บทที่ 494 ท่านอ๋องน้อยโด่งดังแล้ว
บทที่ 494 ท่านอ๋องน้อยโด่งดังแล้ว
“เป็นอย่างไร?” เซี่ยเฉิงจิ่งลงจากหลังม้า เขาเอ่ยถามขณะที่กำลังสะบัดข้อมือของตน
ผู้ติดตามเข้ามาใกล้ ๆ เอ่ยสองสามคำขณะข่มรอยยิ้มเอาไว้
เซี่ยเฉิงจิ่งได้ยินดังนั้น มุมปากพลันหยักยกขึ้น
“ไปสืบมาว่าสาวน้อยผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงใจกล้าเพียงนี้”
“ข้าน้อยส่งคนไปตรวจสอบแล้วขอรับ ไม่นานคงมีข่าวกลับมา”
“เช่นนั้นเจ้าไปทำอย่างอื่นเถอะ…” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นและหยางเจิงลงจากรถม้า ก็เห็นรถม้าหรูหราหลายคันผ่านหน้าไปพอดี
“วันนี้เป็นวันอะไรหรือ? เหตุใดจึงมีผู้สูงศักดิ์มากมายเพียงนี้ไปที่สนามม้า?” คนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“ได้ยินว่ามีการจัดงานแข่งขันฉุยหวัน*[1] อะไรสักอย่างนี่แหละ คุณชายและคุณหนูจากตระกูลขุนนางเหล่านั้นจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น แต่ปกติการแข่งขันเช่นนี้มักเตรียมการล่วงหน้า เหตุใดครั้งนี้จึงกะทันหันนัก?”
“คุณชายและคุณหนูตระกูลผู้มั่งมีเหล่านั้น แต่ไหนแต่ไรคิดจะจัดงานก็จัด คราก่อนคุณหนูจากตระกูลผู้รากมากดีคนหนึ่งมาซื้อพัดร้านข้า แรกเริ่มก็ดี แต่จู่ ๆ นางก็เปลี่ยนท่าที ไม่เพียงไม่ซื้อพัด แต่ยังทำลายร้านข้าด้วย คุณหนูสูงศักดิ์เหล่านี้ผู้ใดบ้างที่มีเหตุผล?”
“จื่ออวิ๋น พวกเราไปทำธุระต่อเถอะ!” หยางเจิงเอ่ย
“อื้ม” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มออกมา
การแข่งขันฉุยหวันอย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเกิ่งเชียนจวินจะยิ่งกลายเป็นตัวตลกหรือ?
ดูเหมือนแม้แต่สวรรค์ยังไม่อาจทนดู จึงอยากให้เขาอับอายขายหน้าโดยสมบูรณ์
“เพียงแค่ไปส่งของ นึกไม่ถึงว่าจะนานเพียงนี้” ฮวาหรงเห็นพวกนางกลับมาก็รู้สึกแปลกใจ
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จากที่นี่ไปถึงสนามม้า แม้จะไม่แวะที่ใดเลยก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามสำหรับเดินทางไปกลับ พวกเราไปส่งสินค้าให้อีกฝ่าย ทั้งยังต้องรอพวกเขาตรวจสินค้า จากนั้นก็กลับมาโดยมิได้เชือนแชเลยสักนิด”
“ใช่แล้ว” หยางเจิงพยักหน้า
เดิมทีกล่าวไว้ดิบดีว่าจะเลี้ยงเกี๊ยวน้ำลู่จื่ออวิ๋น แต่เพราะเสียเวลาไปมาก ทั้งยังตื่นตระหนกเล็กน้อยจึงไม่ได้ไป
“ลู่จื่ออวิ๋น เจ้ามาแล้วหรือ?” ผู้ดูแลเมิ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักเรียกนาง
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
ณ เรือนลู่เซวียน เหมียวเสียนจิ้งนำบ่าวรับใช้เข้ามาเยี่ยม แต่กู้อีเตาผู้ติดตามลู่เซวียนกลับห้ามนางไว้
“นายท่านรองเพิ่งทานยาเข้าไปและกำลังพักผ่อน แม่นางไม่เข้าไปตอนนี้จะดีกว่า”
อู๋ถง สาวใช้ของเหมียวเสียนจิ้งตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณหนูของเราทำน้ำแกงไก่เพื่อมาส่งให้ใต้เท้าบ้านพวกเจ้าโดยเฉพาะ เหตุใดจึงต้องห้ามคุณหนูของเราไม่ให้เข้าไปเล่า?”
“บุรุษสตรีมิควรใกล้ชิดกัน” กู้อีเตาเอ่ยเสียงเรียบ “นายท่านรองของเราได้รับบาดเจ็บในจุดที่สตรีไม่ควรเห็น”
“อู๋ถง ช่างเถิด” เหมียวเสียนจิ้งเอ่ย “เอาน้ำแกงไก่ฝากพี่ชายผู้คุ้มกันท่านนี้ไปเสีย!”
อู๋ถงส่งถ้วยน้ำแกงไก่ในมือให้กู้อีเตา
กู้อีเตาไม่ได้รับไว้ “ขออภัยคุณหนูเหมียว นายท่านของพวกเรากล่าวว่า เขาไร้คุณงามความชอบใด ๆ จึงไม่ขอรับรางวัลตอบแทน ท่านนำกลับไปดื่มเองเถอะ!”
“เจ้า!…” อู๋ถงโมโหมาก นางหันกลับไปมองเหมียวเสียนจิ้น “คุณหนู ท่านจะฟังสิ่งที่เขาพูดหรือเจ้าคะ? ข้าคิดว่าคำเหล่านี้ล้วนเป็นเขาที่เอ่ยเอง! ใต้เท้าลู่ไม่มีทางเอ่ยถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้เป็นแน่เจ้าค่ะ”
“ไร้ความชอบไม่รับสิ่งตอบแทนเป็นถ้อยคำหยาบคายงั้นหรือ?” กู้อีเตาเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า “นี่เป็นถ้อยคำที่นักปราชญ์ชื่อดังจากกาลก่อนเอ่ยไว้ต่างหาก”
“พวกเราไปกันเถอะ” เหมียวเสียนจิ้งรู้สึกอับอาย จึงหมุนตัวจากไป
กู้อี้เตามองบ่าวรับใช้สองสามคนที่อยู่ไม่ไกลออกไป “ส่งคุณหนูเหมียวกลับ!”
เมื่อเหมียวเสียนจิ้งและสาวใช้เดินจากไปแล้ว เขาก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน
“ใต้เท้าขอรับ นางไปแล้ว”
“อืม เจ้าทำได้ดีมาก” ลู่เซวียนมองกู้อีเตา “ท่านลุงเซี่ยส่งเจ้ามาให้ข้า นับแต่นี้ไปเจ้าคือคนของข้า ดังนั้นจงเชื่อฟังคำสั่งของข้า เข้าใจหรือไม่?”
“ใต้เท้าวางใจ นายท่านเซี่ยบอกไว้แล้ว ในเมื่อข้าติดตามใต้เท้า ตั้งแต่นี้ไปนายของข้ามีใต้เท้าเพียงผู้เดียว ต่อให้เป็นพี่ชายของท่านออกคำสั่งข้าย่อมมิฟัง” กู้อีเตามีสีหน้าเยือกเย็น น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ระยะนี้ข้าไม่ต้องออกไปข้างนอก เจ้าไม่จำเป็นต้องติดตาม เพียงแต่ต้องคุ้มกันบ้านให้ดีเท่านั้น เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
มู่ซืออวี่เดินมาจากข้างนอกก็เห็นเหมียวเสียนจิ้งและสาวใช้กำลังออกมา ทั้งสองคนดูไม่สบอารมณ์นัก
เมื่อเหมียวเสียนจิ้งเห็นมู่ซืออวี่จึงหยุดฝีเท้าน้อมคำนับ “ฮูหยินลู่”
มู่ซืออวี่หันมาทักทาย “คุณหนูเหมียว สีหน้าท่านมิสู้ดีนัก ท่านรู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่?”
“ข้ารู้สึกไม่สบายอยู่เล็กน้อยจริง ๆ” เหมียวเสียนจิ้งเอ่ย “วันนี้คงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
มู่ซืออวี่มองร่างเหมียวเสียนจิ้งค่อย ๆ เดินลับหายไป จากนั้นก็เอ่ยถามจื่อซูที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้าไปสืบมาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยว่า “ฮูหยิน มิจำเป็นต้องรบกวนแม่นางจื่อซูไปสอบถาม บ่าวรู้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าว่ามา”
“นับแต่ใต้เท้าของเราได้รับบาดเจ็บ คุณหนูเหมียวผู้นี้มักจะมาปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้ง ข้างนอกเริ่มมีข่าวลือหนาหูขึ้นมาบ้างแล้ว หากยังไม่หยุด เกรงว่างานแต่งนี้คงยกเลิกได้ยาก วันนี้คุณหนูเหมียวต้องการพบนายท่านรองลู่ แต่เขาปฏิเสธ ดังนั้น… นางจึงไม่สบอารมณ์เจ้าค่ะ”
“มิน่าเล่า” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “แม้น้องสามีจะต้องการแต่งงานกับคุณหนูเหมียวจริง ๆ ก็ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้อยู่ดี ชื่อเสียงสตรีนั้นสำคัญ จะปล่อยให้เสื่อมเสียได้อย่างไร?”
เมื่อลู่เซวียนเห็นมู่ซืออวี่เข้ามา เขาพยายามจะลุกขึ้น “วันนี้พี่สะใภ้เปิดร้านมิใช่หรือ? ทางนั้นไม่ยุ่งรึ?”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นอาจารย์มานานถึงเพียงนี้โดยเปล่าประโยชน์หรือ? ข้าปั้นลูกศิษย์ลูกหาไว้มากมาย งานจิปาถะพวกนั้นล้วนให้พวกเขาจัดการ ข้าเพียงแค่คอยมองภาพรวมเท่านั้น อย่างเช่น หากมีสิ่งใดที่พวกเขาแก้ปัญหาไม่ได้ ข้าค่อยยื่นมือออกไปช่วย จริงสิ เมื่อครู่นี้ข้าพบแม่นางสกุลเหมียว เจ้าคิดอย่างไร? ข้าเห็นว่าสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก”
“นางดียิ่ง แต่พี่สะใภ้มิชมชอบ เช่นนั้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างข้าและท่าน ข้าจะลองคิดดูอีกครั้ง!”
“หยุดเลย เจ้าไม่ชอบนางก็คือไม่ชอบ เรื่องอะไรต้องเอาข้ามาอ้าง?” มู่ซืออวี่แค่นเสียงเย็นชา “นี่เจ้าจะให้ข้าเป็นแพะรับบาปหรือ?”
“ข้าจะให้พี่สะใภ้เป็นแพะรับบาปได้อย่างไร? ตอนนั้นสหายเหมียวเอ่ยความคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ทว่าข้าไม่ได้รับปาก เพียงแต่กล่าวว่าจะลองกลับไปคิดดู บัดนี้ข้าได้รับบาดเจ็บแล้ว อีกทั้งบาดแผลข้ายังสาหัส เกรงว่าจะแต่งงานไม่ได้ง่าย ๆ ในช่วงนี้ ข้าเพียงไม่อยากให้แม่นางเหมียวต้องเสียเวลา”
“ข้าตรวจสอบเรื่องสกุลเหมียวมาแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “คุณหนูเหมียวเป็นบุตรสาวภรรยาเอกจริง ๆ ทว่ามารดานางสิ้นใจไปนานแล้ว ตอนนี้ฮูหยินเหมียวเป็นแม่เลี้ยงของนาง ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาแม่เลี้ยง ชีวิตของนางไม่ง่ายเลย แม้จะมีใต้เท้าเหมียวเป็นพี่ชายแท้ ๆ ทว่าเขาก็แต่งภรรยาแล้ว ชีวิตตนเองต้องรับผิดชอบมากมาย ย่อมไม่มีทางคอยปกป้องน้องสาวผู้นี้ได้ตลอด”
“เรื่องนี้ข้ากลับไม่ได้ใส่ใจเลย” ลู่เซวียนเอ่ย “ไม่แปลกใจที่เหตุใดนางจึงดูระแวดระวังเช่นนี้”
“ข้าเพียงแต่บอกสิ่งที่ข้ารู้ให้เจ้าฟัง ท้ายที่สุดจะตัดสินใจอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “บาดแผลวันนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ระยะนี้กำลังฟื้นตัว อย่าได้เกาเชียวล่ะ”
“วางใจเถอะ ร่างกายของข้าตอนนั้นอ่อนแอกว่านี้มากยังรอดมาได้ บาดแผลเล็กน้อยเท่านี้ไม่นับเป็นอะไร” ลู่เซวียนเอ่ย “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่คอยดูแลข้าตลอดหลายวันมานี้ ข้าไม่ได้พบฉาวอวี่และเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์มานานแล้ว วันนี้เรียกพวกเขามาทานมื้อค่ำที่จวนข้าเถอะ ข้าอยากถามฉาวอวี่และเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ว่าพวกเขาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ได้ถึงไหนแล้ว”
“ได้”
ยามบ่าย เหตุการณ์หนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง อีกทั้งยังแพร่กระจายไปในระยะเวลาสั้น ๆ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับงานแข่งขันฉุยหวัน
นั่นก็คือ…
[1] ฉุยหวัน คือกีฬาประเภทหนึ่งในสมัยจีนโบราณ มีการใช้ไม้ตีลูกให้ลงหลุม คล้ายกับฮ็อกกี้สมัยใหม่