สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 490 คำเตือนสีเลือด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 490 คำเตือนสีเลือด

บทที่ 490 คำเตือนสีเลือด

ผู้ติดตามเดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับฉู่หนิงจู “คุณหนูฉู่ ของขวัญที่ท่านอ๋องน้อยของเราส่งมา ท่านคงได้รับแล้วกระมัง?”

ฉู่หนิงจูมองผู้ติดตามผู้นี้ สายตาแฝงแววรังเกียจ

บ่าวนายล้วนเหมือนกัน ดูจากท่าทีเย่อหยิ่งจองหองและหยาบคายของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมคาดเดาได้ไม่ยากว่าเกิ่งเชียนจวินมีนิสัยเช่นไร

“นี่หมายความว่าอย่างไร?” ฉู่หนิงจูเอ่ยถาม

ผู้ติดตามคนนั้นหัวเราะออกมา “คุณหนูฉู่ ท่านไม่รู้จริง ๆ หรือว่าแสร้งไม่รู้กันแน่? เนื้อผ้าลายนี้ ท่านไม่รู้สึกคุ้นตาบ้างเลยหรือ?”

“ข้าไม่ได้ให้เจ้าเข้ามาเพื่อพูดจาไร้สาระ” ฉู่หนิงจูเอ่ยอย่างเยือกเย็น “เจ้าว่า… หากข้าเอ่ยปากว่าเจ้าเหิมเกริมกับข้า แล้วตีเจ้าจนตาย นายของเจ้าจะแก้แค้นให้หรือไม่?”

สีหน้าทีเล่นทีจริงของผู้ติดตามหายไปทันที

“คุณหนูฉู่อย่าได้โมโหไป”

“ตอนนี้พวกเรามาคุยกันดี ๆ ได้หรือยัง?” ฉู่หนิงจูเอ่ยอย่างใจเย็น “ว่ามา นี่คืออะไร? ท่านอ๋องน้อยของพวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

ผู้ติดตามคนนั้นสงบเสงี่ยมลง ไม่วางท่าหยิ่งยโสเหมือนก่อนหน้านี้ เขาหลุบตาลงแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “วันนี้เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในวัง หมาป่าซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของพระนางลี่เฟยกัดใต้เท้าท่านหนึ่งเข้า ขาของใต้เท้าท่านนั้นบาดเจ็บสาหัส ผ้าชิ้นนี้ติดอยู่ที่ปากสัตว์เลี้ยงแสนรักตัวนั้น ท่านอ๋องน้อยกล่าวว่า คุณหนูมีความสัมพันธ์อันดีกับใต้เท้าผู้โชคร้ายนั่น จึงมอบผ้าชิ้นนี้ให้ท่านขอรับ”

ฉู่หนิงจูบีบผ้าเช็ดหน้าในมือ “เจ้าไปได้แล้ว”

“ขอรับ”

หลังจากผู้ติดตามคนนั้นไปแล้ว มู่จิ่นจึงเอ่ยขึ้น “บ่าวจะส่งคนไปตรวจสอบดูว่าวันนี้ในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าค่ะ”

ครึ่งชั่วยามต่อมา มู่จิ่นก็นำข่าวเข้ามาแจ้ง

เมื่อฉู่หนิงจูทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว นางก็เอ่ยด้วยความกระวนกระวายใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมอว่าอย่างไร?”

“ได้ยินว่าบาดแผลค่อนข้างร้ายแรง เขาได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้างเจ้าค่ะ” สีหน้าของมู่จิ่นเต็มไปด้วยความกังวล “คุณหนู ท่านอ๋องน้อยกำลังเตือนท่าน เรื่องนี้บางทีอาจเป็นเขาที่ทำ”

“นอกจากเขาแล้วยังจะมีผู้ใดอีก?” ฉู่หนิงจูเอ่ย “มู่จิ่น เจ้าว่าท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าแต่งงานกับคนเช่นนี้ ชีวิตภายภาคหน้าของข้าจะยังสงบสุขได้อีกหรือ? ข้ายินดีแต่งงานกับคนธรรมดาทั่วไปมากกว่าแต่งกับคนเช่นนี้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ของข้าคงไม่ยินยอม พวกเขารังแต่จะผลักไสข้าให้จวนเฝินหยางอ๋อง เจ้าว่าหากข้าหนีไปจะเป็นอย่างไร? เหมือนครั้งก่อน ข้าหนีไปสถานที่ที่พวกเขาไม่รู้จักดีหรือไม่?”

“คุณหนู ขออภัยที่บ่าวต้องเอ่ยคำพูดไม่รื่นหู ครั้งก่อนท่านหนีออกไป ท่านหนีไปได้พ้นจริง ๆ หรือ? ทุกการเคลื่อนไหวของท่านล้วนอยู่ในสายตาของนายท่านและฮูหยิน พวกเขารู้ว่าอย่างไรเสียท่านก็จะกลับมาจึงมิได้ทำสิ่งใดกับท่าน แต่หากท่านจะหนีไปจริง ๆ เกรงว่าคงหนีไม่ทันพ้นเมืองหลวงแน่เจ้าค่ะ”

“ข้าอยากไปดูลู่เซวียนสักหน่อย”

“คนของท่านอ๋องน้อยจวินต้องจับตามองท่านอยู่เป็นแน่”

“ข้า… ข้าจะไปยามกลางคืน ใช่ กลางคืนเห็นได้ไม่ชัด เช่นนั้นข้าก็จะแอบไป ตกลงตามนี้ ห้ามมีข้อแม้”

ลู่เซวียนได้รับบาดเจ็บ ใต้เท้าเหมียวสหายร่วมงานของเขาจึงมาเยี่ยมเยียน

มู่ซืออวี่นำชาเข้ามา ระหว่างนั้นนางก็ลอบสังเกตใต้เท้าเหมียวไปพลาง ๆ

คนผู้นี้ดูเหมือนจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลู่อี้ พูดจาลื่นไหล เมื่อมองใบหน้าซื่อสัตย์ไร้พิษภัยของเขาแล้วทำให้รู้สึกได้ถึงความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน

“ครั้งนี้สหายลู่หละหลวมเกินไปแล้ว” เหมียวหมิงเหล่ยเอ่ย “หมาป่าตัวนั้นพระนางลี่เฟยเลี้ยงมา อีกทั้งลี่เฟยยังเป็นที่โปรดปราน ขนาดฮองเฮายังต้องยอมถอยให้”

สรุปง่าย ๆ คือ ครั้งนี้ลู่เซวียนคงต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้โดยเรียกร้องอะไรจากใครไม่ได้

“ขาของท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

ลู่เซวียนเอนตัวลงบนเตียง สีหน้าซีดเผือด เขาเอ่ยกับเหมียวหมิงเหล่ยอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไร”

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง”

“ใต้เท้าเหมียว เชิญดื่มชาก่อน” เมื่อมู่ซืออวี่พูดขึ้น จื่อซูจึงนำชาไปให้แขก

“ขอบคุณฮูหยิน” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารีบร้อน ไม่ได้เตรียมของขวัญมาด้วย ทำให้ท่านต้องขบขันแล้ว”

“ไม่เป็นไร” มู่ซืออวี่เอ่ยเรียบ ๆ “ใต้เท้าเหมียวมาเยี่ยมน้องสามีก็นับว่ามีความปรารถนาดีแล้ว น้องสามีของข้าได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ทว่าท่านหมอกล่าวว่า หากเขาได้พักฟื้นสักระยะก็จะไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่ภายหน้าอาจมีรอยแผลเป็น อย่างที่ท่านรู้ รอยแผลเป็นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจทนมอง แต่น้องสามีของข้ายังไม่ทันได้ทาบทามใครเป็นคู่เลย ช่างน่าเศร้านัก”

“รอยแผลเป็นเล็กน้อยบนร่างบุรุษไม่นับเป็นอะไร” เหมียวหมิงเหล่ยเอ่ย “ฮูหยินลู่มิจำเป็นต้องกังวล”

หลังจากเหมียวหมิงเหล่ยกลับไปแล้ว ลู่เซวียนก็รั้งมู่ซืออวี่ไว้ “พี่สะใภ้”

“เจ้าอยากจะนอนลงหรือ? ข้าจะให้บ่าวมาช่วย”

“ไม่ใช่” ลู่เซวียนเอ่ย “พวกเรามาคุยกันเถอะ!”

“ได้” มู่ซืออวี่หาเก้าอี้แล้วนั่งลง “เจ้าอยากคุยอะไร? หากเจ้ากังวลเรื่องขาของเจ้าก็วางใจเถิด ข้าจะหายาลบรอยแผลเป็นที่ดีที่สุดมาให้ รอยแผลเป็นของเจ้าจะต้องจางลงแน่ แต่ใต้เท้าเหมียวก็กล่าวได้ถูกต้องแล้ว รอยแผลเป็นเล็กน้อยบนร่างกายบุรุษไม่นับเป็นอะไร”

“พี่สะใภ้จงใจเอ่ยใช่หรือไม่ คงพูดเพื่อให้คุณหนูเหมียวได้ยินกระมัง?” ลู่เซวียนกล่าว “พี่สะใภ้ได้พบกับคุณหนูเหมียวแล้ว ท่านคิดว่านางเป็นอย่างไร?”

“ข้าคิดว่านางเป็นอย่างไรไม่สำคัญ เจ้าคิดว่านางเป็นอย่างไรนั้นสำคัญที่สุด” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าอยากจะแต่งงานกับนางจริง ๆ หรือ?”

“พี่สะใภ้ไม่ชอบนางหรือ?”

“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น?”

“หากพี่สะใภ้ชอบคนผู้หนึ่ง สายตาของท่านจะอบอุ่นเมื่อเอ่ยถึง” ลู่เซวียนเอ่ย “ทว่าตอนที่ท่านเอ่ยถึงคุณหนูเหมียว สายตาท่านกลับไร้แววนั้น”

“แม้แต่สายตาอบอุ่นของน้องสามียังไม่ปรากฏเลย แล้วเจ้ายังจะหวังให้มันปรากฏในสายตาพี่สะใภ้ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ย้อน “น้องสามี พี่สะใภ้ไม่ได้บังคับให้เจ้าแยกครอบครัวออกไปใช้ชีวิต เจ้ามิจำเป็นต้องรีบร้อนแต่งงานออกไป ในความคิดข้า การแต่งงานของเจ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ค่อย ๆ ไตร่ตรองไปจะดีกว่า”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะหาเวลาคุยเรื่องนี้กับสหายเหมียว”

มู่ซืออวี่ “…”

เหตุใดจึงเปลี่ยนใจง่ายดายเพียงนี้?

นางคงกลายเป็นข้ออ้างของเขาไปแล้วกระมัง อันที่จริงเป็นเจ้าตัวเองต่างหากที่ไม่อยากแต่งงาน ในใจเกิดลังเลขึ้นมาจึงใช้พี่สะใภ้อย่างข้าเป็นข้ออ้างปฏิเสธการแต่งงานนี้

“จริงสิ เรื่องที่เจ้าได้รับบาดเจ็บคราวนี้ เจ้าคิดอะไรออกหรือไม่? ทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือ?”

ลู่เซวียนหลุบตาลง “อืม”

จะเป็นอุบัติเหตุได้อย่างไร?

เกิ่งเชียนจวินมองเขาถูกหมาป่าตัวนั้นกัดอยู่ไม่ไกล อีกทั้งยังหัวเราะอย่างบ้างคลั่งราวกับกำลังชมการแสดงดี ๆ

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกพี่สะใภ้

นี่เป็นความแค้นของเขา เขาจะต้องชำระด้วยตนเอง

ตกดึก เงาของร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ประตูหลังเรือนลู่เซวียน

“คุณหนู บ่าวติดสินบนบ่าวรับใช้ใต้เท้าลู่แล้ว เขารับปากว่าจะเปิดประตูหลังเอาไว้”

“เช่นนั้นรีบหน่อย อย่าให้ผู้อื่นเห็น”

นายบ่าวลอบเข้าไปในบ้านของลู่เซวียน

จู่ ๆ แสงไฟก็สว่างขึ้นมากะทันหัน

บ่าวรับใช้หลายคนเข้ามารุมล้อม

“พวกเจ้าทำอะไร?” มู่จิ่นยืนบังฉู่หนิงจู

“พวกเจ้าสองคนบุกรุกบ้านผู้อื่น คำนี้มิใช่พวกเราที่ต้องถามหรอกหรือ?” หัวหน้าผู้คุ้มกันเอ่ย “ช่างเถอะ ไปอธิบายกับนายท่านของพวกเราด้วยตนเองก็แล้วกัน! เชิญทางนี้ แม่นางทั้งสอง”

ลู่เซวียนกำลังอ่านตำรา เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จึงเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น

หัวหน้าผู้คุ้มกันเอ่ย “มีคนบุกรุกที่สวนด้านหลังขอรับ นายท่านโปรดตัดสินโทษด้วย”

“ลู่เซวียน ข้าเอง…” ฉู่หนิงจูเอ่ยปากขึ้น “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”

ลู่เซวียนหยุดอ่านตำรา เขาวางตำราลงแล้วเอ่ยว่า “ให้นางเข้ามา”

หัวหน้าผู้คุ้มกันผลักฉู่หนิงจูเข้าไป ทิ้งมู่จิ่นให้เฝ้าอยู่ข้างนอก

“ลู่เซวียน…” ฉู่หนิงจูแต่งกายในชุดบุรุษเหมือนครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน นางค่อย ๆ มองเขาโดยไล่สายตาพิจารณาช้า ๆ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท