บทที่ 483 เก็บคนกลับมาอีกแล้ว
บทที่ 483 เก็บคนกลับมาอีกแล้ว
สิบวันแรกเดินทางทางบก จากนั้นพวกมู่ซืออวี่จึงขึ้นไปกับเรือสินค้า และเริ่มต้นเดินทางทางน้ำ
มู่ซืออวี่กังวลเรื่องการปรับตัวของเสี่ยวชิงเอ๋อร์มากที่สุด หลังเดินทางทางน้ำไปได้สองวันจึงรู้ว่าตนกังวลมากเกินไป เพราะเด็กน้อยคนนี้ปรับตัวได้ดียิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
ลู่จื่ออวิ๋นเล่นกับเสี่ยวชิงเอ๋อร์อยู่บนดาดฟ้าเรือ
มู่เจิ้งหานไม่เคยขึ้นเรือมาก่อน จึงไปพูดคุยกับคนเรือ น้องชายผู้นี้มีคำถามมากมาย ในไม่ช้าคนเรือก็คุ้นเคยกับเขา เมื่อเห็นว่ามู่เจิ้งหานนิสัยดีทั้งยังใจกว้าง อีกฝ่ายจึงตอบคำถามทันที
ลู่ฉาวอวี่ไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่า ๆ เขานั่งอ่านตำราอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทว่าเมื่อดูจากท่าทีแล้ว การอ่านตำราคงเป็นเพียงเรื่องรอง แต่การดื่มดำกับสายลมแห่งท้องทะเลต่างหากที่เป็นเรื่องหลัก
เสียงน้ำสาดซัด คลื่นคำรามกึกก้อง เบื้องหน้าพวกเขาเป็นทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพบเจอ
มู่ซืออวี่มองทุกอย่างตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “ได้สัมผัสถึงสายลมที่พัดผ่าน ทั้งยังได้ชมภาพทิวทัศน์อันงดงาม ช่างสุขใจจริง ๆ”
จื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยว่า “หากมีชาดอกไม้สักถ้วย ขนมสักชิ้น จะต้องสบายยิ่งกว่านี้แน่เจ้าค่ะ”
“บนเรือลำนี้ต้องการสิ่งใดย่อมมีสิ่งนั้น ข้าจะไปถามในครัวว่าอาหารกลางวันมีอะไรให้ทานบ้าง” จื่อซูที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
จื่อเยวี่ยนชี้ไปข้างหน้าแล้วตะโกน “ฮูหยินดูสิเจ้าคะ! นั่นอะไร?”
จื่อซูที่กำลังจะจากไปได้ยินเข้าจึงหันไปดู พบว่าผิวน้ำเบื้องหน้ามีบางอย่างสีดำลอยอยู่ “ดูเหมือนจะเป็นคน”
“เหตุใดจึงมีคนลอยอยู่ในทะเล?” จื่อเยวี่ยนถาม “มองไปสุดลูกหูลูกตาที่นี่ล้วนมีแต่น้ำรายล้อม หากเป็นคน จะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?”
“รีบไปแจ้งเถ้าแก่เรือมาดูเร็ว” มู่ซืออวี่บอก “เขามีประสบการณ์ทางนี้มากกว่า ให้เขามาดูเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
ไม่นานนักเถ้าแก่เรือก็รุดมา
เมื่อเห็นสิ่งที่ลอยอยู่ข้างหน้า เขาก็เรียกคนเรือ “ไปบอกผู้คุมหางเสือให้หันเรือไปทางซ้ายหน่อย ถูกแล้ว ๆ… ไปข้างหน้าอีกนิด…”
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้และเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจน แต่ละคนล้วนขนพองสยองเกล้า
เป็นคนจริง ๆ
นอกจากกลุ่มคนที่กระจัดกระจายอยู่มากมาย ยังมีซากปรักหักพังของเรือด้วย
“ดูสิ เรือลำนี้ดูเหมือนจะเป็นเรือส่วนตัว” เถ้าแก่เรือเอ่ย “ดูแล้ว… เกรงว่าพวกเขาคงจะตายก่อนวัยอันควร”
“ท่านลุง ท่านดูคนทางนั้นสิ เมื่อครู่นี้เขาขยับตัว” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่ร่างเล็ก ๆ ข้างหน้า “คนที่ถูกอุ้มไว้ ตรงนั้น!”
“จริงด้วย…” เถ้าแก่เรือมองดู “ช่วยคนเร็วเข้า!”
คนเรือช่วยคนผู้นั้นขึ้นมา
มู่ซือวี่มองศพเหล่านั้นแล้วเอ่ยว่า “มีศพมากมายเพียงนี้อยู่ที่นี่ ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร”
“ฮูหยิน ข้ารู้ว่าท่านมีความตั้งใจดี ทว่าสำหรับคนเดินเรือผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลเช่นเราแล้ว การตายในทะเลไม่ใช่เรื่องแปลก จริงอยู่ที่ตอนนี้พวกเขายังลอยละล่องอยู่กลางทะเล แต่เมื่อศพถูกนกทะเลกัดกินแล้ว ก็จะเหลือเพียงกระดูก ค่อย ๆ จมลงไปใต้มหาสมุทร กลายเป็นวิญญาณอาฆาตที่ไม่อาจกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนได้”
มู่ซืออวี่ทราบดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมานั้นเป็นความจริง
นางจึงเอ่ยกับจื่อซูและจื่อเยวี่ยนว่า “พาคุณหนูและนายน้อยกลับเข้าไปในห้องโดยสาร อย่าเพิ่งออกมา”
บนเรือมีท่านหมอคนหนึ่งที่ทำงานให้เถ้าแก่เรือ ท่านหมอตรวจดูผู้โชคดีที่ได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ บอกว่าอีกฝ่ายเพียงหมดสติไปเพราะความหิว
ผ่านไปสองสามวัน เรือของพวกเขาก็หลุดออกมาจากบริเวณนั้น ทุกคนอารมณ์ดีขึ้นและยินดีออกมาจากห้องโดยสารเพื่อดูทิวทิศน์ข้างนอก
“ท่านแม่ คุณชายเจียงฟื้นแล้ว เขาอยากออกมาขอบคุณท่านด้วยตนเอง” ลู่ฉาวอวี่เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
มู่ซืออวี่กำลังเล่นอยู่กับลู่จื่อชิง ครั้นได้ยินดังนั้น นางจึงหันไปมอง
ชุดที่เด็กหนุ่มผู้นั้นใส่เป็นของฟ่านเหยี่ยน ฟ่านเหยี่ยนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาและมีความสูงเท่า ๆ กัน มองดูรูปโฉมแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตาหล่อเหลามาก ทว่าสายตาของเขากลับเย็นชาเล็กน้อย
“ขอบพระคุณฮูหยินที่ช่วยข้าน้อยแซ่เจียงไว้” เจียงหว่านเฉินเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
“ผู้ที่ช่วยเจ้าเป็นเถ้าแก่เรือและคนเรือของเขา และคนที่พบเจ้าก็เป็นลูกสาวของข้า ข้าไม่ได้ทำอันใด ไม่คู่ควรให้เจ้าขอบคุณ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ขอแค่เพียงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว จากนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ? หากจุดหมายอยู่ระหว่างทาง พวกเราไปส่งเจ้าได้ แต่หากเจ้าต้องไปที่อื่น ข้าจะให้เจ้ายืมค่าเดินทางก่อน พบกันครั้งหน้าค่อยคืนให้ข้าก็แล้วกัน”
“ฮูหยินไม่ถามว่าข้าเป็นผู้ใดหรือ?” เจียงหว่านเฉินเอ่ย “มีคนตายมากมายถึงเพียงนั้น บางทีข้าอาจเป็นผู้ร้าย”
“คนเหล่านั้นคงเป็นคนของเจ้ากระมัง? พวกเขาพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะยกเจ้าไว้เหนือน้ำก่อนจะตาย เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เจ้าจมน้ำ แสดงว่าอย่างน้อยเจ้าก็เป็นเจ้านายที่ชนะใจคน เจ้าอายุไม่มากนัก รุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายข้า หากเอาใจเขามาใส่ใจเรา พอเห็นเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า ข้าก็อดปฏิบัติกับเขาเหมือนเด็ก ๆ และรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ ส่วนเรื่องผู้ร้าย ต่อให้เจ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร ช่วยคนไว้ก่อน พวกเรามีมากถึงเพียงนี้จะจัดการเจ้าเพียงคนเดียวไม่ได้เลยหรือ? แต่ดูจากแววตาใสกระจ่างและท่าทีที่โดดเด่นเป็นสง่าของเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องมีพื้นเพไม่ธรรมดาแน่นอน”
“ผู้น้อยแซ่เจียง นามหว่านเฉิน” เจียงหว่านเฉินเอ่ย “องค์ชายห้ารู้จักผู้น้อย ดังนั้นผู้น้อยไม่ใช่ผู้ร้าย ฮูหยินโปรดวางใจ”
“ข้าว่าแล้วเชียว” มู่ซืออวี่หันไปมองฟ่านเหยี่ยน “เสื้อผ้าขององค์ชายคงไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสวมใส่ได้กระมัง หากเขาไม่เป็นฝ่ายให้เจ้ายืมเสื้อผ้า เจ้าคงไม่อาจสวมใส่”
“ฮูหยิน บิดาเขาคือเสนาบดีกรมกลาโหม” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ย “พวกเราเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังเยาว์ นับว่าเป็นสหายสนิท!”
“เป็นดังคาด”
เขาเป็นบุตรหลานตระกูลขุนนางจริง ๆ
“เช่นนั้นเจ้าก็จะเข้าเมืองหลวงเช่นกันหรือ?”
“ขอรับ”
“ทางเดียวกันพอดี เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าขาดเหลือสิ่งใดก็ไปหาองค์ชายห้า พวกท่านคุ้นเคยกันดีไม่ใช่หรือ!”
ลู่จื่ออวิ๋นมองเจียงหว่านเฉินที่อยู่ตรงหน้า
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าต้องมองเขาด้วย?” ฟ่านเหยี่ยนพลันรู้สึกไม่พอใจ
หลายวันต่อมา พวกเขาก็เข้าเทียบฝั่ง ซื้อรถม้าจากที่นั่นแล้วเดินทางต่อไป
ในตอนนี้เอง ลู่จื่อชิงเริ่มงอแงเล็กน้อย ดังนั้นมู่ซืออวี่จึงค่อย ๆ เดินทาง นางใช้เวลาเดินทางถึงสองวันจากที่แต่เดิมเพียงวันเดียวก็ถึง ท้ายที่สุดจึงม้าช้ากว่ากำหนดการถึงหนึ่งเดือน
ณ ประตูหน้าเมืองหลวง รูปร่างสง่าผ่าเผยของลู่อี้ทำให้สตรีมากมายต้องเหลียวหลัง บางนางถึงขนาดใจกล้ารุดมาสนทนากับเขา ทว่าสายตาจากลู่อี้ทำให้พวกนางจำต้องถอยกลับ
เซี่ยคุนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “หากฮูหยินเห็นภาพนี้ นางจะยังไม่โกรธอีกหรือ? ใต้เท้าลู่ ท่านโดดเด่นเกินไปแล้ว”
ลู่อี้ก้มหน้าลงพิจารณาตนเอง “โดดเด่นเกินไปหรือ?”
“ท่านแต่งกายพิถีพิถันปานนี้ ราวกับสตรีที่อยากมาพบคนรักก็ไม่ปาน นี่ยังไม่เรียกว่าโดดเด่นอีกหรือ?” เซี่ยคุนเอ่ย “ดียิ่งนัก ฮูหยินยังไม่ทันมาถึง ก็มีผึ้ง มีดอกไม้มารุมล้อมท่านเสียแล้ว”
“เงียบปากซะ”
“วางใจเถิด ข้าจะไม่เอ่ยออกไปแน่นอน” เซี่ยคุนเอ่ย “เหตุใดนายท่านรองลู่ไม่มาด้วยเล่า? วันนี้ฮูหยินมาถึงเมืองหลวง เขาบอกว่าจะมาพบไม่ใช่หรือ?”
“มาแล้ว” ลู่อี้ก้าวออกไปข้างหน้า
ไม่นานรถม้าก็เคลื่อนมาถึง
เซี่ยคุนหยุดพูดคุย แล้วจ้องมองรถม้าที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์และฉาวอวี่เพิ่งฉลองวันเกิดครบสิบเอ็ดปีไป ทั้งคู่จะต้องโตขึ้นมากแน่” เซี่ยคุนเอ่ย “กับหนุ่มน้อยฉาวอวี่ข้าไม่กังวล เกรงว่าเขาจะอุดอู้อยู่กับตำรา และภายหน้าคงกลายเป็นท่านคนที่สอง”
รถม้าหยุดลงตรงหน้าพวกเขา
มือข้างหนึ่งเอื้อมเปิดม่านออก จากนั้นร่างปราดเปรียวก็กระโดดลงมา
“ใต้เท้าลู่ ท่านอาเซี่ย ไม่ได้พบกันเสียนาน” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยทักท้ายทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม