สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 481 เมืองฮู่เป่ยเป็นที่นิยมอีกครั้ง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 481 เมืองฮู่เป่ยเป็นที่นิยมอีกครั้ง

บทที่ 481 เมืองฮู่เป่ยเป็นที่นิยมอีกครั้ง

ไป๋เหวยคังส่งสหายกลุ่มหนึ่งออกไป เมื่อเห็นมู่ซืออวี่ยังรออยู่ตรงนั้นจึงเดินเข้าไปหา

มู่ซืออวี่เห็นดังนั้นก็สาวเท้าเข้าไปเช่นกัน

“ข้าพาคนมากมายเพียงนี้มารบกวน เจ้าคงไม่ถือโทษผู้เฒ่าคนนี้กระมัง?” ไป๋เหวยคังกล่าว

มู่ซืออวี่ค้อมศีรษะลง “เจ้าสำนักโปรดอย่าเอ่ยเช่นนั้น”

“ลู่อี้เรียกข้าว่าอาจารย์ เจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์เถอะ!” ไป๋เหวยคังเอ่ย “หากเจ้าไม่รังเกียจ…”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง!” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง “ท่านอาจารย์ ขอบคุณท่านที่ทำเรื่องเหล่านี้เพื่อข้า”

“ข้าตื่นตาตื่นใจกับความสามารถของเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่อยากให้ความสามารถของเจ้าถูกกลบเอาไว้ ลานหรรษาแห่งนี้ ภายหน้าจะยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากกว่าเดิม ความสามารถของเจ้าควรขจรขจายกว่าที่เป็นอยู่” ไป๋เหวยคังเอ่ย “อีกนานเพียงใดจึงจะไปเมืองหลวง?”

“ใกล้แล้วเจ้าค่ะ เสี่ยวชิงเอ๋อร์โตขึ้นมาก ทั้งยังเดินเตาะแตะได้แล้ว คงพอปรับตัวกับการเดินทางไกลได้ อีกสามเดือนข้าจะจัดงานวันเกิดครบรอบสิบเอ็ดปีให้ฉาวอวี่และเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ที่บ้านเจ้าค่ะ”

“ได้ ถึงตอนนั้นค่อยบอกข้า ข้าคงไม่มาส่งพวกเจ้า พออายุมากขึ้นก็ทนดูฉากแยกจากกันไม่ไหวแล้ว”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”

มู่ซืออวี่ยังไม่ทันได้เข้าเมืองหลวงก็เกิดเรื่องสำคัญขึ้นในเมืองฮู่เป่ย บางทีอาจเป็นเพราะเมืองฮู่เป่ยมีชื่อเสียงโด่งดังมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะนับวันยิ่งรุ่งเรืองขึ้น คนมากมายจึงหลั่งไหลมาลงหลักปักฐานที่นี่ เวินเหวินซงนายอำเภอจึงได้รับพระราชโองการให้ควบรวมเมืองเตียนอวี้เข้ามาอยู่ภายใต้เขตอำนาจของเมืองฮู่เป่ย จากนั้นก็เลื่อนขั้นจากนายอำเภอขั้นเจ็ดเป็นนายอำเภอขั้นหก

“นายอำเภอขั้นหกหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเลยนะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยล้อเวินเหวินซง “อะไรกัน? คิดจะให้เจ้าเลื่อนขั้นเป็นข้าหลวง ทั้ง ๆ ที่คุณสมบัติของเจ้ายังไม่ครบถ้วน สงสัยตำแหน่งนายอำเภอขั้นเจ็ดคงใหญ่ไม่พอที่จะควบคุมอาณาเขตกว้างใหญ่เพียงนั้นได้กระมัง อย่างไรก็เถอะ ข้ายังกังวลอยู่ดี บางทีพวกเขาอาจจะต้องมอบตำแหน่งที่สูงกว่านี้ให้เจ้า หากเจ้าไม่มีอำนาจจัดการภาพรวมจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นจะไม่กลายเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเกินไปหรือ!”

เมื่ออยู่ต่อหน้ามู่ซืออวี่ เวินเหวินซงไม่วางท่าอย่างนายอำเภอแม้แต่น้อย เขาเป็นเหมือนน้องชายอีกคนของลู่อี้ นางจึงไม่ต่างอะไรจากพี่สะใภ้

“พี่สะใภ้ ท่านมาส่งของขวัญให้ข้าหรือมาหัวเราะเยาะกันแน่?”

“ส่งของขวัญ ๆ” มู่ซืออวี่แตะกล่องที่นางถือเอาไว้ “ถึงอย่างไรก็ได้เลื่อนขั้น นี่เป็นเรื่องน่ายินดี เริ่มจากขั้นหกก็เพียงพอให้คนหวาดกลัวแล้ว! นอกจากนี้ ไม่มีผู้ใดทำได้มาก่อน เจ้าเป็นคนแรกนับแต่โบราณกาลที่ได้เป็นนายอำเภอขั้นหก ไม่แน่ว่าภายหน้าอาจถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ถึงแม้ประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรอาจจะไม่ได้บันทึกแต่ก็อาจจะไปอยู่ในตำนาน!”

“ไม่ใช่ว่าต้องขอบคุณใต้เท้าลู่หรือ เดิมทีการจัดการความวุ่นวายนี้ก็เป็นหน้าที่ของเขา”

“เจ้าถึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบเมืองฮู่เป่ยต่ออย่างไรเล่า ไม่สิ ต้องเรียกว่า ‘เขตเมืองฮู่เตียน’ ถึงจะถูก ชื่อนี้ได้จากการควบรวมสองเมืองเข้าด้วยกัน ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นต้นคิด แต่รู้ไว้เถิดว่าการได้เป็นนายอำเภอในอาณาเขตกว้างขวางเช่นนี้ มีคนไม่น้อยร้องขอแต่ไม่ได้มา ในสายตาของพวกเขา ตำแหน่งของเจ้าถือเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ที่ไม่อาจกินได้เชียวนะ!”

“อาณาเขตที่ดูแลใหญ่ขึ้น ย่อมมีเรื่องให้ต้องกังวลมากขึ้น”

“นี่ไม่ยิ่งง่ายดายหรือ? เดิมทีเจ้ามีปลัดอำเภอเพียงคนเดียวในมือ บัดนี้มีถึงสองคน เจ้าคอยสังเกตคนทางเมืองเตียนอวี้ให้ดีเสียก่อน หากใช้ได้ก็ใช้ หากใช้ไม่ได้ก็หาคนมาแทน”

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดงานเลี้ยงอายุครบสิบเอ็ดปีของเด็กทั้งสองก็มาถึง

วันนี้ มู่ซืออวี่เชิญคนสนิททั้งหมดของนางมาสังสรรค์ที่งานเลี้ยงเล็ก ๆ

ถงซื่อและเจิ้งซูอวี้มาช่วยตั้งแต่เช้าครู่ เฉินซื่อ ลู่เจินเจิน เหยาซื่อ ลู่เหม่ยฉิน และคนอื่น ๆ นั้นไม่นานก็ตามมาเช่นกัน

นี่เป็นทั้งงานวันเกิดและงานอำลา หลังจากทานมื้อนี้แล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะไปจากเมืองฮู่เป่ย มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเพื่อเริ่มต้น ‘ต่อสู้’ ในที่แห่งใหม่

นอกจากสหายเก่าเหล่านี้แล้ว มู่ซืออวี่ยังเชิญไป๋เหวยคัง อาจารย์ของลู่ฉาวอวี่ เหวินอวี่เซวียน พร้อมด้วยศิษย์พี่หญิง และฟ่านอวี๋ อาจารย์ของลู่จื่ออวิ๋นมาด้วย

“พี่ใหญ่เหวิน” ฟ่านอวี๋มิได้พบเหวินอวี่เซวียนเป็นเวลานานแล้ว ทว่าเมื่อพบเขาที่นี่อีกครั้ง ดวงตาของนางไม่ได้ฉายแววยึดติดลุ่มหลงดังเดิมอีกต่อไป

เหวินอวี่เซวียนก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวนางเช่นกัน

“ระยะนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

ทั้งสองคนยืนอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ มีหลายสายตากำลังจ้องมองมาจากอีกทาง

ลู่ฉาวอวี่มองฟ่านเหยี่ยนพาลู่จื่ออวิ๋นไปแอบฟังอยู่ตรงมุมหนึ่ง เขาทนมองไม่ไหวจึงต้องไปลากน้องสาวออกมา

ฟ่านเหยี่ยนยื่นมือออกไปหมายคว้าเอาไว้ทว่ากลับไม่ทัน

เขามองไปรอบ ๆ พบว่าที่ยังเหลืออยู่มีเพียง…

เถี่ยโถว อีกฝ่ายสูงขึ้นมาก ตัวโตกว่าฟ่านเหยี่ยนเสียอีก ทั้งยังดูแก่กว่าเขาอีกมากโข

“ท่านพี่ ท่านไม่สงสัยหรือ? อาจารย์ของข้าและอาจารย์ของท่านจะต้องมีความลับบางอย่างเป็นแน่”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรกังวล ผู้ใดสอนเรื่องเหล่านี้ให้เจ้า? เรื่องดี ๆ ไม่ฟัง ไปฟังเรื่องไม่ดีมาหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยท่าทีสุขุม “วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า เป็นแม่นางน้อยอายุสิบเอ็ดปีแล้ว จะไม่สำรวมตนเช่นนี้ต่อไปไม่ได้”

“อื้อ” ลู่จื่ออวิ๋นรับคำ นางพิงหน้าต่างมองฟ่านอวี๋กับเหวินอวี่เซวียนคุยกัน “หมู่นี้ท่านอาจารย์ของข้าและท่านลุงจั่วสนิทสนมกันมาก นางรับของขวัญที่มาจากลุงจั่วทั้งหมดเลย”

“อย่างนี้ก็ดีเช่นกัน” เพราะอาจารย์ของเขาดูเหมือนไม่เคยคิดเช่นนั้นกับอาจารย์ฟ่าน อาจารย์ฟ่านยอมรับจั่วอวิ๋นหู่ย่อมดีดีแล้ว

“ท่านดูศิษย์พี่หญิงของข้าและท่านอาเวินสิ…” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปอีกทาง “เหตุใดจึงรู้สึกแปลกพิกล? ศิษย์พี่หญิง ท่านอาเวิน…”

คนหนึ่งเป็นพี่ คนหนึ่งเป็นอา…

สองคนนี้ดูน่าสนใจอยู่เหมือนกัน

อืม อีกประเดี๋ยวค่อยถามท่านแม่ว่าภายหน้าต้องเปลี่ยนคำเรียกหรือไม่ หากต้องเปลี่ยน เช่นนั้นควรเรียกอย่างไร?

“พวกเรามาสายแล้ว” ครอบครัวของหวงเฉิงเฟิงและหูโม่ลี่มาถึงช้ากว่าผู้อื่น

หวงเฉิงเฟิงยังรับผิดชอบส่วนบัญชีของกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยอยู่ หากจะกล่าวไปแล้ว เป็นเพราะมีเขาอยู่ที่นี่ จึงช่วยแบ่งเบามู่ซืออวี่ไปไม่น้อย

บัดนี้เขาดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ไม่โทรมและหมองหม่นอย่างที่พบในตอนแรก

หูโม่ลี่และลูกสาวทั้งสองของนางยังคงดูแลร้านขนม ถึงแม้จะเป็นกิจการเล็ก ๆ แต่ก็เป็นไปด้วยดี คุณภาพชีวิตของครอบครัวพวกเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ลูกสาวทั้งสองย่างเข้าสู่วัยแต่งงาน มีคนเทียวมาสู่ขอไม่น้อย

คนจากครอบครัวหวงยังคงมาหาพวกเขา เพราะอยากจะซ่อมแซมความสัมพันธ์ ทว่าหูโม่ลี่ปฏิเสธโดยไม่ไว้หน้า จากนั้นจึงสั่งให้คนไล่พวกเขาออกไป

ท้ายที่สุด หูโม่ลี่ก็มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิงสาราสัตว์เหล่านั้นด้วยตนเองแล้ว

อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจทำอันใดมารดาผู้ให้กำเนิดได้ จึงทำเพียงปฏิเสธที่จะให้เงินเมื่ออีกฝ่ายมาหา นางไม่กล้าไล่ผู้เป็นแม่กลับไป

“ซืออวี่” หูโม่ลี่เข้าไปหามู่ซืออวี่ “ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้าเสียหน่อย”

มู่ซืออวี่กำลังทำสิ่งที่เรียกว่าเค้กวันเกิด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดมือลง

“ท่านป้า มีอะไรหรือ?”

“เรื่องเป็นอย่างนี้” หูโม่ลี่นำกล่องใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือของที่พ่อเจ้าให้ข้านำมาให้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับเขา นับประสาอะไรกับรับของขวัญจากเขา แต่เขายืนกรานจะให้ข้าเอามันมาให้ได้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่านานเพียงใดถึงจะมีโอกาสได้พบกันอีก จึงใจอ่อนนำมันมาด้วย หากเจ้าไม่รับ ข้าก็จะเอาไปคืนเขา”

มู่ซืออวี่เหลือบมองถงซื่อที่อยู่ข้าง ๆ

ถงซื่อถอนหายใจเบา ๆ “รับไว้เถอะ! อย่างไรเขาก็เป็นตาของเด็กสองคนนั้น”

“ข้าจะรับไว้” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านป้า ก่อนจะกลับ ท่านช่วยข้านำของขวัญตอบแทนไปให้เขาสักหน่อย ข้าไม่คิดเอาเปรียบเขา”

“ได้ยินว่าหนิวเหมยหาเรื่องเขาทุกวี่ทุกวัน ชีวิตเขานับวันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว” ถงซื่อเอ่ย “ครั้งก่อนข้าเห็นเขาเก็บผักเน่าบนถนน น่าสงสารยิ่ง”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท