปรับปรุงเพื่อรูปแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม คนที่ลอบทำเรื่องนี้จึงเสียสติขึ้นมา”
“จับตัวคนทำได้แล้วหรือ?”
“จับได้แล้วขอรับ”
“เขาสารภาพหรือยัง?”
“สารภาพแล้ว เขาบอกว่ารับเงินผู้อื่นมา คนผู้นั้นให้เขาทำลายเครื่องเล่นไม่กี่จุด”
“ไม่กี่จุด? เช่นนั้นเจ้าไปบอกเขา ที่ใดมีคดีฆ่าคน ที่นั่นย่อมมีผู้ร้าย” มู่ซืออวี่เย้ยหยัน “ส่งตัวคนร้ายให้ใต้เท้าเวิน ใต้เท้าเวินมีวิธีเปิดปากเขา ดูซิว่าจะตรวจสอบอะไรออกมาได้หรือไม่”
“ขอรับ”
“พวกเราต้องเร่งมือปรับปรุงส่วนงานใหม่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พวกเราต้องระมัดระวังตลอดเวลา เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าการจัดการของเรายังมีช่องโหว่”
ทันทีที่ผู้ร้ายถูกส่งไปถึงมือเวินเหวินซง เขาก็คายทุกอย่างออกมาหมดเปลือก
คนที่ซื้อตัวเขาไปคือเถ้าแก่หยางจากร้านไม้แปรรูปหยางจี้ เถ้าแก่หยางผู้นี้ต้องการทำการค้ากับมู่ซืออวี่ ทว่ามู่ซืออวี่รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับนางจึงปฏิเสธไป อีกฝ่ายเก็บงำความแค้นมาโดยตลอด จึงคิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่
หลังจากตรวจสอบเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว เถ้าแก่หยางก็ถูกนำไปขังคุก
เรื่องนี้จึงเป็นอันสิ้นสุดลง
จากนั้นมู่ซืออวี่ก็จัดการกับเรื่องต่าง ๆ ที่สะสมไว้มากกว่าครึ่งเดือน นางยุ่งเสียจนเท้าแทบไม่ได้แตะพื้น ทว่าเจิ้งซูอวี้ คนใจไม้ไส้ระกำผู้นั้นกลับออกไปดื่มชากับหลี่หงซู จงใจหลีกเลี่ยงงาน!
“ใต้เท้าเวิน” มู่ซืออวี่เพิ่งกลับมายังกลุ่มการค้าหลังออกไปข้างนอก นางเห็นเวินเหวินซงยืนอยู่หน้าประตู “ท่านมาได้อย่างไร?”
“ข้ามารอพี่สะใภ้โดยเฉพาะ” เวินเหวินซงอยู่ในชุดเครื่องแบบทางการ ส่งผลให้หน้าตาหล่อเหลาของเขาดูสง่างามมากกว่าเดิม “เถ้าแก่หยางผู้นั้นเอ่ยอะไรสองสามคำ ข้าคิดว่าค่อนข้างสำคัญจึงมาบอกท่าน”
“อะไรหรือ?”
“เขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยไปดื่มสุราที่หอร้อยบุปผา ทั้งยังเล่าให้สหายฟังว่าท่านไม่ทำการค้าร่วมกับเขา จู่ ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นและรุดมาสานสัมพันธ์ การทำลายลานหรรษาก็เป็นความคิดของคนผู้นั้น”
“ดูเหมือนว่าเขาจะจำคนผู้นี้ไม่ได้แล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างใจเย็น “เป็นปัญหาที่ไขไม่ได้อีกข้อ”
“ผิด เขาจำคนผู้นั้นได้ คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฟางโจวอวี่”
“ฟางโจวอวี่?” มู่ซืออวี่ตกตะลึง “เขายังไม่ตายหรือ? ไม่สิ เขาก่อคดีร้ายแรงถึงเพียงนั้น…”