สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 501 จดหมายจากทางบ้านมีค่าดั่งทองคำ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 501 จดหมายจากทางบ้านมีค่าดั่งทองคำ

บทที่ 501 จดหมายจากทางบ้านมีค่าดั่งทองคำ

มู่ซืออวี่เปิดจดหมายฉบับนั้นออก กวาดสายตาอ่านสิบบรรทัดรวดเดียวแล้วหัวเราะออกมา

“นี่เป็นจดหมายที่คุณหนูเจิ้งเขียนมากระมังเจ้าคะ?” จื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม

มู่ซืออวี่อ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง วางจดหมายนั้นลง เอ่ยตอบออกมาว่า “เป็นนางที่เขียนมา ทว่าเรื่องกิจการนั้นเรียบร้อยดี นางเอ่ยถึงเรื่องท่านแม่และน้องเฉินเสียมากกว่า”

“ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องคิดถึงท่านมากเป็นแน่ ทว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายเฉินหรือเจ้าคะ?”

“เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในช่วงอยากรู้อยากเห็น คำพูดคำจาล้วนมีนิสัยของเด็ก อย่างไรเสียก็น่าสนใจมากทีเดียว” มู่ซืออวี่เอ่ย

ลู่จื่อชิงเดินเตาะแตะเข้ามากอดขานางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ อุ้ม ๆ…”

มู่ซืออวี่อุ้มนางขึ้นมา ลูบผมนุ่ม ๆ ของเด็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่มีเรื่องใดแล้ว พวกเราไปรับพี่สาวเจ้าดีหรือไม่?”

ดวงตาของลู่จื่อชิงเบิกกว้าง ใบหน้าเล็ก ๆ น่ารักของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “รับพี่หญิง… รับพี่หญิง…”

“จื่อซู เจ้าไปนำปิงเฝิ่น*[1] จากอุโมงค์เก็บน้ำแข็งมา อากาศร้อนเช่นนี้ พวกเราให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ทานคลายร้อนเสียหน่อยดีกว่า”

“บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

รถม้าหยุดลงที่ประตูหอซือเป่า

เมื่อเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ออกมาก็เห็นจื่อซูกำลังโบกมือให้นางพอดี

หยางเจิงเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความอิจฉา “ท่านแม่เจ้ามารับเจ้าอีกแล้ว ดีเสียจริง”

“พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน อยากมาเที่ยวเล่นที่บ้านข้าหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม

“ไม่ละ” หยางเจิงถอนหายใจออกมา “ข้ายังต้องดูแลน้องชายและน้องสาว”

“เช่นนั้น มะรืนนี้พบกัน!” ลู่จื่ออวิ๋นโบกมือลาหยางเจิง

“สหายเจ้าอาศัยอยู่ที่ใดหรือ? พวกเราไปส่งนางเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

ลู่จื่ออวิ๋นนึกถึงนิสัยใจคอของหยางเจิงแล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวนางจะอึดอัดใจเอาได้”

“แม่ทำปิงเฝิ่นมาให้ สหายเจ้าชอบกินหรือไม่? หากนางชอบ เช่นนั้นก็ให้เอากลับไปด้วย”

“นางชอบกินเจ้าค่ะ!”

จื่อซูรีบถือตะกร้าที่ใส่ปิงเฝิ่นไล่ตามหยางเจิงที่เดินไปได้ไม่ไกล

หยางเจิงได้ยินคนเรียกจึงหยุดฝีเท้าและหมุนตัวกลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นสาวใช้บ้านลู่จื่ออวิ๋นก็หยุดยืนรออย่างกระวนกระวาย “มีอะไรหรือ?”

“นี่เป็นปิงเฝิ่นที่ฮูหยินของพวกข้าทำด้วยตนเอง ตอนนี้อากาศร้อน ทานเข้าไปช่วยคลายร้อนได้ ทว่าเด็กเล็กทานได้เพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น หากทานมากไปจะท้องร่วงได้ง่าย”

“ให้ข้าทั้งหมดนี้เลยหรือ?” หยางเจิงรู้สึกไม่สบายใจ “ใจดีถึงเพียงนี้…”

“คุณหนูบอกว่าท่านยังมีน้องชายและน้องสาว เด็กเล็กชอบทานของหวานเป็นที่สุด ท่านนำกลับไปแบ่งให้ทุกคนเถอะ นี่ไม่ถือว่ามากเกินไป พวกเรายังมีอีก มิต้องเกรงใจ”

“เช่นนั้น ต้องขอบคุณฮูหยินแล้ว” หยางเจิงเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

จื่อซูจึงกล่าวตอบ ‘มิต้องเกรงใจ’ และกำชับให้นางนำตะกร้าและถ้วยเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างในมาคืนลู่จื่ออวิ๋นเมื่อกลับมาทำงานอีกครั้งวันมะรืน

“พรุ่งนี้วันหยุดหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามลู่จื่ออวิ๋น

“ใช่แล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พรุ่งนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับน้องหญิงได้”

“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงพอดี เจ้าไปกับแม่เถิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “ตอนนี้ ท่านพ่อของเจ้าเป็นผู้ตัดสินคดีศาลต้าหลี่แล้ว ข้าได้รับคำเชิญจากฮูหยินผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ให้ไปฟังงิ้วด้วยกันพรุ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านแม่”

“ได้” มู่ซืออวี่กล่าวต่อ “ท่านพ่อของเจ้าเพิ่งรับตำแหน่ง ยังไม่คุ้นเคยกับพวกเขานัก เท่าที่ข้ารู้ ผู้ที่เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากที่สุดคือใต้เท้าเจี่ย เป็นผู้ตัดสินคดีเช่นเดียวกับเขา ใต้เท้าเจี่ยมีบุตรสาวคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า ส่วนเรื่องอื่น ๆ ข้าไม่ทราบ พรุ่งนี้พวกเราวางตัวไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน”

วันต่อมา มู่ซืออวี่ไปตามที่อยู่ที่เขียนไว้บนบัตรเชิญ ถึงได้พบว่าฮูหยินถาน ฮูหยินของโม่หงป๋อผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ไม่ได้รับรองพวกเขาที่จวนตนเอง แต่กลับไปที่โรงอุปรากร*[2]

“ฮูหยินถานผู้นี้ช่างเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอน” มู่ซืออวี่เอ่ยพลางมองโรงอุปรากรเบื้องหน้านาง

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเจ้าคะ?” จื่อซูเอ่ยถาม

“นางนัดหมายที่โรงอุปรากรแทนที่จะเป็นจวนของนางเอง เพียงเพื่อให้ฮูหยินผู้มาใหม่รู้สึกผ่อนคลาย ในโรงอุปรากรมีลูกค้ามากมาย หากรู้สึกอึดอัดใจก็สามารถหาข้ออ้างออกไปเดินเล่นรอบ ๆ ได้ เช่นนี้จะทำให้คลายความอึดอัดลง”

“เช่นนั้น ดูเหมือนฮูหยินถานผู้นี้จะผูกมิตรได้ง่ายนะเจ้าคะ” จื่อเยวี่ยนเอ่ย

“ผู้ใดจะรู้ได้เล่า? นางเป็นฮูหยินของผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ขุนนางขั้นสาม พวกเราฮูหยินของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายล้วนต้องสนับสนุนนาง หากนางผูกมิตรได้ง่าย เช่นนั้นทุกคนคงผ่อนคลายได้มากขึ้น แต่หากไม่เป็นอย่างที่คิดก็ไม่มีอันใดให้ต้องหวาดกลัว”

ในโรงอุปรากร ฮูหยินทั้งหลายต่างเดินแวะเวียนมาคำนับฮูหยินผู้สูงศักดิ์ไม่ขาดสาย

“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี รีบนั่งลงเถิด” ฮูหยินถานยิ้มบาง ๆ

ทุกคนกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงหาที่นั่งลง

ในตอนนี้เอง มู่ซืออวี่พาลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไป

ทันทีที่ผ่านประตูเข้าไป สายตาคู่หนึ่งก็จับจ้องมาที่พวกนางทันที

“เทพธิดาน้อยผู้นี้มาจากที่ใดกัน? เหตุใดจึงเติบใหญ่ด้วยหน้าตาเช่นนี้?” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก

เดิมทีรูปโฉมของลู่จื่ออวิ๋นก็เลิศล้ำมาตลอด โดยเฉพาะวันนี้ที่นางแต่งกายพิถีพิถันเป็นพิเศษ ใบหน้าเล็ก ๆ แสนประณีตกับชุดกระโปรงสีสว่างทำให้คนสวมใส่ราวกับเป็นเทพธิดาตัวน้อยผู้ลงจากสรวงสวรรค์มาเยี่ยมชมโลกมนุษย์

แม้นต้องเผชิญกับสายตาพินิจพิเคราะห์ของคนมากมายเพียงนี้ มู่ซืออวี่กลับไม่แสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย เอื้อนเอ่ยเสียงหวานใสว่า “คารวะฮูหยินทุกท่าน”

“น้องสาวท่านนี้คือภรรยาใต้เท้าลู่กระมัง?” ฮูหยินถานมองมู่ซืออวี่ จากนั้นสายตาของนางก็หยุดอยู่ที่ลู่จื่ออวิ๋น “ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นคล้ายคลึงกับใต้เท้าลู่ยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จัก”

“เรียนฮูหยิน สามีของข้าแซ่ลู่ นี่คือบุตรสาวของข้า จื่ออวิ๋น” มู่ซืออวี่เอ่ย “วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับพี่หญิงทุกท่าน ข้าน้อยได้เตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มา ได้โปรดรับไว้ด้วย”

ของขวัญที่มู่ซืออวี่เตรียมมาไม่ใช่ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด แต่เป็นจี้หยกที่เตรียมมาให้แต่ละคน จี้หยกนี้ราคาราวห้าสิบตำลึงเงิน

แน่นอนว่าจี้หยกที่ฮูหยินถานได้รับย่อมแตกต่างจากผู้อื่น ราคาราวสามร้อยตำลึงเงิน

ปกติแล้วสตรีจวนหลังทั่วไปจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเพียงสิบถึงยี่สิบตำลึงเงินในแต่ละเดือน สำหรับผู้มีสถานะเช่นฮูหยินถานซึ่งมีสินเดิมเป็นกิจการ แน่นอนว่านางย่อมไม่ขาดเงิน ทว่าสำหรับสตรีส่วนใหญ่ หากสามีมีขั้นขุนนางต่ำและมาจากพื้นเพธรรมดาสามัญ จี้หยกนี้นับว่าเป็นของขวัญชั้นเลิศ

นอกจากฮูหยินถานแล้ว ยังมีฮูหยินรองผู้บัญชาการแห่งศาลต้าหลี่อีกผู้หนึ่ง มู่ซืออวี่เตรียมจี้หยกราวหนึ่งร้อยตำลึงไว้ให้ฮูหยินหรงผู้นี้

เดิมทีศาลต้าหลี่มีรองผู้บัญชาการสองท่าน หนึ่งคือใต้เท้าหลินผู้บังคับบัญชาของลูอี้ เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม ทั้งยังอยู่ลำพังมาตลอดโดยไม่ได้แต่งงาน

ดังนั้น ท่ามกลางฮูหยินยี่สิบกว่าคนในที่นี้ นอกจากฮูหยินถานและฮูหยินหรงแล้ว มู่ซืออวี่และฮูหยินผู้ตัดสินคดีอีกไม่กี่คนมีสถานะสูงศักดิ์กว่าผู้อื่น

“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินลู่เป็นผู้ทำการค้า เข้ากันได้ดีกับทุกคน วันนี้ได้พบแล้ว ข่าวลือนั้นคงเป็นความจริงแน่แท้!” ฮูหยินหรงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “วันนี้มีพี่หญิงน้องหญิงเพิ่มขึ้นมาอีกคน ภายหน้าพวกเราคงครึกครื้นแน่แล้ว”

มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “ข้าน้อยขลาดเขลา ไม่ควรได้รับคำชมเช่นนี้ หากเอ่ยถึงเรื่องที่เข้าได้กับทุกฝ่าย เกรงว่ามิอาจเทียบได้กับฮูหยินหรงที่รับภาระหน้าที่ของตระกูลตั้งแต่เพียงสิบขวบ ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ส่วนความครึกครื้นนั้น มีพี่หญิงน้องหญิงมากมายเพียงนี้ ย่อมต้องครื้นเครงอย่างแน่นอน”

“รีบนั่งลงเถอะ” ฮูหยินถานเอ่ยขึ้น “ลำบากเจ้าเตรียมของขวัญมาแล้ว ในเมื่อเป็นความใส่ใจของเจ้า พวกเราย่อมรับไว้ ทว่าภายหน้าอย่าได้จับจ่ายใช้เงินอีกเลย พวกเราเพียงแค่สังสรรค์กันในหมู่ฮูหยินจวนหลัง ปกติมักจะมารวมตัวกันเพียงเพื่อฆ่าเวลา เจ้ามานั่งตรงนี้เถอะ นี่คือฮูหยินใต้เท้าเจี่ย…”

[1] ปิงเฝิ่น คือวุ้นจากพืชชนิดหนึ่ง นุ่มเด้งคล้ายเยลลี่

[2] โรงอุปรากร เป็นสถานที่จัดการแสดงละครเพลง ในที่นี้เป็นการแสดงละครเพลงแบบจีน ไม่ใช่แบบตะวันตก

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท