บทที่ 506 มีบุพเพแต่ไร้วาสนา
บทที่ 506 มีบุพเพแต่ไร้วาสนา
ลู่เซวียนตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เมื่อได้ยินว่าเมื่อวานนี้มู่ซืออวี่ส่งหม่าล่ากุ้งมา หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งบ่าวรับใช้ให้นำไปอุ่น ทานอาหารเผ็ดร้อนตั้งแต่เช้าตรู่
กู้อีเตาเข้ามา เอ่ยกับผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ใต้เท้า ท่านอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสกุลเหมียวหลังจากกลับมาหรือไม่ขอรับ?”
ลู่เซวียนชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “นั่งลงแล้วค่อยพูด เจ้าอยากลองชิมดูหน่อยหรือไม่?”
กู้อีเตานั่งลงตรงข้ามลู่เซวียน จ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นราวกับอยากให้ป้อน
ลู่เซวียนผลักกุ้งตรงหน้าเลื่อนไปทางกู้อีเตา
บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างนำอ่างน้ำเข้ามา กู้อีเตาจึงล้างมือ
กู้อีเตารายงานเรื่องที่เขาได้รับข่าวมาขณะที่แกะเปลือกกุ้งไปพลาง ๆ
“ใต้เท้าหวังที่ไม่ค่อยปรองดรองกับท่านได้ทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรองเหมียวเมื่อคืน เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว สร้างความโกลาหลเป็นอย่างมาก”
ลู่เซวียนหยุดมือที่กำลังแกะกุ้งลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองกู้อีเตา “ใต้เท้าหวัง?”
“ไม่ผิด” คนเล่าดูดเปลือกกุ้งไปด้วย “ข้าน้อยลองไปสอบถามดูแล้ว คุณหนูรองเหมียวคิดว่าคนที่อยู่ในห้องผู้นั้นเป็นท่าน นางจึงโผเข้าไปในอ้อมกอดและกระทำเรื่องผิดพลาดลงไป”
ลู่เซวียน “…”
สตรีสกุลเหมียวจับจ้องเขาไม่ยอมปล่อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ท้ายที่สุด ใต้เท้าเหมียวก็จับมือฮูหยินเหมียวและบุตรสาวได้ เขาถือโอกาสนี้ถอนเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงตนออก เกรงว่าข่าวฉาวโฉ่ที่แพร่ออกมาจะเป็นฝีมือเขากระมัง?”
“ไม่ผิดแน่”
“น้ำในสกุลเหมียวลึกล้ำนัก ภายหน้ายุ่งเกี่ยวกับพวกเขาน้อยลงหน่อยจะเป็นการดี” ลู่เซวียนเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ใต้เท้าเหมียวย่อมรู้ความนัยของข้า เขาคงไม่ทำอะไรให้ข้าลำบากใจอีก”
เหมียวหมิงเหลยเป็นคนเข้าได้กับทุกฝ่าย เมื่อรู้ว่าลู่เซวียนไม่มีใจปฏิพัทธ์ต่อน้องสาว เขาย่อมไม่คิดใช้เล่ห์กลใด ๆ อีก มิเช่นนั้นนี่จะไม่ใช่การเชื่อมสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น แต่เป็นการสร้างศัตรูแทน
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” กู้อีเตาหยิบผ้าเช็ดมือข้าง ๆ ขึ้นมาเช็ด จากนั้นจึงมองลู่เซวียนแล้วเอ่ยว่า “หลังจากได้ยินเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าใต้เท้าจะไม่มีกะจิตกะใจกินกุ้งอีก”
“ลองว่ามา” ลู่เซวียนวางกุ้งลงแล้วล้างมือ
“ฝ่าบาทไม่ได้ยกเลิกการแต่งงานระหว่างคุณหนูฉู่และท่านอ๋องน้อยจวิน” กู้อี้มองเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นนาย “แต่พระราชทานสมรสใหม่ให้คุณหนูฉู่แทน”
ลู่เซวียนกำมือแน่น
“ครานี้เป็นผู้ใด?”
“ฉีเจิน หน่วยอารักขาชายแดน”
“ฉีเจิน? คนสกุลฉี”
สกุลฉีเป็นคนสนิทของฮ่องเต้
ผู้หนึ่งคือฉีเซียว ผู้หนึ่งคือฉีเจิน ล้วนแต่แซ่ฉีทั้งสิ้น
ฉีเจินแตกต่างจากฉีเซียว ฉีเซียวเป็นบุตรสายตรงของตระกูล แต่ฉีเจินเป็นสายรอง ทั้งยังเป็นบุตรนอกสมรส
“วันแต่งกำหนดไว้แล้ว อีกครึ่งเดือนพวกเขาจะส่งคนมารับคุณหนูฉู่ไปแต่งงานที่ชายแดน” กู้อีเตาเอ่ย “นายท่านเซี่ยบอกว่า ไม่นานมานี้ฉู่กั๋วกงทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ฝ่าบาทจึงมอบคุณหนูฉู่ให้กับฉีเจินเป็นสมรสพระราชทานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง นี่นับเป็นการตบหน้าฉู่กั๋วกงฉาดใหญ่ ทุกคนล้วนทราบดีว่าตระกูลฉีอยู่ในมือของฮ่องเต้ ฝ่าบาทไม่เอ่ยถึงการหมั้นหมายครั้งเก่า แต่แต่งลูกสะใภ้ที่เดิมทีควรเป็นของจวนเฝินหยางอ๋องให้ผู้อื่นทันที เพื่อเตือนจวนเฝินหยางอ๋องไปในตัว การเคลื่อนไหวของพระองค์ครานี้สะเทือนภูผาสะท้านพยัคฆ์ ระยะนี้ราชสำนักคงสงบลงชั่วระยะหนึ่ง”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่เซวียนเอนตัวบนเก้าอี้แล้วปิดตาลง “ข้าอยากอยู่ตามลำพังสักพัก”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ยามนี้ฉู่หนิงจูมองออกไปนอกหน้าต่าง “มามา ท่านบอกท่านแม่เถิดว่าข้าจะไม่ทำตัววุ่นวายอีก ครั้งนี้ข้ายอมแต่ง”
มู่จิ่นมองฉู่หนิงจูอย่างเป็นกังวล “คุณหนู…”
“ฉีเจินเป็นวีรบุรุษ เขาแข็งแกร่งกว่าเกิ่งเชียนจวินมาก ข้ามีอะไรให้ต้องไม่พอใจเล่า?” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ข้าเข้าใจความหมายของท่านพ่อท่านแม่ ระยะนี้ฮ่องเต้ไม่ค่อยพอใจสกุลฉู่ของเรานัก หากข้ายังก่อเรื่องอีก ครานี้เกรงว่าทั้งสกุลคงถูกดึงเข้าไปพัวพัน”
“เช่นนั้นใต้เท้าลู่เล่า? ท่านไม่ต้องการเขาแล้วหรือ?” มู่จิ่นเข้าใจผู้เป็นนายดีกว่าผู้ใด
เมื่อวานนี้ใบหน้าฉู่หนิงจูยังเต็มไปด้วยความสุข เพราะคิดว่านางและลู่เซวียนจะได้มีอนาคตร่วมกัน อย่างที่ทราบกันดี ชื่อเสียงของนางย่อยยับเพราะเกิ่งเชียนจวินแล้ว คนส่วนใหญ่ย่อมไม่อยากแต่งกับสตรีเช่นนาง ฉู่หนิงจูคิดว่าตนหาทางออกในทางตันเจอ นางไม่รู้เลยว่าเบี้ยอย่างไรก็ยังเป็นเบี้ย มีเพียงผู้เล่นเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะนำไปวางไว้ ณ ตำแหน่งใด
“ไม่ ข้าไม่ควรคิดถึงเขาอีก” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ที่ชายแดนหนาวยิ่งนัก มู่จิ่น เจ้าไม่ต้องติดตามไปกับข้า ข้าจะหาคนดี ๆ ให้เจ้าแต่งออกไป”
“บ่าวอยากติดตามคุณหนู!” มู่จิ่นปฏิเสธ “คุณหนูอยู่ที่ใด บ่าวก็อยู่ที่นั่น”
บ่ายนั้นฉู่หนิงจูได้รับจดหมายจากคนเฝ้าประตูใหญ่ ผู้ที่ลงนามในจดหมายคือมู่ซืออวี่ อีกฝ่ายเชิญนางไปที่จวนสกุลลู่
เมื่อเห็นลู่เซวียนอยู่ในศาลา ฉู่หนิงจูไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
“ตอนที่ข้าเห็นจดหมาย ในใจก็คาดเดาได้แล้วว่าผู้ที่ต้องการพบข้าจริง ๆ คือเจ้า เป็นดังคาด ดูเหมือนความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานของพวกเราจะไม่สูญเปล่า!”
นางยิ้มแย้มร่าเริงตามปกติ ไม่มีร่องรอยความเศร้าแม้แต่น้อย
“ท่านคิดจะทำอย่างไร?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม
“อืม… เจ้าหมายงานแต่งครั้งนี้หรือ?” ฉู่หนิงจูมองสระน้ำตรงหน้า “แน่นอนว่าข้าจะแต่งงานอย่างมีความสุข! เทียบกับคู่หมั้นคนก่อนแล้ว คราวนี้ดีกว่ามากไม่ใช่หรือ? ฉีเจินผู้นี้ ข้าเคยพบเขาแล้ว เขาเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง”
“จากที่นี่ไปถึงชายแดน เส้นทางยาวไกลยิ่งนัก หากเกิดเรื่องระหว่างทาง เป็นไปได้ว่า…”
“สหายลู่…” ฉู่หนิงจูหันกลับมามองเขา “ครั้งนี้… ข้าจะไม่หนีอีกแล้ว”
ลู่เซวียนมองนาง ดวงตาของนางมีน้ำตาคลอขึ้นมา ทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม
“จริง ๆ นะ ครั้งนี้ข้าไม่หนีแล้ว” ฉู่หนิงจูกล่าวย้ำ “ท่านต้องใช้ชีวิตให้ดี หาแม่นางดี ๆ สักคนมาเป็นคู่ชีวิต ข้าจะคอยอวยพรท่านจากที่ที่ไกลแสนไกล”
ลู่เซวียนยืนอยู่หน้าศาลา มองแผ่นหลังฉู่หนิงจูลับหายไป
นางไม่หันกลับมามองเขาเลยแม้แต่น้อย
มู่ซืออวี่ออกมาจากข้างหลัง “ครั้งนี้ ระหว่างพวกเจ้าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
“ครั้งหนึ่งพี่ใหญ่เคยเอ่ยบางอย่าง ในตอนนั้นข้าไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว”
“อะไรหรือ?”
“มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถรักษาสิ่งที่ตนต้องการไว้ได้…”
เมื่อฉู่หนิงจูจากไป ลู่เซวียนไม่ได้ตามไปส่ง แต่เป็นมู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วไปแทน
“พวกท่านทั้งสองเขียนจดหมายหาข้าบ่อย ๆ ด้วยเล่า” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ถึงแม้ข้าจะอยู่ไกลถึงชายแดน แต่พวกท่านห้ามลืมข้านะ”
“เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” ซูจือหลิ่วเอ่ย “หากเจ้าลืมอะไร ขอเพียงบอกข้า ข้าจะให้คนนำไปส่งให้เจ้า”
“เช่นนั้นดียิ่ง” ฉู่หนิงจูกล่าว “หากข้าไปถึงชายแดนแล้ว ข้าจะเขียนคำสั่งซื้อยาว ๆ ใบหนึ่ง ถึงตอนนั้นท่านจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน”
“ยื่นมือออกมา” มู่ซืออวี่เอ่ย
ฉู่หนิงจูยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย
มู่ซืออวี่วางกำไลหนึ่งวงลงบนฝ่ามือนาง
“วงนี้ข้าให้คนปรับแต่งขึ้นใหม่ วงแหวนสีเงินนี้ครอบด้วยอาวุธลับ เพียงกดตรงนี้ก็จะมีเข็มเล็ก ๆ ยิงออกไป ใส่ไว้ป้องกันตัวเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไว้พบกันใหม่ ฉู่ฉู่!”
ฉู่หนิงจูขึ้นรถม้า จากนั้นยานพาหนะดังกล่าวก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป
นางเปิดม่านออก มองไปที่กำแพงเมืองหลวง
ที่นั่นมีเงาของร่างหนึ่งทอดมองอยู่ เหมือนคราแรกที่พบกับ ‘เขา’ ไม่มีผิด