บทที่ 504 แมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย
บทที่ 504 แมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย
ฮ่องเต้ส่งพระราชโองการไปยังศาลต้าหลี่ พระราชโองการนั้นระบุไว้ว่าเกิ่งเชียนจวินถูกคนวางแผนใส่ร้าย เขาตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด บัดนี้สืบทราบแล้วจึงมีรับสั่งให้ปล่อยตัวเกิ่งเชียนจวิน และลงโทษด้วยการกักตัวสำนึกผิดเป็นเวลาหนึ่งเดือน
เมื่อศาลต้าหลี่ได้รับพระราชโองการ จึงรีบปล่อยตัวเกิ่งเชียนจวินทันที
ทว่าตอนนี้…
เกิ่งเชียนจวินกลับน้ำลายไหลยืด ใบหน้าของเขาแข็งค้าง สั่นไม่หยุด ราวกับเป็นอัมพาต
ยังเยาว์เช่นนี้ก็เป็นอัมพาตเสียแล้ว มิใช่ว่าไม่เคยได้ยิน เพียงแต่ค่อนข้างหาได้ยากเท่านั้น
เฝินหยางอ๋องเห็นเกิ่งเชียนจวินเป็นเช่นนี้ก็พาลโมโหใหญ่โต เขากำลังจะสร้างความเดือดร้อนให้ทุกคนในศาลต้าหลี่ แต่ลู่อี้ก็พาเขาไปพูดคุยสองสามคำที่มุมหนึ่ง
“ท่านอ๋องอย่าได้โกรธเกรี้ยวไป เมื่อคืนท่านอ๋องน้อยจวินจู่ ๆ ก็เกิดอาการขึ้นมา พวกเราจึงส่งคนไปเชิญหมอหลวง หมอหลวงกล่าวว่าเขาได้รับความตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นระยะเวลานานเกินไปจึงเป็นโรคนี้”
เฝินหยางอ๋องมองลู่อี้ด้วยสายตาซับซ้อน “ข้า… จะนำเขากลับไปก่อน”
เจี่ยงเฉิงผิงจับแขนของเขาไว้ “ท่านเอ่ยอะไรกับท่านอ๋องกัน? เมื่อครู่นี้สีหน้าของเขาราวกับจะฆ่าคน บัดนี้กลับสงบลงแล้ว”
“ข้ากล่าวว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนท่านอ๋องน้อยยังดูเหมือนคนปกติ เขาเป็นโรคนี้ในชั่วข้ามคืน คำอธิบายของหมอหลวงกำกวมยิ่ง ชวนให้สับสนงุนงง โชคยังดี วันนี้พระราชโองการของฝ่าบาทมาถึง ท่านอ๋องน้อยจึงสามารถกลับไปพักฟื้นที่จวนอ๋องได้” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ
เจี่ยเฉิงผิงกระแอมเบา ๆ เหลียวมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา เขาจึงลดเสียงลงแล้วเอ่ยถาม “หากท่านเอ่ยเช่นนี้ เฝินหยางอ๋องจะไม่คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของเบื้องบนหรือ?”
“ข้าไม่ได้กล่าวอะไร เฝินหยางอ๋องเข้าใจว่าอย่างไร ข้าไม่มีทางทราบ ข้าเพียงกล่าวไม่กี่คำเพื่อปลอบใจเขาเท่านั้น” ลู่อี้เอ่ยด้วยความสงบ
“สุนัขจิ้งจอก” เจี่ยเฉิงผิงส่ายหัว “ทว่าเผือกร้อน*[1]นี้ ในที่สุดก็ไปได้เสียที”
หลินอี้เจี๋ยเดินเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนั้น เขาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ว่างนักหรือ? คนผู้นั้นไต่สวนไปถึงไหนแล้ว? เขารับสารภาพหรือยัง?”
“คนอยู่ในมือของหน่วยลับ พวกเขาต้องการไต่สวนคนผู้นั้นก่อน ไต่สวนจนกระทั่งเขาไม่หายใจ จากนั้นค่อยส่งมาให้พวกเรา ตอนนี้คนผู้นั้นใกล้ตายแล้ว พวกเราต้องจ่ายค่ารักษาเพื่อยื้อชีวิตเขาเอาไว้ ระหว่างนี้เกรงว่าจะหาความจริงใด ๆ ออกมาจากเขาไม่ได้ระยะหนึ่ง” เจี่ยเฉิงผิงตอบ
“หากเค้นเอาจากการไต่สวนไม่ได้ เช่นนั้นก็คิดหาวิธีอื่น ยืนอยู่ตรงนี้จะหาออกมาได้หรือ?” สิ้นคำ หลินอี้เจี๋ยกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน ทว่าเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดแล้วเรียกลู่อี้ “เจ้ามานี่ ข้ามีบางอย่างจะให้”
เฝินหยางอ๋องพาตัวเกิ่งเชียนจวินกลับไปยังจวนอ๋อง
เฝินหยางหวางเฟยเดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นกับจวินเอ๋อร์?” เมื่อเห็นสภาพของเกิ่งเชียนจวิน เฝินหยางหวางเฟยพลันตื่นตระหนก นางเขย่าแขนของเกิ่งเชียนจวิน “จวินเอ๋อร์ มองแม่…”
“พอได้แล้ว! ไม่ต้องเรียกแล้ว เรียกเขาไปก็ไร้ประโยชน์” เฝินหยางอ๋องเอ่ยด้วยความโมโห “เขากลายเป็นของไร้ประโยชน์ไปแล้ว”
“พวกเรามีบุตรชายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ!” เฝินหยางหวางเฟยร้องไห้อย่างน่าอดสู “พวกเราจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร? ผู้ใดทำให้เขาเป็นเช่นนี้? ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าเขาอยู่ในศาลต้าหลี่ย่อมปลอดภัย ท่านอ๋อง ท่านต้องร้องเรียนเรื่องลูกของเรานะเพคะ…”
“เงียบปาก!” เฝินหยางอ๋องตวาดขัดเสียงร้องไห้ของเฝินหยางหวางเฟย “เขากระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ รักษาชีวิตเขาไว้ได้ก็ดีมากโข เจ้าอยากดึงทั้งจวนอ๋องไปพัวพันด้วยหรืออย่างไร?”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ได้หรือ? เขาเป็นลูกชายของเรานะเจ้าคะ” เฝินหยางหวางเฟยเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ
“เขาไม่มีประโยชน์แล้ว ทว่าสกุลเกิ่งเราไม่อาจขาดคนจุดธูปหลังสิ้นใจ” เฝินหยางอ๋องเอ่ย “เจ้าไปที่จวนฉู่กั๋วกง ให้พวกเขาเลือกวันแต่งงานโดยด่วน!”
“จวินเอ๋อร์กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เขาจะยอมแต่งบุตรสาวภรรยาเอกออกมาได้อย่างไร?” เฝินหยางหวางเฟยเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“เขาไม่ยินยอมก็ต้องยินยอม” เฝินหยางอ๋องเย้ยหยัน “หากเขายอมแต่งบุตรสาวออกมาอย่างซื่อสัตย์ ข้าจะช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ มิเช่นนั้น…”
ฉู่หนิงจูได้ยินว่าเฝินหยางหวางเฟยนำแม่สื่อมาจึงพามู่จิ่นไปลอบฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงวันแต่งงาน ขาของนางพลันอ่อนแรงพับลงกับพื้น
มู่จิ่นรีบพยุงผู้เป็นนายกลับไปที่ห้อง
“เกิ่งเชียนจวินทำความผิดร้ายแรงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะปล่อยเขาออกมา”
“คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรเจ้าคะ? ท่านยังต้องแต่งออกไป”
“จะต้องมีสักทาง”
บ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก
บ่าวรับใช้ค้อมคำนับฉู่หนิงจู “คุณหนู มีคนส่งจดหมายให้บ่าว ให้บ่าวส่งต่อให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
ฉู่หนิงจูรับจดหมายนั้นมาเปิดอ่าน ดวงตาของนางเปล่งประกายขึ้นมา
“ผู้ใดเขียนจดหมายมาเจ้าคะ?” บ่าวรับใช้เอ่ยถาม
“ลู่เซวียนเขียนมา เขาบอกว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังเบื่อหน่ายกับจวนเฝินหยางอ๋อง หากข้าไปขอให้ท่านป้าช่วย อาจจะยกเลิกการแต่งงานได้” ฉู่หนิงจูเผาจดหมายทิ้งแล้วเอ่ยว่า “เขาเตือนข้าว่า ถึงแม้เกิ่งเชียนจวินจะถูกปล่อยตัว ก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทไม่ได้กริ้ว ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดข้าที่เป็นบุตรสาวของภรรยาของกั๋วกงต้องไปแต่งกับคนไร้ประโยชน์ผู้หนึ่งด้วย? ท่านป้าช่วยข้าได้”
“เรื่องนี้ควรปรึกษากับท่านกั๋วกงหรือไม่เจ้าคะ? หากเขาไม่เห็นด้วย…
“มู่จิ่น ท่านพ่ออยากให้ข้าแต่งงานกับเขามากที่สุด ข้าไม่อาจปรึกษาเขา เขาช่วยข้าไม่ได้” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ข้าต้องการไปพบท่านป้า มีเพียงนางเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”
ทันทีที่ลู่เซวียนออกมาจากกรมคลังก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น เมื่อคนผู้นั้นมองเห็นเขา จึงเข้ามาหาอย่างดีใจ
“สหายลู่ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว”
“สหายเหมียว” ลู่เซวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”
“ข้ารอท่านอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ” เหมียวหมิงเหลยยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยว่า “ไป วันนี้ไปดื่มสุราที่บ้านข้า”
“ข้ายังมีเรื่อง…”
“เรื่องใดไว้ค่อยทำในภายหลัง วันนี้เป็นวันเกิดข้า เจ้าคงไว้หน้าข้าอยู่กระมัง?” เหมียวหมิงเหลยคว้าลู่เซวียนไว้ไม่ยอมปล่อย
ลู่เซวียนตามเหมียวหมิงเหลยไปบ้านสกุลเหมียว
หนิงซื่อฮูหยินของเหมียวหมิงเหลยเดินยิ้มแย้มออกมา โบกมือให้เขาเข้าไป
เหมียวเสียนจิ้งที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไปมองมาที่เขาอย่างเขินอาย
“ข้าเป็นคนนอกเพียงคนเดียวหรือ?” ลู่เซวียนไม่พบคนอื่น ๆ เลย
“ร้อนใจไปไย? สหายร่วมงานหลายคนของพวกเรากำลังมา” เหมียวหมิงเหลยเอ่ย “เพียงแต่ยังต้องรอพวกเขาสักพัก ตอนนี้ท่านโยกย้ายไปอยู่กรมคลัง พวกเราไม่ได้ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ข้าจึงไปรับท่านมาที่นี่เป็นพิเศษ ท่านเป็นแขกคนสำคัญของครอบครัวเรา”
“จิ้งเอ๋อร์ เหตุใดเจ้ายืนไกลถึงเพียงนั้น?” หนิงซื่อเรียกเหมียวเสียนจิ้ง “รีบมาทักทายแขกสิ! มิใช่ว่าไม่เคยพบกันเสียหน่อย”
เหมียวเสียนจิ้งค้อมคำนับลู่เซวียน “พี่ใหญ่ลู่”
ลู่เซวียนตอบกลับ “แม่นางเหมียว”
“สามี ท่านรีบไปดูที่ประตูว่ามีแขกคนอื่นมาแล้วหรือยัง” หนิงซื่อเอ่ย
“ได้ เช่นนั้นขาขอตัวประเดี๋ยว” เหมียวหมิงเหลยเดินไปแล้ว
“โอ๊ะ ข้าไปดูในครัวก่อน” หนิงซื่อเอ่ยกับลู่เซวียน “ใต้เท้าลู่ ท่านนั่งลงก่อนเถอะ มิต้องเกรงใจ ถือซะว่าเป็นบ้านท่าน จิ้งเอ๋อร์ เจ้ารับรองเขาให้ดี”
ลู่เซวียนลุกขึ้น “ข้าจะไปรอคนอื่น ๆ กับสหายเหมียว!”
สตรีและบุรุษอยู่ด้วยกันเพียงลำพังไม่เหมาะสม
“ประเดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว” หนิงซื่อเอ่ย “มีอย่างที่ไหนกันให้แขกไปรับแขก? ใต้เท้าลู่ ท่านลองทานขนมดูก่อน จิ้งเอ๋อร์ทำเองเชียวนะ”
[1] เผือกร้อน เป็นสำนวนหมายถึง ปัญหาหรือเรื่องเดือดร้อนที่จำต้องยอมรับไว้หรือไม่ก็รีบผลักให้ผู้อื่น